บทที่ 3 ไม้กวาดด้ามนี้ก็ไม่เลวนะ!
เยี่ยฉวนติดตามจูซือเจียเข้าไปในหอศาสตราวุธ
เมื่อมองจากภายนอกหอศาสตราวุธดูไม่ใหญ่โตมากนัก ทว่าภายในกลับแตกต่างอย่างสิ้นเชิง!
สิ่งของที่ถูกเก็บไว้ภายในชั้นแรกของหอศาสตราวุธส่วนใหญ่เป็นอาวุธทั่วไปและชุดเกราะ
ส่วนชั้นที่สองจะเป็นคลังเก็บอาวุธที่ผู้ฝึกตนจำเป็นต้องใช้เช่น กระบี่บิน เกราะรบที่ทำจากอัญมณี คันธนูที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษและสมบัติล้ำค่าอีกหลายชนิด
ชั้นที่สามเป็นคลังเก็บอาวุธอันทรงพลังยิ่ง ทว่าจูซือเจียไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยังชั้นดังกล่าว
แม้ชื่อเสียงของสำนักจะเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ ทว่าสำนักหมอกเมฆาเป็นสำนักที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น มรดกที่ทางสำนักสั่งสมมาจนถึงปัจจุบันเพียงพอที่จะสนับสนุนรากฐานของสำนักยังแข็งแกร่งเช่นวันวาน...
ภายในหอศาสตราวุธมีอาวุธล้ำค่าบางอย่างที่ผู้ครอบครองต้องอยู่ในขั้นซิวฉือระดับเจ็ดจึงจะใช้อาวุธเหล่านั้นได้ และอาวุธบางอย่างจำเป็นต้องมีผู้ครอบครองที่มีระดับขั้นเหนือกว่าขั้นปรมาจารย์แห่งเต๋า ถึงแม้เยี่ยฉวนจะได้รับอนุญาตให้ขึ้นไปยังชั้นสาม ทว่าเขาก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะใช้อาวุธเหล่านั้นอยู่ดี
“เจ้าสามารถเลือกอาวุธได้จากชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สอง! เร็วเข้า! ข้ามีเวลาจำกัด!” จูซือเจียพูดกระตุ้นอีกฝ่าย เพราะหลังจากที่เขาเลือกอาวุธเสร็จสิ้น นางยังต้องไปส่งเขากลับยอดเขาเมฆาอินทนิล ยามนี้ความอดทนของนางหมดลงแล้ว
เขาทำหูทวนลมไม่สนใจเสียงเจื้อยแจ้วของนางก่อนเดินเลือกอาวุธทีละชิ้นอย่างพิถีพิถัน เขาหยิบอาวุธขึ้นพินิจอันแล้วอันเล่าพลางลูบไล้อักขระบนอาวุธเบาๆ จากนั้นจึงวางลงและเดินไปยังอาวุธชิ้นต่อไป
เขารู้สึกคุ้นเคยกับอาวุธบางอันในหอศาสตราวุธยิ่งนัก เพราะในภพชาติที่แล้วเขาเป็นผู้มอบอาวุธล้ำค่าเหล่านี้ให้ราชาโอสถหัตถ์วิญญาณด้วยตนเอง ใครเล่าจะรู้ว่าหนึ่งล้านปีผ่านไปเขาจะได้กลับมายืนอยู่ตรงด้านหน้าอาวุธเหล่านี้อีกครั้ง!
“กระบี่ปลายมรกตเล่มนี้เป็นอาวุธขั้นอำพัน เมื่อใช้ในการสังหารมันจะไม่ทิ้งรอยเลือดแม้แต่หยดเดียว จัดว่าเป็นกระบี่ชั้นดี!”
เยี่ยฉวนหยิบกระบี่ขึ้นพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนวางลงที่เดิม
“กริชศีตละวารีเป็นอาวุธขั้นซวน มันสามารถแทงทะลุเสื้อเกราะและร่างกายที่แข็งแกร่งได้ จึงถูกจัดให้เป็นอาวุธร้ายแรงสำหรับมือสังหาร!”
เยี่ยฉวนหยิบกริชสามคมขึ้นมา มันแผ่จิตสังหารเย็นเยียบออกมาทางเยี่ยฉวน ความทรงจำที่เขาสังหารนักฆ่ามือฉมังในอดีตอันยาวนานพลันแล่นเข้ามาในความคิด...
เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งจูซือเจียก็คิดว่าเยี่ยฉวนต้องเลือกกริชแน่นอน ทว่าเขากลับวางมันลงแล้วเดินต่อไป
“กระบองทองคำเป็นอาวุธขั้นอำพัน มักใช้ในการปราบปีศาจและถือได้ว่าเป็นอาวุธทางพระพุทธศาสนา!”
เยี่ยฉวนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนก้าวไปด้านหน้าอีกครั้ง
เยี่ยฉวนเดินเลือกอาวุธที่อยู่ในชั้นที่หนึ่งและชั้นที่สองอย่างพิถีพิถัน ทว่าในมือของเขายังคงว่างเปล่า
“นี่! เมื่อไรเจ้าจะเลือกอาวุธได้เสียที?!” จูซือเจียทำหน้ามุ่ย
อาวุธเหล่านี้มีการแบ่งระดับขั้นเช่นเดียวกับยาเม็ดซึ่งก็คือขั้นเทวาลัย ขั้นปฐพี ขั้นซวนและขั้นอำพัน แม้ว่าผู้ฝึกตนขั้นซิวฉือจะมีอาวุธขั้นอำพันไว้ป้องกันตัวซึ่งนับว่าเป็นอาวุธที่ไม่เลว ทว่าเยี่ยฉวนที่บรรลุเพียงขั้นอู่เจ๋อระดับหนึ่งกลับยืนเลือกอาวุธเหล่านั้น! เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?! จูซือเจียไม่พอใจยิ่ง! “ตอนนี้เจ้าบรรลุเพียงขั้นอูเจ๋อระดับหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงอาวุธขั้นซวนหรอก แม้แต่ขั้นอำพันเจ้าก็ยังไม่สามารถครอบครองได้! ที่แห่งนี้มีอาวุธตั้งมากมายเจ้าแค่เลือกๆ มันไปไม่ได้หรือ?!”
“ไม่ใช่ว่าข้าเรื่องมากหรอกนะ เพียงแค่ระดับขั้นและประสิทธิภาพของอาวุธเหล่านี้ต่ำเกินไป…ช่างเถิด…ข้าเลือกไม้กวาดด้านนอกแล้วกัน!” เยี่ยฉวนกล่าวตามจริง
เมื่อนำอาวุธเหล่านี้สามารถกลายเป็นอาวุธสังหารได้ ทว่าอาวุธเหล่านี้ไร้ประโยชน์สำหรับเขา ไม่เช่นนั้นภพชาติที่แล้วเขาคงไม่มอบของพรรค์นี้ให้ผู้อื่น…ทว่าคำพูดสัตย์จริงของเยี่ยฉวนก็เป็นเหมือนเรื่องไร้สาระสำหรับจูซือเจีย
“หืม?! เจ้าไม่มีความสามารถพอที่จะใช้อาวุธเหล่านั้นแล้วยังจะกล้าพูดว่าระดับขั้นของอาวุธต่ำเกินไปอีกหรือ! ช่างไร้ยางอายสิ้นดี! แม้แต่ผีสางยังต้องกลัว!” จูซือเจียพึมพำกับตนเองและเริ่มไม่สบอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ
“สาวน้อย! ไปกันเถิด!” เยี่ยฉวนหัวเราะเสียงเบาพลางคว้าเอาไม้กวาดตรงมุมห้องติดมือไปด้วยขณะเดินออกจากหอศาสตราวุธ
ขณะที่ด้านหลังของพวกเขามีชายชราผู้ดูแลหอศาสตราวุธลอบมองเยี่ยฉวนแล้วส่ายศีรษะ เมื่อได้เห็นเยี่ยฉวนเลือกอาวุธเหล่านี้ ทั้งยังพูดถึงวิธีการใช้และบอกชื่อของมันได้อย่างแม่นยำจึงยินดี เพราะในที่สุดเยี่ยฉวนก็ตระหนักรู้แจ้งและดึงศักยภาพที่แท้จริงในตนเองออกมาได้แล้ว น่าเสียดายที่ระดับขั้นการฝึกตนของเขาต่ำกว่าภารโรงเสียอีก! เขาอุตส่าห์มีโอกาสเลือกอาวุธชั้นเลิศ ทว่ากลับถ่อมตนอย่างมีเกียรติและคุณธรรมและเลือกไม้กวาดไร้ค่าที่ไม่มีผู้ใดต้องการ…ช่างน่าสิ้นหวังนัก!
ท่านเจ้าสำนักต้องชราภาพจนสติฟั่นเฟือนเป็นแน่ จึงรับคนเช่นนี้เป็นลูกศิษย์สายตรง! อีกทั้งยังมอบตำแหน่งศิษย์พี่ใหญ่ให้เขาครอบครองอีก!
ชายชราผู้นั้นโคลงศีรษะพลางถอนหายใจด้วยความเศร้าโศก สำนักหมอกเมฆาไม่เพียงแค่ขาดเจ้าสำนักเท่านั้น ทว่าสถานการณ์โดยรวมยังเลวร้ายลงเรื่อยๆ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยาเม็ดชั้นเลิศสองหมื่นเม็ดอย่างนั้นหรือ?! ทางสำนักจะจัดหาภายในระยะเวลากระชั้นชิดเช่นนี้ได้อย่างไร?! ดูเหมือนว่าสำนักหมอกเมฆาคงจะไม่สามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้เสียแล้ว…
จูซือเจียเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นก่อนชักกระบี่บินออกมาพร้อมขึ้นไปเหยียบมัน จากนั้นจึงเหาะทะยานขึ้นไปบนอากาศทิ้งเยี่ยฉวนไว้เบื้องหลัง ครั้นเห็นอีกฝ่ายเดินขึ้นไปบนยอดเขาช้าราวหอยทากจึงถอนหายใจ หลังจากจงใจทิ้งระยะห่างจากเขาพอประมาณนางจึงแสร้งทำเหมือนกับว่ารอจนหมดความอดทน และเหาะย้อนกลับไปหาเขาพลางกล่าว “นี่! เจ้าเดินเร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ?! หากยังเดินช้าเช่นนี้...วันรุ่งขึ้นเจ้าก็ไปไม่ถึงยอดเขาเมฆาอินทนิลเป็นแน่!”
แม้นางจะเผยสีหน้าหมดความอดทนทว่าภายในใจกลับพึงใจยิ่ง นางจงใจเหาะเหินไปบนอากาศแล้วมองลงไปทยังเยี่ยฉวนอย่างเย้ยหยันด้วยตั้งใจจะทำให้เขาตกใจกลัว อีกทั้งยังต้องการอวดโฉมกระบี่บินใต้เท้าของตนอีกด้วย!
กระบี่บินที่อยู่ใต้เท้าของจูซือเจียคือกระบี่แก้วประกายทอง ท่านปู่มอบให้นางในวันคล้ายวันเกิดเมื่อไม่นานมานี้ เมื่อมองอย่างพินิจแล้วกระบี่เล่มนี้ดูคล้ายกับว่ามันโปร่งแสง ทว่าเมื่อเร่งความเร็วกระบี่เล่มนี้จะเปล่งประกายเป็นลำแสงสีทองบนท้องฟ้า บรรดาศิษย์หญิงในสำนักต่างอิจฉานางเพราะกระบี่เล่มนั้นช่างงดงามอย่างหาใดเปรียบ!
“วันรุ่งขึ้นก็วันรุ่งขึ้นสิ...ข้าเดินต่อไปไม่ไหวแล้ว!”
เมื่อพูดจบเยี่ยฉวนก็หยุดเดินและนั่งลงกับพื้นทันที ทว่าใบหน้าของเขาไร้ซึ่งความเหน็ดเหนื่อยและหยาดเหงื่อ ชัดเจนว่าเขากำลังหาข้ออ้าง! ทหารอารักขาบริเวณนั้นต่างมองเยี่ยฉวนด้วยสายตาดูถูก ทว่าหนังหน้าของเขาหนาพอที่จะไม่ใส่ใจกิริยาท่าทางเหล่านั้น หากเอาชีวิตรอดจากหายนะได้นิสัยใจคอก็จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงสินะ! แผนการของจูซือเจียจึงล้มเหลวไม่เหลือชิ้นดี
หนังหน้าของเขาหนาจนสัมผัสไม่รู้สึกเช่นนั้นแล้วจะทำให้เขาอับอายได้อย่างไร?
จูซือเจียขบกรามแน่น ความคิดต้องการอวดโฉมกระบี่บินพลันหายไปทันที...
“เจ้าจะเดินต่อหรือไม่?!”
“เดินสิ…แต่ข้าขอพักสักครู่”
“เจ้าพักมาครึ่งชั่วยามแล้ว! ยังไม่พออีกรึ?!”
“ขาข้าไม่มีแรงแล้ว ข้าเดินต่อไปไม่ไหว…เจียเจีย เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้ข้ายืมใช้กระบี่บินของเจ้าเล่า?”
“ฝันไปเถิด! หากข้าให้ยืม เจ้าก็ใช้มันไม่เป็นอยู่ดี!”
หัวใจของหญิงสาวอัดแน่นไปด้วยความโกรธจนนางนึกอยากตัดศีรษะของเขาเสีย! ครั้นเห็นว่าดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าจึงยอมพ่ายแพ้ให้กับความโชคร้ายของตนและอนุญาตให้เยี่ยฉวนขึ้นเหยียบกระบี่บินอย่างจำใจ
จูซือเจียใช้กระแสจิตบังคับความเร็วของกระบี่บินให้เพิ่มความเร็วเป็นสองเท่าจนเกิดประกายสีทองบนท้องฟ้า เหตุที่จงใจทำเช่นนี้เพราะอยากให้เยี่ยฉวนหวาดกลัว หากเขายังกล้ายั่วโมโหนางอีกผลลัพธ์คงออกมาไม่น่าดู! ขณะนั้นเองนางก็ตระหนักได้ว่าตนคิดผิดมหันต์ แทนที่เยี่ยฉวนจะเป็นฝ่ายกลัวแต่นางกลับเป็นฝ่ายที่หวาดกลัวเสียเอง! เพราะกระบี่บินเซไปมาไม่หยุดจนนางรู้สึกไม่มั่นคงแตกต่างจากทุกครั้งแม้พยายามควบคุมเพียงใด
“เหตุใดเจ้าจึงตัวหนักเช่นนี้?” จูซือเจียที่ยืนอยู่ด้านหน้าไม่มีสมาธิจดจ่ออยู่กับการควบคุมกระบี่บินที่อยู่ใต้ฝ่าท้าเลยแม้แต่น้อย เพราะจิตใจยังเต็มไปความโกรธเคือง ทันใดที่ตระหนักว่าตนไม่สามารถควบคุมมันได้อีกต่อไป เม็ดเหงื่อก็ไหลลงมาจากหน้าผาก
“ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าเป็นเพียงคนธรรมดา...ไม่ได้มีรูปลักษณ์สง่างามเช่นพวกเจ้าเสียหน่อย!”
เยี่ยฉวนยกยิ้มอย่างมีเลศนัยพลางใช้มือข้างหนึ่งโอบเอวคอดบางของจูซือเจียไว้แน่น ขณะที่ร่างทั้งสองแนบชิดกันเขาก็เผยรอยยิ้มพลางมองใบหน้าด้านข้างของนางพลางลอบใช้พลังเล็กน้อยเหยียบกระบี่เบาๆ ทันใดนั้นกระบี่บินก็เสียการควบคุม ทั้งคู่ส่งเสียงร้องดังลั่นขณะที่กระบี่ร่อนลงสู่พื้นด้วยความเร็วสูง! จูซือเจียกลับมาควบคุมกระบี่ด้วยความยากลำบาก หลังจากนั้นจึงเหาะไปยังยอดเขาเมฆาอินทนิลอีกครั้งโดยไม่เปลี่ยนทิศทางอีกเลย...