px

เรื่อง : ราชันสามภพ (นิยายแปล)
ตอนที่ 9 พวกเราชักจะร่ำรวยกันแล้วนะเนี่ย


ตอนที่ 9 – พวกเราชักจะร่ำรวยกันแล้วนะเนี่ย

 

-------------------------

ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ หัวหน้าหอลำดับสามก็คิดภาพไม่ออกว่า เมื่อจ้าวหอโอสถกลับมาจะเกิดอะไรกับเขาบ้าง หากปล่อยโอกาสครั้งนี้พลาดไป

 

อีกอย่างมันก็ไม่ใช่แค่ยารักษาทั่วๆ ไป แต่มันคือสิ่งที่ผู้ฝึกปริทุกคนล้วนต่างอยากได้ เพราะฉะนั้นมันจะสามารถสร้างมูลค่าได้มหาศาลอย่างแน่นอน

 

แถมตอนนี้พวกเรายังเป็นคนผูกขาดแต่ผู้เดียว ไม่มีผู้อื่นที่ผลิตได้ มันจะทำให้เราสามารถควบคุมตราดได้อย่างง่ายดาย

 

การค้าเช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมากนัก หากพวกเขาพลาดไป เขาคงจะร่ำให้ไปตลอดชีวิตแน่ๆ

 

"นายท่าน!! ทุกอย่างเราสามารถคุยกันได้ เราจะมอบค่าเสียเวลาสำหรับปัญหาที่ท่านได้รับเป็นเช่นไร? เอาเป็นเพื่อพิสูจน์ความจริงใจของเรา เราจะมอบให้ท่านหนึ่งหมื่นเหรียญเงินเป็นอย่างไร? ถือซะว่ามันเป็นสิ่งแสดงความจริงใจของเรา และข้ายังยอมรับในข้อเสนอส่วนแบ่ง 50/50 ของท่านอีกด้วย พวกเราสามารถเซ็นหนังสือสัญญากันได้ทันทีที่ท่านจ้าวหอโอสถกลับมา"

 

เจี้ยงเฉิงนั้นดีใจราวกับดอกไม้เบ่งบานในหัวใจของเขา เขายังจำคำกล่าวของเจี้ยงเฉินได้ดี ส่วนแบ่ง 50/50 นั้น คือต่ำสุด หากเขาสามารถต่อรองส่วนแบ่งได้เพิ่ม ส่วนนั้นจะกลายเป็นของเขา เป็นของเจี้ยงเฉิงคนนี้!!!

 

นี่ไม่ใช่ว่าโอกาสนั้นมาเคาะประตูหน้าบ้านเขาแล้วหรอกหรือ?

 

"หัวหน้าหอลำดับสาม ข้าให้โอกาสเจ้าไปแล้ว แต่เจ้าก็ไม่ยอมรับมัน เพราะฉะนั้นส่วนแบ่ง 50/50 นั้นเป็นอดีตไปเสียแล้ว ข้าเชื่อว่าวิหารสวนแห่งพระเจ้าและสวนยาแห่งราชันนั้นย้อมเสนอแม้กระทั่ง 70/30 แน่นอน"

 

มันไม่ใช่เรื่องกล่าวเกินเลยไปเลย วิหารสวนแห่งพระเจ้าและสวนยาแห่งราชันนั้นต้องยอมรับแน่นอนเพราะมันจะช่วยให้พวกเขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดยาในอาณาจักรอย่างแน่นอน พวกมันจะพลาดโอกาสที่มาเคาะถึงหน้าบ้านได้อย่างไรเล่า

 

ราคาในการผลิตนั้นจะอยู่ที่ 10% ต่อให้เป็นในอัตราส่วน 70/30 พวกเขาก็ยังคงได้กำไรถึง 20%

 

และ 20% นี้ ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น มันสามารถทำให้คนหยุดหายใจได้ทีเดียว เพราะสิ่งนี้มันสามารถสยบตลาดทั่วทั้งหกอาณาจักรได้อย่างไม่ต้องสงสัย!!

 

กำไรที่น้อย สามารถทดแทนด้วยปริมาณที่มากได้!!!!

 

"..ร่างสัญญาทันทีๆ!!! ฟังข้า ไปนำเงินหนึ่งหมื่นเหรียญทองมาให้นายท่านผู้นี้ และร่างสัญญาเพื่อแสดงความจริงใจของพวกเรา!!" หัวหน้าหอลำดับสามนั้นอยากจะตบหน้าของตนเองจริงๆ ทำไมก่อนหน้านี้ข้าไม่คิดให้มันดีนะ ทำไมข้าไม่เด็ดเดี่ยวให้มากกว่านี้กัน!!

 

ส่วนแบ่ง 50/50 กลายเป็นเช่นนี้ในเวลาแค่กระพริบตาเท่านั้น!!

 

แต่มันก็ยังคงเป็นการแลกเปลี่ยนที่ดีอยู่ หัวหน้าหอลำดับสามตัดสินใจที่จะทำสัญญาทันทีเมื่อเขาคิดถึงอนาคตของยาชนิดนี้ ทางที่ดีอย่าทำให้นายท่านผู้นี้อารมณ์เสียดีกว่า ส่วนแบ่ง 70/30 นั้นอาจจะมลายหายไปหากนายท่านผู้นั้นเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาอีก ดีไม่ดีเราอาจจะได้แค่ 10% เท่านั้น

 

เจี้ยงเฉิงนั้นตอนนี้มีความสุขอย่างมากและพอใจทีเดียวหลังจากที่เขารับเงินหนึ่งหมื่นทองมาเรียบร้อย เขาวางมือบนไหล่ของหัวหน้าหอลำดับสามพลางกล่าว "เจ้าเป็นคนที่ใช้ได้ทีเดียว มาร่างสัญญากันเถิด ข้าจะเอาเพียง หกส่วนเท่านั้นส่วนเจ้าก็เอาไปสี่ส่วน เท่านี้พวกเราก็ยินดีทั้งสองฝ่ายแล้ว"

 

เจี้ยงเฉิงนั้นแทบจะลืมทางกลับบ้านไปทีเดียว เขารู้สึกราวกับร่างกายจะลอยไปสู่หมู่เมฆบนท้องฟ้าในระหว่างที่เดินบนถนน

 

ตอนนี้เขาทั้งยินดีและตื่นเต้นอย่างมาก

 

ตื่นเต้าราวกับว่าทั้งหมดเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง

 

ตอนนี้เงินหนึ่งหมื่นทองแทบจะไรค่าในสายตาของเขา สัญญานั้นได้ถูกร่างเรียบร้อย และเขาก็ตรวจมันมาแล้ว เขาจำได้ว่า นายน้อยนั้นสัญญากับเขาไว้ว่า หากได้ส่วนแบ่งมากกว่า 5 ส่วน ส่วนที่เหลือจะกลายเป็นของเขา

 

แต่เขาก็ไม่ได้เซ็นสัญญา เพราะเขาจะให้นายน้อยเป็นคนตัดสินใจ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงเป็นข้ารับใช้อยู่ เขาไม่กล้าเซ็นสัญญาใดๆ โดยไม่มีคำสั่งจากเจ้านายแน่ๆ

 

เจี้ยงเฉิงนับนิ้วของตนเอง ถ้าเขาเปลี่ยนรายรับหนึ่งส่วนนั้นไปเป็นเหรียญเงิน แค่นี้ก็เพียงพอให้เขาใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไปชั่วชีวิตแน่นอน!!

 

ล้อมรอบไปด้วยดินแดนและทะเล สวมใส่ชุดที่ดูหรูหรา ขี่บนม้าที่ดูสง่างาม มีที่ดินมากมายล้อมรอบคฤหาสน์ ทั้งเงินทั้งทองมีเต็มบ้าน

 

ตอนนี้เจี้ยงเฉิงนั้นรู้สึกว่าประตูแห่งสวรรค์กำลังเปิดกว้างสำหรับเขาแล้ว!!

 

สนทนาอย่างมีพลัง เป็นสหายกับเหล่าขุนนาง อยู่ร่วมกันกับภรรยาอย่างมีความสุขและเลี้ยงดูลูกหลาน

 

โอ้! นั่นไง! ชีวิตเช่นนั้นกำลังโบกมือทักทายเขาอยู่

 

ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข บริจาคเงินเท่าไหร่ก็ได้ ร่วมสำส่อนหญิงโสเภนีกับเหล่าขุนนางและองค์ชาย ร่วมดื่มกับเหล่าขุนนางชั้นสูง

 

โอ้ ชีวิตเช่นนั้นของข้าอยู่ไม่ไกลแล้ว

 

เขากลับมาถึงคฤหาสน์อย่างมีความสุขและกลับไปรายงานข่าวดีให้กับนายน้องของตนเอง แต่กลับต้องพบว่า นายน้อยนั้นปิดประตูเพื่อฝึกฝน เพราะฉะนั้นสิ่งรายงานต่างๆ ต้องรอไปก่อน

 

เจี้ยงเฉิงนั้นไม่คิดอะไรมาก เพราะตอนนี้ทั่วทั้งร่างของเขาถูกห่อหุ้มไปด้วยความปิติยินดี เขาไม่ได้คิดที่จะกลับไป จึงได้นั่งลงเบื้องหน้าห้องของนายน้อย ปกปักรักษาหน้าห้องอย่างจงรักภักษ์ดี

 

เมื่อเขานั่งลงเขาก็ยังไม่สามารถสงบจิตใจลงได้ เมื่อเขานึกย้อนไปถึงพฤติกรรมในอดีตของนายน้อยรวมกับเหตุการณ์แปลกๆ ในวันนี้

 

เจี้ยงเฉิงก็อดจะสงสัยออกมาไม่ได้ "นี่นายน้อยหลอกลวงมาตลอดงั้นรึ? ก่อนหน้านี้ที่นายน้อยทำตัวไร้สาระก็เพื่อจะทดสอบข้างั้นรึ? นายน้อยกลับแกล้งอ่อนแอ ทั้งที่จริงแล้วเขาค่อนข้างแข็งแกร่ง?"

 

ไม่ว่ามันจะเป็นการหลอกลวงหรือว่าเป็นการมาเยือนของเหล่าเทพก็ตาม แต่ตอนนี้เขากลับเข้าใจแล้วว่าสิ่งที่เขาคิดก่อนหน้านี้นั่นเขาคิดผิด

 

เขารู้ดีว่าต่อให้นายน้อยไม่มีสิ่งตอบแทนอย่างอื่น แต่ว่าผลที่ได้จากสูตรยานี้ก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว

 

ในฐานะที่เป็นข้ารับใช้และพ่อบ้านของนายน้อยควรจะใกล้ชิดนายน้อยให้มากที่สุด

 

"ก่อนหน้านี้เขาช่างโง่งนักที่คิดจะลาออก ต้องขอบใจสวรรค์ที่นายน้อยยังเชื่อในข้าอยู่ จึงทำให้ข้าได้มีการงานที่ดีในอนาคตเช่นนี้ ไม่ว่าจะสูญเสียหรือได้รับอะไรนั่นก็ไม่ใช่ปัญหา ก่อนหน้านี้ที่นายน้อยไม่ทำอันไดก็เพราะนายน้อยไม่สนใจที่จะทำ แต่ตอนนี้ เขาได้ลงมือกระทำแล้วหนึ่งอย่าง แถมยังเปิดตัวได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ดูเหมือนว่านายน้อยจะไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว"

 

ความคิดมหาศาลหมุนวนภายในหัวของเจี้ยงเฉิง แต่สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือความคิดเกี่ยวกับอนาคต เขาต้องมั่นคงอย่างแน่นอน หากติดตามนายน้อยไป เขาจะไม่หวั่นต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟซักเท่าไหร่ก็ตาม

 

ไม่ใช่ว่าจุดมุ่งหมายของพ่อบ้านคือติดตามเจ้านายของตนเองจนกว่าจะได้รับทั้งพลังและความมั่งคั่งหรอกรึ?

 

ยิ่งเขาคิดมากมายเท่าไหร่เลือดในกายของเขาก็ยิ่งสั่นไหว ในบ้านหลังนี้นั้นเขาไม่ได้มีสถานะสูงส่งอะไรเลย แถมภรรยาแสนขี้ขนาดของเขายังมองเขาว่ามีอนาคตไม่ไกลอีก

 

แล้วใยข้าเจี้ยงเฉิงต้องไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเล่า? ต่อให้พวกนั้นมีสถานะสูงสักปานใด ข้าก็สามารถกล่าวได้ว่า พวกมันไม่มีทางเทียบกับข้าในวันนี้ได้หรอก!!

 

ในขณะที่เจี้ยงเฉิงกำลังฝันหวานอยู่นั้น เจี้ยงเฉินก็กำลังทำการฝึกฝนครั้งแรกทั้งในชีวิตก่อนและชีวิตนี้อยู่!!

 

หรืออาจจะกล่าวได้ว่า เจี้ยงเฉินคนก่อนนั้น ขี้เกียจตัวพ่อเลยก็ว่าได้ แม้ว่าความสามารถที่ซ่อนเร้นอยู่ของเขาจะเป็นระดับท๊อปของผู้สืบสายของขุนนางทั้ง 108 ก็ตาม แต่เขากลับทำได้เพียงอยู่อันดับท้ายอย่างไม่ต้องสงสัย

 

"เจ้าเด็กคนนี้ ไม่เคยทำอะไรเลยซักอย่าง!! ส่งผลให้พลังแฝงเหล่านี้กลายเป็นไร้ค่า!!" เจี้ยงเฉินนั้นไม่ค่อยยินดีกับตัวเองคนก่อนเท่าไหร่นัก

 

การแบ่งแยกพลังเต๋าของโลกไบนี้นั้นแบ่งโดยใช้ระดับของพลังปราณที่แท้จริง

 

ในร่างของมนุษย์เรานั้นจะมีจุดหลักๆ อยู่ 12 จุดบนร่างกาย และมีเส้นสายการไหลเวียนถึง 12 สาย สามารถปลดผนึกพลังแต่ละสายได้ด้วยการเปิดจุดเหล่านั้น และเดินพลังปราณที่แท้จริงเข้าไปรวบรวมในร่างกาย

 

สรุปรวมๆ ก็คือ ในขอบเขตพลังปราณแท้จริงนั้นแบ่งออกเป็น 12 ระดับ

 

แต่ในอาณาจักรตงฟางแห่งนี้กลับไม่มีแม้ซักครึ่งคนที่สามารถทะลวงจุดทั้งสิบสองได้

 

ในการฝึกฝนนั้นมีคนกล่าวไว้ว่า ในระดับปราณแท้จริงระดับ 12 นั้น เป็นการแบ่งแยกระหว่างงูและมังกร!!

 

หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ผู้ฝึกตนคนนั้นเป็นงูหรือมังกร ขึ้นอยู่กับจุดบนร่างกายที่พวกเขาเปิดได้

 

หรือจะกล่าวง่ายๆ ว่า หากสามารถเปิดจุดสามจุดได้ เรียกกันโดยทั่วไปว่าก้าวแรกสู่ลมปราณแท้จริง ซึ่งผู้อยู่ในระดับนี้จะแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปนิดหน่อย เหมาะสมที่จะเป็นทหารในสงคราม หรือเป็นองค์รักษ์ประจำบ้าน

 

หากก้าวเข้าสู่สามถึงหกจุดเราเรียกช่วงนี้ว่า ขั้นกลางของลมปราณแท้จริง ในระดับเรียกได้ว่าเป็นระดับที่ผู้ฝึกตนอยู่กันมาก พวกเขาต่างแข็งแกร่งกันมากและกลายเป็นคนที่ประสบณ์ความสำเร็จ!!

 

จุดที่หกถึงเก้านั้น เรียกได้ว่าก้าวเข้าสู่ลมปราณแท้จริงระดับสูงเรียบร้อยแล้ว

 

ผู้ที่อยู่ในระดับปราณแท้จริงระดับสูงนั้นมีไม่มากนัก ผู้ที่อยู่ในระดับนี้แทบจะสั่นสะเทือนได้ทั้งอาณาจักรตงฟางเลยทีเดียว

 

ส่วนในจุดที่เก้าขึ้นไปนั้นเรียกได้ว่าเป็นระดับปรมาจารย์ปราณแท้จริง แต่ผู้ที่อยู่ในระดับนี้นั้นเรียกได้ว่าหายากยิ่งกว่าขนวิหกค์เพลิงหรือว่าเกร็ดมังกรเสียอีก

 

มีน้อยคนนักในอาณาจักรตงฟางแห่งนี้ ใครก็ตามที่ฝึกมาถึงระดับที่เก้าขึ้นไป ย่อมมีคนนับถือเป็นระดับปรมาจารย์ปราณแท้จริง หรือยอดยุทธ์อัฉริยะเลยทีเดียว

 

แต่ก็แน่นอนว่าสิบสองระดับของลมปราณแท้จริงนั้นเป็นเพียงรากฐานเท่านั้น เพราะหากใช้แค่พลังปราณแท้จริงย่อมไม่แข็งแกร่งเท่าไหร่ หากพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนปราณแท้จริงให้อยู่ในรูปจิตปราณได้พวกเขาย่อมไร้ประโยชน์ พวกเขาต่างอายุสั้นเพียงสองร้อยปีเท่านั้น

 

ดั่งคำกล่าวที่มีคนกล่าวว่า หากไม่สามารถเปลี่ยนปราณแท้จริงเป็นปราณจิตได้ย่อมเป็นได้เพียงหนอนแมลงเท่านั้น

 

เมื่อรวมคำกล่าวทั้งสองเข้าด้วยกัน ทำให้เกิดคำกล่าวใหม่ขึ้นว่า "ในระดับปราณแท้จริงระดับ 12 นั้น เป็นการแบ่งแยกระหว่างงูและมังกร หากไม่สามารถเปลี่ยนปราณแท้จริงเป็นปราณจิตได้ย่อมเป็นได้เพียงหนอนแมลงเท่านั้น!!"

 

การเปลี่ยนปราณแท้จริงเป็นปราณจิตหมายความว่ายังไงงั้นรึ?

 

เมื่อเราฝึกปราณแท้จริงจนถึงระดับสูงสุด เราจะสามารถมองเห็นทะเลจิตวิญญาณได้ และสามารถเปลี่ยนสภาพปราณแท้จริงให้เป็นปราณจิตได้ มันคือการหยิบยืมพลังแห่งธรรมชาติ และเปลี่ยนมันเป็นพลังแห่งจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ได้

 

เมื่อเปลี่ยนปราณแท้จริงให้เป็นปราณจิตได้ หมายความว่าเราหลุดพ้นจากขอบเขตุพลังเต๋าแล้วก้าวเข้าสู่จิตวิญญาณแห่งเต๋าเรียบร้อย

 

ผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณแห่งเต๋าสามารถสร้างหมู่เมฆได้ด้วยการสะบัดมือเพียงหนึ่งครั้ง แล้วสามารถทำให้ฝนตกมาได้ด้วยการสะบัดมืออีกครั้ง พวกเขาสามารถเรียกฝนเรียกลม ยกฟ้าย้ายภูเขาหรือเผาทะเลด้วยซ้ำ

 

เรียกได้ว่า ต่อให้รวมพลังของปรมาจารย์ปราณแท้จริง เป็นสิบคนก็ไม่สามารถต้านทานผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณแห่งเต๋าได้!!

 

มันไม่ใช่เรื่องที่กล่าวเกินเลยไปซักนิด เพราะหากมีคนก้าวถึงระดับนั้นจริงๆ พวกเขาจะราวกับมังกรทองคำรามลั่นนภาเลยทีเดียว

 

เขาคือตำนานของนักรบระดับผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณแห่งเต๋าที่ยังอาศัยอยู่ในอาณาจักรตงฟาง แต่เขาชอบอยู่อย่างสันโดษ ในส่วนที่ไม่มีใครรู้จักแม้แต่องค์ราชายังต้องให้ความเคารพแค่เขา

 

เรื่องที่น่าตลกคือ ในโลกแห่งการฝึกตนนั้น คนที่ผ่านระดับจิตวิญญาณแห่งเต๋าได้มีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยอย่างไรก็ตามในหมู่คนที่กล่าวมา ไม่มีซักคนที่ก้าวเข้าสู่ระดับสุดยอดปรมาจารย์ปราณแท้จริง

 

อะไรคือปรมาจารย์ปราณแท้จริงงั้นเหรอ?

 

มันหมายความว่าผู้ฝึกตนระดับอัจฉริยะ ที่สามารถทะลวงจุดชีพจรทั้ง 12 จุดและลมปราณทั้ง 12 สายได้

 

ในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรตงฟางนั้น ไม่เคยมีใครให้กำเนิดอัจฉริยะขนาดนั้นมาก่อน ต่อให้เป็นอีกทั้ง 6 อาณาจักรที่เหลือก็ตาม

 

ผู้ฝึกตนระดับจุดชีพจร 12 จุดนั้น ไม่ใช่ธรรมดาๆ เหมือนอย่างผู้ฝึกตนระดับจิตวิญญาณแห่งเต๋าทั่วไป

 

ต่อให้เป็น สิบหรือสิบเอ็ดจุดในอาณาจักรทั้งหมดยังแทบนับนิ้วได้

 

แต่เท่าที่รู้ตอนนี้ยังไม่มีใครที่เปิดจุดชีพจรถึง 12 จุด

 

แต่เมื่อพูดถึงหลักความเป็นจริงแล้วนั้นเมื่อพวกเขาถึงระดับ 11 แล้ว การจะก้าวเข้าสู่ระดับ 12 ต้องมีประสบการณ์การต่อสู้เพื่อผ่านจุดนี้ไป แต่กฎของการฝึกนั้นโหดร้ายอย่างมาก

 

อัจฉริยะบางคนพยายามอย่างหนักเพื่อก้าวขึ้นสู่ระดับ 12 แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จและต้องสูญเสียโอกาสดีๆ ในการก้าวเข้าสู่ระดับจิตวิญญาณแห่งเต๋าได้

 

ตามกฎของพลังเต๋าแล้วนั้น ผู้ที่อายุต่ำกว่า 30 ปีจะมีโอกาศสูงที่จะก้าวผ่านไปอยู่ในระดับปราณจิต และเมื่ออายุต่ำกว่า 40 ปี จะลดลงจนเหลือเพียงครึ่งเดียว และอายุเกิน 50 จะไม่มีโอกาศผ่านไปได้

 

หากไม่หาโอกาสในช่วงระดับ 11 เพื่อยกระดับ พวกเขาจะไม่มีโอกาสตลอดการหากอายุเกินไป

 

การอยู่ในระดับ 12 ในระดับปราณแท้จริงนั้น มีช่วงอายุเพียงไม่เกิน 300 ปีเท่านั้น

 

แต่สำหรับผู้ที่ก้าวผ่านระดับปราณแท้จริงไป ช่วงอายุจะกระโดดไปถึง 700 หรือ 800 หรืออาจจะมากกว่า 1000 ปี ด้วยซ้ำ ส่งผลให้พวกเขาเหล่านั้นมีโอกาสในการฝึกปรือมากขึ้น

 

ดูเหมือนว่าผู้ฝึกระดับ 11 และ 10 จุดนั้น อยู่ในสภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ให้เลือกระหว่างจะก้าวไปสู่ระดับ 12 ต่อ ดี หรือใช้ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการก้าวไปยังปราณจิตดี?

 

เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากมาก แต่ผู้ฝึกตนส่วนมากเลือกที่จะก้าวผ่านไปยังปราณจิตมากกว่าที่จะไปต่อยัง ระดับ 12

 

ถึงแม้ว่าโอกาสสำเร็จมันจะต่ำแต่ก็ยังดีกว่าปล่อยเวลาให้มันผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ด้วยการก้าวไปยังระดับ 12 ใช่มั้ย?

 

การยืดอายุขึ้นไปอีกย่อมได้รับประโยชน์มากกว่าอยู่แล้ว

 

แน่นอนว่าสำหรับเจี้ยงเฉินตอนนี้ย่อมไม่มีเวลาไปครุ่นคิดถึงเรื่องนั้น

 

ด้วยความสามารถของเขาตอนนี้ ย่อมยังไม่ถึงเวลาที่ต้องคิดถึงเรื่องนั้น

 

สิ่งที่เขาต้องทำตอนนี้คือ เพิ่มความแข็งแกร่งให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก่อนถึงการทดสอบมังกรซ่อนที่กำลังจะถึงนี้ หากเขาไม่ผ่านครั้งนี้และไม่ได้รับโอกาสในการสอบผ่านการทดสอบนี้ ก้าวแรกที่เขามาเกิดใหม่จะกลายเป็นเรื่องที่น่าหดหู่ทันที

รีวิวผู้อ่าน