ตอนที่ 46 ผมเจตนามาเพื่อก่อกวน
บ้ากาม ?
ก็เห็นอยู่ว่าเจตนาดี ทำไมถึงกลายเป็นคนบ้ากามได้ล่ะ ?
หลิวเฟยมองดูโม่อวี้ที่แลดูเขินอาย ทำตัวไม่เป็นธรรมชาติ ตอนนี้ทั่วทั้งตัวของเธอกลับแสดงท่าทีเหมือนแม่สาวน้อยออกมาอย่างเหนียมอาย และเมื่อมองเห็นรถเฟอรารี่สีน้ำเงินของหลู่อิงปิน เขาก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ทันที
ไม่ใช่ว่าเธอคิดว่าเขาพาเธอมาที่นี้เพื่อทำให้รถ…สั่นนะ ?
หลังจากที่หลิวเฟยสับสนไปสักพัก เขาก็กระแอมออกมาเบา ๆ “ประธานโม่ คุณคิดไปถึงไหนกัน ? ”
โม่อวี้ขมวดคิ้วทันทีพร้อมทุบตีเขาด้วยความเขินอาย “ทำไมนายน่ารังเกียจแบบนี้นะ ? อย่าคิดว่าฉันไม่รู้นะว่านายมีแผนอะไรอยู่ในใจ”
“แผนอะไรกัน ? ”
“นาย ! เปิดประตูรถ ฉันจะทำให้นายเอง ! ”
หลิวเฟยกลั้นยิ้มรีบยกมือปฎิเสธ “อย่าเข้าใจผิด ! ประธานโม่ ถึงแม้ว่าผมจะช่วยคุณ แต่ไม่ได้หมายความว่าผมจะมอบหัวใจให้กับคุณหรอกนะ หากคุณอยากจะแสดงออกถึงความขอบคุณ ก็ควรเพิ่มราคาให้อาหารทะเลผมสักหน่อยดีไหม ? ผมเป็นคนที่พอใจง่าย ขอแค่เพิ่มขึ้น 3-5 หยวนต่อจิน จากนี้ไปผมจะต้องสรรเสริญคุณราวกับเป็นพระโพธิสัตว์แน่นอน ! ”
โม่อวี้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “บ้าหรือเปล่า เพิ่ม 3-5 หยวนต่อหนึ่งจิน ขอมากเกินไปแล้ว อยากให้ฉันขาดทุนจนต้องขายไตหรือไง ? ”
หลิวเฟยเห็นว่าเธอยังไม่ตอบสนองใด ๆ กลับมา เขายิ้มและมองไปรอบ ๆ เมื่อพบว่ามีก้อนหินก้อนเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกล เขาจึงรีบวิ่งไปเก็บมันขึ้นมา จากนั้นวิ่งกลับมาหยุดอยู่ที่หน้ารถเฟอร์รารีแล้วยื่นก้อนหินให้กับเธอ “ประธานโม่ คุณใจร้ายจริง ๆ เราต่างก็คนกันเอง ผมพาคุณมาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้แหละ ! ”
โม่อวี้มองกองหินที่อยู่ในมืออย่างสับสนมึนงง “คืออะไรหรือ ? ”
“ให้คุณได้ระบาย ปลดปล่อยออกมาไง ! ”
“ห๊ะ ? ”
“……”
พูดถึงขนาดนี้แล้ว เธอก็ยังไม่มีการตอบสนองใด ๆ หรือว่าในสมองของเธอยังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ ?
ความคิดนี้ทำให้หลิวเฟยอดทอดถอนใจออกมาไม่ได้ ฮอร์โมนของผู้หญิงเวลาพลุ่งพล่านนั้นน่ากลัวกว่าผู้ชายเสียอีก
เขาส่ายหน้า คว้าเอาหินที่อยู่ในมือเธอ จากนั้นลงมือวาดลวดลาย ไม่นานนักบนตัวรถก็ถูกขูดคำว่า “หลู่” ไว้ตัวใหญ่
เมื่อมองเห็นรอยขีดขวนที่ทรงพลังและคล้ายกับ “เสียสติ ” โม่อวี้ก็ได้สติคืนมา แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เธอเข้าใจความหมายของเขาผิด ทั้งยังใช้คำพูดประจบเอาใจ เธอก็รู้สึกอายเป็นอย่างมากจนแทบอยากจะแทรกแผ่นดินหนีเสียให้รู้แล้วรู้รอด !
หลิวเฟยเห็นว่าเธอหันหลังให้กับเขา ทั้งยังเอามือปิดหน้าปิดตาไว้ จึงกระแอมไอดัง ๆ “เฮ้ คุณยังเขินอายอยู่อีกหรือ มันไม่มีอะไรอีกแล้ว ผมรู้ว่าเรื่องนี้มันเรื่องที่ทำให้เข้าใจผิดได้ง่าย เฮ้อ …ผมผิดเอง ที่ไม่ได้พูดให้ชัดเจน…”
“นายเพิ่งจะรู้ตัวหรือ ! ”
โม่อวี้หันหลังกลับและพุ่งเข้ามาทุบตีเขาอย่างทันที แต่กลับไม่ได้ออกแรงมากไป
ปล่อยให้เธอทุบตีอยู่สักพัก หลิวเฟยก็ยื่นก้อนหินให้เธออีกครั้ง “เดิมทีตอนอยู่ที่บ้านของหลู่อิงปิน ผมก็อยากจะให้คุณสั่งสอนเขาด้วยตัวคุณเอง แต่สภาพคุณตอนนั้นไม่อำนวย ดังนั้นก็ทำได้แค่นี้ ตอนนี้คุณก็สั่งสอนเขาเถอะ ! ”
มันสำคัญด้วยหรือ ?
นี้คือรถเฟอร์รารี่รุ่นที่ทั่วโลกมีจำนวนจำกัด มูลค่านับสิบล้านหยวนและเป็นของรักของหวงของหลู่อิงปิน !
หากทั้งคู่ขูดรถคันนี้จนทำให้เสียหาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลู่อิงปินจะต้องอกแตกตายอย่างแน่นอน !
เธอเข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงต้องการกุญแจรถหรูของหลู่อิงปินขนาดนั้น ที่แท้ทุกอย่างก็ถูกวางแผนไว้เป็นอย่างดีนี่เอง
เธอกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “หลิวเฟย นายช่างเป็นคนมีลับลมคมในจริง ๆ ฉันชอบมันนะ เพียงแต่ นี่…”
หลิวเฟยส่ายหน้า “เพียงแต่อะไรกัน ลองคิดดูสิว่าเขาทำอะไรกับคุณในบ้านพักนั่น แต่ก่อนเขาทำยังไงกับคุณไว้บ้าง จากนั้นก็ปลดปล่อยมันออกมาซะ ! ไม่ต้องเกรงใจ ส่วนจะขูดว่าอะไร ผมช่วยคุณคิดมาเรียบร้อยแล้ว คุณขูดคำว่า ‘เดรัชฉานหลู่อิงปิน’ ไปเลย ! ”
ในฐานะหมอ หลิวเฟยรู้ดีว่าอาการป่วยทางจิตเป็นสิ่งที่รักษาให้หายได้ยาก ทั้งเรื่องนี้จะต้องทิ้งรอยบาดแผลในใจไว้ให้เธอแน่นอน หากไม่ยอมให้เธอรีบระบายมันออกมาตอนนี้ อาการประจำเดือนผิดปกติของเธอก็ยิ่งรักษาได้ยาก และจะยิ่งทำให้เธอป่วยทางจิตได้ง่าย ๆ
ฉะนั้นเมื่อเขาคิดถึงกลอุบายดังกล่าว แน่นอนว่านี่ยังหมายถึงการเตือนไปถึงหลู่อิงปินอีกครั้งไม่ใช่ว่าแกเสียสติไปแล้วหรือ ? หากฉันสติแตกขึ้นมา แกจะต้องได้ร้องไห้หาพ่อแม่บ้างล่ะ !
โม่อวี้คิดไปคิดมา สองมือกำหมัดแน่นเต็มพร้อมไปด้วยเรี่ยวแรง เธอกัดฟันและไม่ได้สนใจอะไรไปมากกว่านี้ เจ้าตัวสบถคำด่าออกมาพลางให้ก้อนหินขูดรถอย่างเต็มแรง
จากนั้นไม่นาน คำว่า “เดรัชฉานหลู่อิงปิน” ตัวใหญ่ก็ปรากฎขึ้นอยู่บริเวณสองข้างของรถเฟอร์รารี่
หลิวเฟยเห็นว่าเธอเหงื่อท่วมตัวจึงยิ้มและพูดว่า “ได้ระบายออกมา รู้สึกเป็นยังไงบ้าง ? ”
โม่อวี้ใช้มือปัดป่ายเส้นผมยุ่งเหยิงตรงหน้าผาก จากนั้นพูดออกมาเบา ๆ “นายรอฉันก่อน ! ”
เธอหายไปสักพัก ก่อนกลับมาพร้อมกับถังสีสเปย์ จากนั้นเธอบรรจงพ่นไปบนตัวรถเฟอร์รารี ยิ่งพ่นเธอก็ยิ่งยิ้มร่ามากกว่าเดิม แต่หลังจากพ่นสร็จ เธอก็ฟุบลงกับพื้นและร้องไห้ขึ้นมาอย่างน่าสงสาร
หลิวเฟยไม่ได้เข้าไปปลอบใจ เขาเพียงแค่เดินวนรอบ ๆ รถเฟอร์รารี เพื่อชื่นชม “ผลงานชิ้นเอก” ของเธอ
ผ่านไปสักพัก โม่อวี้ก็ใช้มือปาดน้ำตาและลุกขึ้นยืนทันที “ปล่อยให้คนที่ทำให้ฉันไม่มีความสุขตกนรกไปเถอะ ! หลิวเฟย ขอบคุณนายมากเลยจริง ๆ ที่ช่วยชีวิตฉัน ที่ช่วยทำให้ฉันหายเป็นบ้าและทำให้ฉันรู้ว่าฉันสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ! ”
หลิวเฟยยิ้มและเดินมาหยุดตรงหน้าเธอ ช่วยเธอเช็ดน้ำตาและพูดขึ้นว่า “พวกเราเป็นเพื่อนกัน ทำไมต้องพูดเรื่องแบบนี้ด้วย ? ”
โม่อวี้เหลือบมองไปที่รถสปอร์ต “พวกเราเอาแต่ใจเช่นนี้ เขาจะไม่ใช้กระบวนการทางกฎหมายเรียกร้องสินไหมทดแทนใช่ไหม ? ”
หลิวเฟยตีหน้าผากตัวเอง “โอ้ย ทำไมผมลืมเรื่องนี้ไปเลยล่ะ แย่แล้วสิ รถสปอร์ตรุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นถูกพวกเราทำเสียโฉมแบบนี้ หากต้องซ่อมคงต้องใช้เงินมหาศาล ผมก็เป็นแค่ชาวนาตัวเล็ก ๆ ไม่มีปัญญาจ่ายหรอก ไม่งั้นผมกลับไปขายที่ดินสักสองสามหมู่ก่อนดีไหมนะ ? ”
เมื่อเห็นท่าทางที่เจ้าเล่ห์ของเขา โม่อวี้ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงดัง “ยอมคุณแล้วจริง ๆ ตลกจริง ๆ เลย”
“ช่วยไม่ได้ ผมไม่มีข้อดีอย่างอื่นเลย นอกจากมองโลกในแง่ดี ! วางใจเถอะ เขามัดคุณไว้ทั้งวัน แถมยังทำเรื่องแบบนั้นกับคุณ มันชั่วช้ามาก อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่จะโครตขายขี้หน้า เขาไม่กล้าแจ้งตำรวจแน่ ๆ ”
โม่อวี้รู้สึกว่าที่เขาพูดมามีเหตุผล เธอผลักเขาไปหลายครั้งและผลักเขาไปที่ด้านข้างของรถสปอร์ต จากนั้นใช้เรือนร่างกดทับเขาไว้และชายตามองด้วยความเสน่หา “บอกฉันมาซิ ว่าทำไมฉันไม่เจอนายเร็วกว่านี้ ? ”
“อยากถูกผมตีตูดเร็วกว่าหรือยังไง ! ”
โม่อวี้รู้สึกเขินอายมากเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เจอกับเขาครั้งแรก เธอใช้มือคล้องคอเขาไว้แน่น “ถ้านายไม่พูดถึงเรื่องนี้ ฉันก็ลืมไปแล้ว ไม่สิ วันนี้ฉันจะต้องให้นายชดเชยเป็นสองเท่า ! ”
พูดจบเธอก็กำลังจะลงมือ แต่เสียงโทรศัพท์ของหลิวเฟยก็ดังขึ้นอีกรอบ เธอรีบหยุดหลิวเฟยไม่ให้ล้วงโทรศัพท์ขึ้นมา จากนั้นก็ผลักเขาเข้าไปในรถ
หลิวเฟยไม่เข้าใจว่าเธอกำลังจะทำอะไร เขากลืนน้ำลายแล้วพูดว่า “เอ่อ มันอาจจะเป็นเรื่องด่วนก็ได้ ! ”
โม่อวี้ขัดเขาไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้เขารับโทรศัพท์ หลังจากที่หลิวเฟยยกหูขึ้นมา เขาก็ใช้มือกุมขมับ “หมู่บ้านหลิวเจียเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้วสิ ! ”
โม่อวี้คิดว่าเขาจงใจที่จะหนี จึงรีบกอดแขนเขาไว้เพื่อหยุด “หมู่บ้านของพวกนายไกลปืนเที่ยงแบบนั้น จะมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นกัน ? ”
“ห๊ะ ? ”
“ผมไม่ได้โกหกจริง ๆ เวลาไม่เคยคอยใคร ผมต้องไปแล้ว รถคันนี้ผมจะจอดไว้ข้างถนน ให้หลู่อิงปินมาเอาไปเอง ! ”
พูดจบ เขาก็รีบโดดขึ้นรถและขับออกไป
เมื่อมาถึงถนนเส้นเล็ก ๆ เขาก็ลงจากรถ ทิ้งกุญแจไว้บนหลังคา จากนั้นเดินเท้าไปตามถนน
รถถูกจอดไว้โดยเขียนคำว่า “หลู่อิงปิน” ไว้ตัวใหญ่ ทั้งกุญแจก็ถูกวางไว้บนหลังคาอย่างโจ่งแจ้ง หลิวเฟยไม่เชื่อว่าจะมีใครกล้าหาเรื่องใส่ตัวขับรถออกไป แต่ถึงแม้ว่ารถจะถูกขโมยไป ด้วยศักยภาพของหลู่อิงปิน ไม่นานก็คงหาเจอ ดังนั้นหลิวเฟยก็ไม่ได้กังวลว่ารถจะสามารถหวนกลับคืนสู้เจ้าของเดิมได้หรือไม่ ตอนนี้เขาเพียงแค่กังวลว่าชื่อเสียงที่อื้อฉาวของ “เดรัชฉานหลู่อิงปิน” จะไม่สามารถโด่งดังได้มากไปกว่านี้…
เป็นไปตามที่หลิวเฟยคาดคิดไว้ผ่านไปไม่นาน รถคันนี้ได้กลายเป็น “ศิลปะชิ้นเอก” และชื่อของหลู่อิงปินที่ถูกเขียนเด่นหราอยู่บนนั้นก็ลามไปถึงหูของเจ้าตัว
ขณะนี้เขากำลังนอนอยู่ในโรงพยาบาล เมื่อได้ทราบข่าวนี้ เขาก็ดึงเข็มออกและตะโกนด้วยความโกรธแค้นว่า “ไอ้สองตัวนี้ ได้คืบจะเอาศอก รังแกคนอื่นมากเกินไปแล้ว หากว่าฉันไม่ฆ่าพวกแก ก็อย่ามาเรียกฉันว่าหลู่อิงปิน! เร็วเข้า ยังไม่รีบไปเอารถกลับมาอีก!”
……
ณ ภูเขาไห่หมิง
ตำรวจหลายคนกำลังล้อมรอบ “คนร้าย” ที่จับหลี่อวิ๋นโหรวเป็นตัวประกัน ชาวบ้านจำนวนมากก็กำลังเฝ้าดูอยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าวิตกกังวล
หลิวเฟยเดินมาอยู่ท่ามกลางชาวบ้าน เมื่อพบกับหลิวอี้เหลียนจึงถามว่า “นี่มันเรื่องอะไรกัน ? ”
หลิวอวี้เหลียนรีบจับมือเขาไว้แล้วบอกว่า “พี่เฟย พี่กลับมาแล้ว ! ตอนนี้ทั้งสองไม่ยอมอ่อนข้อมาชั่วโมงกว่าแล้ว หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าหลี่อวิ๋นโหรวจะต้องตกอยู่ในอันตรายแน่ ๆ ”
หลิวเหล่าลิ่วคนซื่อเดินมาหยุดตรงหน้าหลิวเฟยแล้วพูดขึ้นอย่างร้อนรนว่า “หลิวเฟย ปกตินายมีความคิดอันเฉียบแหลมมากมาย นายรีบคิดหาวิธีเร็ว ๆ สิ เดิมทีเป็นฉันเองที่ถูกไอ้หมอนั่นจับตัวไว้ แต่เลขาหลี่เป็นคนขอเปลี่ยนตัว ก่อนที่ตำรวจจะมาถึง หากว่าเกิดเป็นอะไรขึ้นกับเธอล่ะก็ ฉันคง…”
“ห๊ะ ? ”
หลิวเฟยมองออกไปดูอย่างไกล ๆ ตบที่บ่าเขาเบา ๆ เพื่อปลอบใจ จากนั้นก็พูดกับหลิวอวี้เหลียน “เธอรู้ไหมว่าคนร้ายเป็นใครมาจากไหน ? ”
“เป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านหวังเจียที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านของพวกเรา มันชอบเล่นการพนันและติดหนี้ติดสินไว้มากมาย หลังจากทะเลาะกับภรรยา มันก็ฆ่าภรรยาจนตาย จากนั้นก็หนีไปกบดานอยู่บนภูเขาไห่หมิงหลังจากตำรวจได้เบาะแสก็รุดขึ้นไปค้นหาบนภูเขา แต่มันกลับลงมาจากภูเขาแล้วจับตัวลุงหลิวไว้ จากนั้นก็หนีขึ้นไปบนภูเขาอีกครั้ง” หลี่อวิ๋นโหรวรีบตอบอย่างไว
หลักจากหยุดไป เธอก็พูดขึ้นมาต่อ “ในมือของมันถือมีดสั้นที่แหลมคม ทาบไว้บนคอของหลี่อวิ๋นโหรว เมื่อครู่ที่ฉันเข้าไปดูก็เห็นว่าคอของหลี่อวิ๋นโหรวมีเลือดไหลออกมาบ้างแล้ว อีกอย่างตอนนี้มันอารมณ์ร้อนมาก เอาแต่พล่ามว่าตัวเองพลาดไปฆ่าภรรยาตาย ฉันกลัวว่ามันจะคลั่งขึ้นมาแล้วทำอันตรายหลี่อวิ๋นโหรวได้…”
หลิวเฟยตบมือเธอ “ฉันเข้าใจแล้ว พวกเธอไม่ต้องห่วง ฉันกำลังหาวิธี ! ”
พูดจบ เขาก็กลับบ้านไปเอาของบางอย่างก่อน จากนั้นก็รีบเดินมาอยู่ที่บริเวณรอบนอกของวงล้อมตำรวจ ตำรวจผู้หนึ่งมองเห็นเขาก็ดุขึ้นมา “ใครใช้ให้คุณเข้ามาใกล้ขนาดนี้ รู้หรือเปล่าว่ามันอันตราย แถมคนก็เยอะอาจจะทำให้คนร้ายคลั่งได้ง่าย ! ”
หลิวเฟยยื่นหัวเข้าไปมอง พบว่าคนร้ายที่กำลังจี้คอหลี่อวิ๋นโหรวอยู่เป็นชายหน้าตาดี อายุไม่เกิน 30 ปี เขาถอนหายไปแล้วเดินต่อไปข้างหน้า
ตำรวจหนุ่มใช้ร่างกายยืนขวางเขาไว้แล้วพูดขึ้นอย่างระแวดระวัง “คุณจะทำอะไร ? ยังไม่รีบหลบไปอีก ! หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณจะรับผิดชอบไหม ? ”
“ได้สิ เพราะยังไงก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอยู่แล้ว”
“คุณ ! เจตนามาก่อกวนใช่ไหม ? ”
“คุณเพิ่งรู้หรือ ? ”
หลิวเฟยแสยะยิ้ม ง้างหมัดต่อยเข้าที่ใบหน้าของเขา…