px

เรื่อง : ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก
บทที่ 3 อยากได้ก็ต้องแลก


บทที่ 3 อยากได้ก็ต้องแลก

ภูเขาหมางแห่งนี้อยู่ห่างเพียง 300 ไมล์ จากอาณานิคมของเฉินเฉียง ใช้เวลาเพียงครึ่งวันก็ถึง และในตอนนี้ ทีมสำรวจก็ได้มาถึงตีนเขาแล้ว

ในช่วงครึ่งวันที่ผ่านมานั้น เฉินเฉียง ได้เดินตามหลังทีมสำรวจมาอย่างเงียบสงบ ระหว่างนั้นเขาได้นึกถึงสิ่งๆต่างขึ้นมา ประมวลผลข้อมูลที่มี และศึกษาการทำงานของระบบย่อยสลายซากศพและระบบการใช้ประโยชน์จากสิ่งมีชีวิต

ยังไงซะระบบนี้สำหรับเขาแล้วเป็นอุปกรณ์วิเศษเพียงหนึ่งเดียวที่จะทำให้เขานั้นสามารถรอดชีวิตในดินแดนแห่งนี้ไปได้ เมื่อเป็นแบบนี้จะไม่ให้เขาศึกษามันเพิ่มเติมได้ยังไงกัน

หลังจากศึกษาแล้ว เฉินเฉียงพบว่ามีเพียงมือขวาของเขานั้นที่จะสามารถเชื่อมต่อเข้ากับระบบได้ และระบบนี้จะทำงานก็ต่อเมื่อเขานั้นสัมผัสซากของสิ่งมีชีวิตเท่านั้น

นอกจากนั้น ระบบการใช้ประโยชน์นี้จะสามารถใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีค่าการใช้ประโยชน์มากกว่าหนึ่ง และการเพิ่มค่านี้ได้ในตอนนี้เขาหวังพึ่งได้เพียงแก่นคริสตัลเท่านั้น

ส่วนค่าที่ได้มานั้น เขาสามารถนำไปเพิ่มให้กับค่าต่างๆอย่าง ความทนทาน ค่าพลังจิต ค่าพลังความแข็งแกร่ง และค่าความเร็ว ได้ตามที่ต้องการ เรียกได้ว่าค่านี้สำคัญกับเขาอย่างมากเลยทีเดียว

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเขานั้นไม่ได้เพิ่มค่าความเร็วไป การที่เขาจะสามารถติดตามทีมสำรวจนี้เป็นเรื่องที่ยากลำบากอย่างมาก

“ทุกคนให้ระวังตัวเอาไว้ให้ดี หลังจากเข้าไปในภูเขาแล้ว ให้มองหาสมุนไพรที่มีลักษณะตรงตามข้อมูลที่หมอลีให้มา หลังจากพบเจอแล้ว นำพวกมันไปให้เฉินเฉียงให้เป็นคนเก็บเอาไว้”

“นอกจากนี้ ภูเขาเทียนหมางแห่งนี้มีอันตรายทุกหนทุกแห่ง พวกเราไม่ควรจะแยกออกไปไกลจากกลุ่มมากนัก จะดีกว่าถ้าพวกเราคอยดูแลกันละกันไว้”

“แล้วก็ หมอลีและเฉินเฉียงไม่เคยบ่มเพาะมาก่อน หลังจากเข้าไปในภูเขาแล้ว พวกเราต้องคอยดูแลพวกเขาด้วย”

ทันทีที่เสียงของกัปตันฉีจบลง เหล่าผู้คนที่มีสายเลือดนักรบสิบกว่าคนได้กระจายกันไปในทิศทางที่แตกต่างกัน บางส่วนคงอยู่เพื่อปกป้องหมอลีและเฉินเฉียง

อย่างไรก็ตาม หลังจากเฉินเฉียงตรวจสอบทุกคนแล้ว เขาพบว่าทิศทางที่คนเหล่านั้นไปนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นทิศทางที่สามารถกลับมาป้องกันหมอลีได้ในทันทีถ้าเกิดปัญหาขึ้นมา

ส่วนตัวเขานั้น คงทำได้เพียงสวดมนต์ภาวนาไม่ให้เกิดเรื่องเท่านั้น

แต่กับเรื่องนี้เขาเองก็เข้าใจพอสมควร ยังไงซะ ในอาณานิคมแห่งนี้ ผู้มีความสามารถอย่างหมอลีนั้น ดีไม่ดีจะมีค่ากว่าพวกสายเลือดนักรบด้วยซ้ำ

ส่วนนักเก็บเกี่ยวซากศพอย่างเขานั้น แน่นอนว่าย่อมไม่มีใครใส่ใจ

หมอลีคนนี้มีอายุมากว่าเฉินเฉียงเพียงสองปีเท่านั้น เขามีอายุ 18 ปี และมีรูปร่างเกือบจะผอมกะหร่อง

เฉินเฉียงได้เดินเข้าไปข้างๆหมอลีและพูดออกมาด้วยเสียงไม่ดังมาก “หมอลี ผมยังไม่เคยเห็นรูปของสมุนไพรที่เจ้าตามหาเลย”

หมอลีได้ถอยหนีไปจากเฉินเฉียงหนึ่งก้าวในทันที พร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราวกับพบเจอสิ่งน่าขยะแขยงว่า “ไอ้พวกเก็บเกี่ยวศพอย่างแกจะมาดูอะไรเข้าใจได้กัน แค่ข้าให้แกมาร่วมทีมนี่ก็เพราะว่าแกเหมาะสมที่จะเป็นพวกใช้แรงงานเท่านั้น แกแค่ดูแลสมุนไพรให้ดีก็พอแล้ว อย่างอื่นแกไม่ต้องสนใจ”

เมื่อเฉินเฉียงได้ยินดังนั้นก็ทำเพียงแค่ขมวดคิ้วและไม่พูดอะไรออกมาอีก

สำหรับอาณานิคมมนุษย์แห่งภูเขาหมางแห่งนี้ นักเก็บเกี่ยวซากศพนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากจะข้องเกี่ยว

นั่นก็เพราะไม่เพียงจะถูกถือว่าเป็นเพียงแรงงานชั้นต่ำแล้ว พวกเขานั้นในทุกๆวันต้องข้องเกี่ยวแต่ศพ ก็ไม่แปลกที่หมอลีคนนี้จะถอยห่าง

แต่สำหรับเขาแล้ว นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน เขาจะได้มีเวลาว่างในการศึกษาพลังสายเลือดของค้างคาวโลหิตพิษ

หากว่าการจะเป็นสายเลือดนักรบได้นั้นจะเป็นต้องปลุกพลังสายเลือดที่เกี่ยวข้องให้ได้ก่อน

อย่างไรก็ตาม ในการต่อสู้จริงนั้น พลังแห่งสายเลือดยังคงไม่เพียงพอ คนคนนั้นจำเป็นที่จะต้องมีวิธีการบ่มเพาะ และวิธีการดังกล่าวจะต้องสอดคล้องกับสายเลือดที่ตนเองปลุกขึ้นมาได้อีกด้วย และนี่จึงจะเรียกได้ว่าใช้สายเลือดในการต่อสู้ได้อย่างแท้จริง

แต่ประเด็นคือ ไม่มีใครรู้สายเลือดของเฉินเฉียงที่ปลุกขึ้นมาได้ใหม่ และนี่เองทำให้เขานั้นยังไม่สามารถบ่มเพาะได้เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงไม่ได้รีบร้อนแต่อย่างใด

ในเมื่อเขานั้นได้มีโอกาสติดตามทีมสำรวจมาถึงที่นี่ก็จะขอศึกษาวิธีการต่อสู้ของพวกเลือดนักรบดูสักหน่อย และเป็นการศึกษาวิธีการใช้สายเลือดนักรบในการต่อสู้ไปในตัวด้วย

แต่ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะโชคดีเกินไป หรือโชคดีของเขาอาจกลายเป็นฝุ่นไปแล้วก็ได้ นั่นก็เพราะ พวกเขาไม่เจออันตรายใดเลยแม้แต่น้อย

เป็นไปได้ว่าตอนนี้พวกเขานั้นยังอยู่แค่ตีนเขาจึงยังไม่เจออะไรที่น่าหวาดหวั่น หลังจากผ่านไปสามชั่วโมง ทีมสำรวจก็ดูเหมือนจะทำภารกิจเสร็จสิ้น และในตอนนี้ กระเป๋าที่เฉินเฉียงนั้นได้เต็มจนเกือบล้น

“หมอลี แค่นี้ก็พอแล้วใช่รึเปล่า”

หลังจากเห็นว่าภารกิจนั้นได้ลุล่วงได้ง่าย นี่ทำให้กัปตันฉีรู้สึกดีใจอย่างมาก และที่สำคัญที่สุดคือไม่บ่อยครั้งนักที่พวกเขานั้นจะออกมาสำรวจแล้วไม่พบเจออันตรายใดๆ แล้วกลับไปอาณานิคมได้อย่างสมบูรณ์แบบนี้

แต่ในครั้งนี้ พวกเขาโชคดีแบบสุดๆที่ไม่เจออะไรเลยแม้แต่น้อย

“ใช่แล้ว กัปตันฉี สมุนไพรที่พวกเราเก็บมาในครั้งนี้เพียงพอให้พวกเราอยู่ต่อไปได้อีกครึ่งเดือน พวกเรากลับกันได้แล้ว”

เหล่านักรบในทีมสำรวจได้ยินดังนั้นก็อดที่จะแสดงความดีใจไม่ได้ พวกเขาได้มารุมล้อมหมอลีและเฉินเฉียงเอาไว้ และรีบออกจากภูเขาไป

“เดี๋ยวก่อนนะ”

ทันใดนั้น เป็นหมอลีที่หยุดเท้าหลังจากก้าวออกไปสองเก้าและทำจมูกฟุดฟิดพูดออกมา

“กัปตันฉี เจ้าได้กลิ่นรึเปล่า” หมอลีถามออกมา

คนอื่นเองที่หยุดก็ได้ทำการดมกลิ่นเช่นเดียวกับหมอลีอยู่พักใหญ่

“ได้กลิ่นอยู่นะ กลิ่น อืมมม ค่อนข้างจะหอม ทางนั้น”

กัปตันฉีได้ชี้ไปทางด้านตะวันตกและถามออกมา “หมอลี หมอต้องการจะไปดูรึเปล่า”

“แน่นอน ข้าต้องไปอย่างแน่นอน”

หมอลีได้มีท่าทางตื่นเต้นออกมา “ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด นี่คือกลิ่นของผลไม้กลิ่นม่วง”

“พวกเจ้ารู้จักมันรึเปล่า”

“ผลไม้กลิ่นม่วงนั้นเป็นตัวยาสำคัญที่ใช้ในการกลั่นเม็ดยาวิญญาณ”

“เม็ดยาวิญญาณนี้จะช่วยให้มีโอกาสยกระดับสายเลือดนักรบให้กลายเป็นสายเลือดนักรบวิญญาณ”

“ตราบใดที่พวกเราได้ผลไม้นี้กลับไปให้อาจารย์ของข้ากลั่นเม็ดยาวิญญาณนี้ได้ละก็ ผู้นำของพวกเรานั้นจะกลายเป็นสายเลือดระดับนายพลวิญญาณที่เหนือกว่านายพลวิญญาณธรรมดาได้เป็นแน่” “เรื่องนี้สำคัญกับอาณานิคมแห่งเขาหมางของพวกเราอย่างมาก”

“แล้วพวกเราจะรออะไรกันล่ะ พวกเราไปหากันดีกว่า”

กัปตันฉีได้นำทั้งกลุ่มไปยังทิศทางตะวันตกอย่างระมัดระวัง

หลังจากเดินไปได้ประมาณหนึ่งไมล์ ในที่สุดทุกคนก็ได้พบผลไม้กลิ่นม่วงประมาณเจ็ดผลอยู่ในดงข้างหน้า

ผลไม้กลิ่นม่วงนี้ดูเย้ายวนและหอมหวนอย่างมาก

“นั่น”

หมอลีได้ชี้ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งอย่างตื่นเต้น แต่ในตอนนั้นเอง กัปตันฉีได้รีบเข้ามาข้างๆแล้วปิดปากแน่น และรีบกดตัวหมอลีให้ต่ำเรี่ยพื้นในทันที

“ห้ามพูด”

กัปตันฉีได้กระซิบออกมาจากมุมปากของตน ก่อนที่จะปล่อยหมอลี

“ตอนนี้เราพบเจออันตรายแล้ว”

“หมอลี ใต้ต้นไม้นั่นคือกระต่ายสายฟ้า พวกมันเฝ้าอยู่”

“ถ้าข้าเข้าใจไม่ผิด ความแข็งแกร่งของมันเทียบเท่ากับทหารสายเลือดนักรบระดับกลางของพวกเรา”

“เมื่อได้ยินดังนั้น หมอลีก็ถึงกับเหงื่อตกออกมาเต็มหน้าผากในทันที”

“แล้วพวกเราจะทำยังไงกันดีล่ะกัปตันฉี เจ้าพอมีทางรึเปล่า นั่นมันผลกลิ่นม่วงตั้งเจ็ดหัวเลยนะ”

“พวกมันสำคัญต่ออนานิคมของพวกเรามากเลยนะ”

“พวกเรามีตั้งมากมายขนาดนี้ จะทำอะไรมันไม่ได้กันเลยเหรอ”

กัปตันฉีได้ส่ายหัวในทันทีและยิ้มออกมาได้เพียงเล็กน้อย “หมอลี เจ้าอาจจะไม่รู้ กระต่ายสายฟ้านั่นพลังป้องกันถึงแม้จะไม่ได้สูง แต่บอลสายฟ้าของมันนั้น แค่ระดับของพวกเราไม่อาจจะมองเห็นได้เลย”

“หากว่าพวกเรานั้นต้องการจะผลไม้กลิ่นม่วงนั่นจริงๆ...... ก็เหลือเพียงทางเดียวเท่านั้นคือการหลอกล่อกระต่ายตัวนั้นไปอีกทาง แล้วพวกเราก็รีบเข้าไปขโมยพวกมันออกมา”

“แต่วิธีการนี้....ข้าไม่รับประกันว่าคนที่เป็นตัวล่อนั่นจะมีชีวิตรอดกลับไปด้วย”

“กัปตัน ผมเองครับ”

“ไม่ครับกัปตัน ผมเองดีกว่า”

ในตอนนี้ทุกคนต่างก็เสนอตัวเองในการเป็นตัวล่อให้ทีมสำรวจทำภารกิจได้สำเร็จ นี่ทำให้เฉินเฉียงเริ่มเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อคนที่มีสายเลือดทหารเหล่านี้ในทันที

นั่นก็เพราะ ไม่ว่าจะมองทางไหนก็มีแต่ตายอย่างเดียวเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม คนพวกนี้ไม่มีใครเลยที่คิดจะหลบเลี่ยง แถมยังแก่งแย่งกันไปตายแทนซะอีก พวกเขานั้นเลือกที่จะมอบความหวังให้กับอาณานิคมของตน

แต่นี่ก็ไม่แปลกอะไร นั่นก็เพราะคนที่มีสายเลือดนักรบนั้น ก็เปรียบได้ดั่งแบกเกียรติยศของเผ่าพันธุ์มนุษย์เอาไว้กับตัวเอง

“ไม่ ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ไปทั้งนั้น”

คนที่พูดนั้นไม่ใช่กัปตันฉี แต่เป็นหมอลี

“กัปตันฉีมาที่นี่เพียงเพื่อช่วยรวบรวมสมุนไพรที่อาณานิคมต้องการและปกป้องข้าเท่านั้น”

“แต่เดิมพวกเราก็ไม่ได้มีกำลังคนพออยู่แล้ว หากว่าระหว่างทางกลับมาเกิดอะไรขึ้นมา ไม่เพียงพวกเราจะตายเท่านั้น แต่ชาวอาณานิคมของเรากว่าสองพันชีวิตจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก”

“ยิ่งไปกว่านั้นคือ สายเลือดนักรบนั้นมีความสำคัญเกินกว่าที่พวกเราจะสูญเสียในฐานะตัวล่อได้ พวกเราไม่สามารถเสียสละทรัพยากรบุคคลที่มีค่าได้”

“หากเราต้องดำเนินแผนการนี้จริง เราจะต้องใช้คนที่ไร้ค่าต่อให้เสียไปก็ไม่เสี่ยง”

เมื่อพูดจบ หมอลีได้หันไปจ้องมองเขม็งยังเฉินเฉียง

“ข้า?”

เฉินเฉียงได้ชี้ไปยังจมูกของตัวเองด้วยสีหน้าที่แสดงออกมาอย่างโง่งม

ไอ้เวรนี่มีอคติกับเขาเหรอ

แน่นอนที่สุด ไอ้หมอเวรนี่ต้องการให้เขาไปตาย

“ไม่มีทาง ขนาดสายเลือดนักรบที่มีหน้าที่ป้องกันมนุษยชาติอย่างพวกเรายังเอามันไม่อยู่ เฉินเฉียงที่ไม่มีการบ่มเพาะใดๆ หากเขาไปเป็นตัวล่อก็มีแต่ตายเท่านั้น ข้าไม่ยอม”

กัปตันฉีทำการปฏิเสธอย่างแข็งขัน

สายเลือดนักรบคนอื่นก็เห็นด้วยกับกัปตันฉีเช่นเดียวกัน

“กัปตันฉี เจ้าอย่าลืมว่าคนที่เป็นหัวหน้าในครั้งนี้คือข้าไม่ใช่เจ้า”

“เจ้าไม่มีหน้าที่ในการตัดสินใจในเรื่องนี้”

“ยิ่งไปกว่านั้น เฉินเฉียงมีหน้าที่แค่ดึงดูดความสนใจของกระต่ายสายฟ้าเท่านั้น เขาไม่ได้ต้องไปสู้กับกระต่ายสายฟ้า ตราบใดที่เขาทำสำเร็จ ข้าจะตอบแทนเขาอย่างแน่นอน”

“นี่คือการตัดสินใจของข้า คนอื่นไม่มีสิทธิ์ออกความเห็น”

หมอลีพูดออกมาโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น เขาได้หันไปมองเฉินเฉียงอีกครั้งและพูดออกมาว่า “เฉินเฉียง ข้ารู้ว่านี่มันไม่เป็นธรรมกับเจ้า ”

“แต่เพื่อการคงอยู่ของมนุษยชาติแล้ว พวกเราต้องตัดสินใจเสียสละในบางครั้ง”

“หากเจ้ามีปัญหากับการตัดสินใจของข้า เชิญเจ้าเกลียดข้าได้เลย”

ถึงแม้กัปตันฉีและคนอื่นๆในตอนนี้จะกำหมัดกันจนแน่น แต่ไม่มีใครเลยที่จะทัดทานคำพูดของหมอลีได้

ยังไงซะ ในครั้งนี้พวกเขาจำเป็นต้องฟังคำสั่งจากหมอลี

เฉินเฉียงเองที่เห็นท่าทางของกัปตันฉีและพวก เขารู้ดีว่าตัวเขาเองก็คงไม่สามารถจะหลีกหนีภารกิจนี้ไปได้

เมื่อคืนวาน ผู้อาวุโสซุนเองก็บอกเขามาแล้วว่าเรื่องนี้อาจเกิดขึ้นได้ และด้วยเหตุการณ์แบบนี้ทำให้คนอย่างพวกเขานั้นไม่เคยกลับไปถึงอาณานิคมได้เลยสักครั้งหลังจากเข้าร่วมกับทีมสำรวจ

เมื่อมองไปยังกระต่ายสายฟ้าตัวใหญ่ที่นั่งนิ่งอยู่ใต้ดงไม้ข้างหน้าแล้วทำให้ขาของเฉินเฉียงอดที่จะสั่นไม่ได้

ต่อให้เป็นเขาก็อดที่จะหวั่นกลัวความตายไม่ได้เหมือนกัน

โดยเฉพาะกับความตายแบบนี้

“กัปตันฉี ข้าเองก็ว่าหมอลีพูดมานั้นมีเหตุผล และข้าเองก็เป็นคนเดียวที่เหมาะกับภารกิจฆ่าตัวตายแบบนี้“

“อย่างไรก็ตาม ข้ามีคำขอเล็กน้อยก่อนตาย”

กัปตันฉีในตอนนี้เงยหน้าขึ้นมามองเฉินเฉียงคิ้วขมวด ก่อนจะพูดออกมาอย่างอัดอั้นว่า “เฉินเฉียง ว่ามาได้เลย ตราบใดที่ข้าทำได้ ทุกคนคนในทีมสำรวจยินดีที่จะทำให้เจ้า”

“ถ้าข้ากลับไปไม่ได้ในครั้งนี้ก็ช่างมัน แต่ถ้าข้ากลับไปได้ ข้าต้องการลองพนันกับมันสักครั้ง”

“อย่างไรก็ตาม แก่นคริสตัลที่กัปตันให้ข้ามานั้นดูจะน้อยไปหน่อยเลยอยากได้เพิ่มน่ะ อีกอย่าง ขอมีดให้ข้าสักเล่มไปเผื่อด้วยแล้วกัน”

“ไม่มีปัญหา ข้ายังมีแก่นคริสตัลอีกสามชิ้น ข้ายกมันทั้งหมดให้เจ้าได้” “ส่วนมีดนั้น นี่ มีดเล่มนี้อยู่กับข้ามานานหลายเปีแล้ว มันคมมาก ข้าให้เจ้าไว้ป้องกันตัวเอง”

หลังจากพูดจบ กัปตันฉีได้ดึงมีดสั้นเล่มหนึ่งออกมาจากเอวของเขา

“ข้ามีแก่นคริสตัลอยู่หนึ่งชิ้น ข้าให้เจ้า”

“ข้ามีอยู่สอง เอาไปได้เลย”

ทุกคนในทีมสำรวจนี้มอบแก่นคริสตัลให้เฉินเฉียงกันทุกคน

กัปตันฉีเองมองไปยังหมอลีอีกครั้ง

“ทุกคนคงไม่คิดว่าไอ้เวรนี่จะรอดอยู่แล้วใช่รึเปล่า ข้าล่ะไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าพวกเจ้านั้นจะมอบของให้ไอ้คนที่ตายแน่ๆแบบนี้อยู่แล้วไปทำไม แล้วเจ้าน่ะ ยังไงก็ตายอยู่แล้วจะเอาไปทำบ้าอะไรเยอะแยะ”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้มันทำได้เพียงล้วงเข้าไปหยิบแก่นคริสตัลแล้วโยนให้เฉินเฉียงสองชิ้นเท่านั้น

“ข้าก็แค่คนโลภล่ะนะ ต่อให้ตายไป แต่ถ้าตายไปพร้อมกับแก่นคริสตัลละก็น่าจะตายตาหลับมากกว่า”

เฉินเฉียงยิ้มตอบอย่างเฉยชาก่อนที่จะรวบรวมผลึกได้ 23 ชิ้น

ในเวลาเดียวกัน แก่นคริสตัลทั้งหมดถูกเปลี่ยนไปเป็นค่าพลังงานได้ 230 หน่วย และปรากฏขึ้นในแผงข้อมูลของเขา

“เฉินเฉียง เจ้าเคลื่อนไหวไปทางใต้นะ เมื่อเจ้าไปในระยะที่พอเหมาะแล้วให้ดูสัญญาณมือข้าไว้ และตอนนั้นเจ้าจึงเริ่มดึงดูดความสนใจ”

“เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราเองก็จะลอบเข้าไปขโมยผลไม้กลิ่นม่วงนั่น”

“เจ้าต้องจำไว้ให้ดีนะ”

“กระต่ายสายฟ้านั้นถึงแม้จะไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ความเร็วของมันนั้นไม่ได้ช้าเลยสักนิด สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องหลบตอนที่มันส่งบอลสายฟ้าออกมาให้ได้”

เมื่อนึกถึงว่าเฉินเฉียงนั้นยังมีโอกาสโกงความตายได้อยู่ กัปตันฉิจึงได้อธิบายวิธีการหลบบอลสายฟ้าออกมาอย่างละเอียดยิบ

เมื่อเห็นดังนั้นเฉินเฉียงเองก็ฟังคำพูดของกัปตันฉีที่พูดออกมาด้วยท่าทีจริงจัง หลังจากนั้น เขาก็ได้ค่อยๆไปยังทางทิศใต้ตามที่ตกลงกันไว้

 

 

รีวิวผู้อ่าน