ตอนที่ 42 สินค้าชนิดใหม่ราคาสูงเฉียดฟ้า
คำพูดของหลิวเฟยทำเอาผู้กำกับการไม่สามารถซักถามอะไรได้อีก จุดนี้ทำให้หลิวอวี้เหลียนประหลาดใจอยู่ไม่น้อย
นี้ไม่ใช่ข้อแก้ตัว แต่เป็นการให้ผู้กำกับการไปถามคนอื่น
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็รู้สึกได้ทันที ว่าเขาเป็นผู้กำกับการจอมเผด็จการ น่าแปลกที่หลังจากโทรถามสารวัตรคนนั้น เขาก็เชื่อจนสนิทใจ อีกทั้งแววตาของเขาก็ยังมีความยำเกรง นี่ทำให้หลิวอวี้เหลียนเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก
เธอดึงแขนหลิวเฟยและพูดเบา ๆ ว่า “พี่เฟย ทำไมสารวัตรโหลวถึงรู้ภูมิหลังพี่ล่ะ ? ภูมิหลังของพี่เป็นอย่างไรกันแน่ ? ”
หลิวเฟยยิ้มและพูดติดตลกว่า “เธอไม่รู้หรอกว่าเรื่องพวกนี้ทำฉันสะบักสะบอมแทบตาย หากว่ารู้ เธอก็คงเป็นหางติดตัวฉันแล้วล่ะ ! ”
“น่าขยะแขยง ! ” หลิวอวี้เหลียนทุบเขาไปหนึ่งทีก่อนเบะปาก “ทำตัวลึกลับสนุกมากไหม ? อย่าคิดว่าพี่ไม่พูดแล้วฉันจะไม่รู้อะไรนะ ! ฉันเห็นหมดแล้วตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้พี่ ! ”
ได้ยินดังนี้ หลิวเฟยก็หันควับ “เธอ……เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฉันหรือ ? ”
เมื่อเห็นท่าทางของเขา หลิวอวี้เหลียนก็หัวเราะคิกคัก “ใครใช้ให้พี่มาแอบดูฉันอาบน้ำตอนเด็กล่ะ งั้นตอนนี้พวกเราถือว่าหายกัน ! ”
“นี่…...อย่าเอาเรื่องเก่ามาพูดได้ไหม ? ”
“เอ่อ……พี่เลอะเลือนหรอ งั้นเรามารำลึกความหลังสักหน่อยไหม ? ”
ว่าแล้วเธอก็ลงมือแกะกระดุม ทำเอาหลิวเฟยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “อย่า ๆ ๆ ฉันยอมแล้ว ถ้าอย่างนั้นจากวันนี้ไป ฉันจะเรียกเธอว่าลูกพี่เหลียนแล้วกัน เธอนี่มันเป็นหญิงแกร่งจริง ๆ ”
หลิวอวี้เหลียนเลิกคิ้ว “ได้สิ พี่อยากเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ ฉันไม่ถือสา ขอแค่ในใจมีฉันคนเดียวก็พอ คิก ๆ……เอาล่ะ เรื่องที่ฉันจะพูดคือบนร่างกายพี่มีรอยแผลเป็นเต็มไปหมด ฉันไปสอบถามหมอมาและหมอบอกว่ามันคือรอยกระสุน ! นี่……ตลอดเจ็ดปีของพี่มัน……”
พูดถึงตรงนี้ เธอก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นออกมา
ถึงเขาไม่พูด แต่เธอก็เดาออกว่าตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมานี้ เขาต้องใช้ชีวิตเหมือนอยู่ในสมรภูมินรกแน่นอน ไม่อย่างนั้นบนร่างกายจะมีรอยกระสุนมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร ?
หลิวเฟยยื่นมือไปปาดน้ำตาที่หางตาเธอ “เอาล่ะ หยุดร้องไห้ได้แล้ว ! มันไม่น่ากลัวเหมือนที่เธอคิดหรอก เมื่อเดินริมแม่น้ำ จะไม่ให้รองเท้าเปียกได้อย่างไร ! เมื่อทำเรื่องแบบนั้นก็ย่อมมีอุบัติเหตุเป็นธรรมดา เหมือนกันกับครั้งนี้แหละ สำคัญที่สุดคือต้องไม่เกิดอันตรายขึ้น ฉันน่ะเป็นชายที่ฟื้นคืนชีพมาจากนรก ฆ่าไม่ตายอยู่แล้ว ! ”
เมื่อเห็นว่าเขาพูดอย่างไม่รู้สึกรู้สา หลิวอวี้เหลียนก็พลันหวนนึกถึงภาพตอนที่ทั้งสองอยู่ท่ามกลางทะเลที่มีอันตราย แต่เขากลับยังมองโลกในแง่ดี นั่นยิ่งทำให้เธออดสงสัยไม่ได้
เจ็ดปีสามารถเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่าง และเขาก็เปลี่ยนไปมาก เธอปรารถนาที่จะเข้าไปในโลกของเขาจริง ๆ ทว่าเธอมองออกอย่างชัดเจนว่าเขาปิดบังเรื่องราวในเจ็ดปีนั้นอย่างชัดเจน
สิ่งนี้อาจไม่สะดวกที่จะพูด บางทีก็เพื่อต้องปกป้องพวกเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอก็อยากจะเผชิญกับเขาซึ่ง ๆ หน้า ตลอดยี่สิบกว่าปี มีช่วงเวลาเจ็ดปีที่เธอไม่ได้อยู่กับเขา เธอจึงอยากจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อชดเชยช่วงเวลาที่ขาดหายไป
เธอจึงยื่นหน้าเขาไปใกล้หลิวเฟยและพูดอย่างจริงใจ “พี่เฟย ฉันแค่อยากรู้จริง ๆ ! ถ้าพี่ไม่อยากบอกตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ฉันไม่บังคับ แต่พี่ต้องสัญญาว่าอนาคตพี่ต้องบอกฉัน โอเคไหม ? ฉันอยากรู้เรื่องราวทั้งหมด ! ”
หลิวเฟยยิ้ม “ได้ ฉันสัญญา ! ”
ในความเป็นจริงคนทั้งเมืองเฟิ่งหวงก็ไม่มีใครรู้ว่าตลอดเจ็ดปีเขาไปทำอะไรมา เหตุผลที่ทำให้ผู้กำกับการสถานีตำรวจประจำเมืองเฟิ่งหวงปรึกษากับสารวัตรโหลวก็เป็นเพราะคดีทะเลาะวิวาทของชาวบ้าน เขาจำเป็นต้องใช้เส้นสาย ทำให้หัวหน้าโหลวที่ถึงแม้จะไม่รู้เขาคือใคร แต่ก็รู้ว่าเขาเป็นคนมีอำนาจและเป็นคนดีอย่างแน่นอน
ดังนั้นหลิวเฟยจึงเชื่อว่าการที่ให้สารวัตรโหลวช่วยพูดเรื่องนี้แทน จะมีประโยชน์มากกว่าตัวเขาพูดเอง
……
ผ่านไปสองวัน หลิวเฟยก็ขอออกจากโรงพยาบาล
ในช่วงหลายวันที่อยู่ในโรงพยาบาล หลี่เจิ้งอี ซู่เฉียวและภรรยาของทั้งสองได้ดูแลเขาอย่างดี นอกจากนี้ยังมีชาวบ้านในหมู่บ้านหลิวเจียก็แวะเวียนมาเยี่ยมเขาบ่อย ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงโม่อวี้ที่มาเยี่ยมเขาทุกวัน
ทว่าสิ่งที่หลิวเฟยไม่คาดคิดคือ หานอิงก็มากับเขาด้วย เธอมาไถ่ถามตามปกติ หลิวเฟยใช้หัวหน้าของเธอมาเป็นโล่กำบังแบบนี้ เธอจึงทำอะไรไม่ได้
เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้านหลิวเจีย หลิวเฟยได้ยินชาวบ้านบางคนพูดคุยกัน พวกเขาทอดถอนใจกับการตายของหลิวเป้า บอกว่าเป็นเรื่องที่เขาสมควรได้รับ ส่วนเรื่องที่เขาไปช่วยหลิวอวี้เหลียนเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ หลิวเฟยเห็นลางไม่ดี เขาจึงรีบโทรแจ้งตำรวจล่วงหน้าพร้อมให้ความร่วมมือกับตำรวจ
เขาไม่อยากคิดว่าตัวเองเป็นเทพหรือให้ทุกคนรู้ว่าทักษะเขาดีแค่ไหน ไม่อย่างนั้นต่อจากนี้จะสามารถเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ติดดินได้อย่างไรและจะคลุกคลีกับพวกเขาอย่างไร ?
เนื่องจากหลายวันมานี้ไม่ได้ใช้ “ลมปราณห้าชี่ไหลเวียน” เพื่อบำรุงต้นกล้าในโรงเก็บของทั้งสามหลัง ทำการเจริญเติบโตของพืชจึงช้ามาก หลิวเฟยจึงใช้ลมปราณห้าชี่ไหลเวียนโดยไม่ได้สนใจร่างกายของตนเองที่กำลังอ่อนแอ
เวลาเดินไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็ผ่านไปสิบกว่าวันแล้ว
อาการบาดเจ็บบนร่างกายของหลิวเฟยดีขึ้นตั้งนานแล้ว หญ้าเก้าชีวิตล็อตที่สองจำนวน 10 มู่ถูกขายจนหมดเกลี้ยง และหญ้าเก้าชีวิตล็อตที่สามจำนวน 15 หมู่ก็ถูกนำมาลงดินเรียบร้อยแล้ว เรียกได้ว่าการปลูกหญ้าเก้าชีวิตได้กลายเป็นวัฎจักรที่ดีงามของหมู่บ้านหลิวไปแล้ว
ทำให้เขามีเวลาไปปลูกพืชชนิดอื่น ๆ ต่อ
พระอาทิตย์ส่องแสงจ้า ลมภูเขาพัดมาอย่างเชื่องช้า เขาพาหลิวอวี้เหลียนและหลี่อวิ๋นโหรวเดินลึกเข้าไปในภูเขา
ทั้งสามเดินข้ามภูเขามาเป็นเวลานาน หลิวอวี้เหลียนและหลี่อวิ๋นโหรวเหงื่อโชกไปทั้งตัว หลิวอวี้เหลียนอดไม่ได้ที่จะพูด “พี่เฟย พี่คิดจะทำอะไรกันแน่ ? คงไม่คิดที่จะหลอกพวกฉันมาปล้นสวาทใช่ไหม ? ”
หลิวเฟยหัวเราะแห้ง “เรื่องปล้นสวาทน่ะ เป็นเธอหรือเปล่าที่ถนัดที่สุด ? ”
“พี่ ! ”
“เอาล่ะ อดทนอีกหน่อย ใกล้จะถึงแล้ว ! ”
ทั้งสามเดินไปอีกสักพัก เมื่อมาถึงสถานที่ที่อยู่ห่างไกล พวกเขามองเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง บนต้นไม้เต็มไปด้วยผลไม้ที่มีสีแดงแวววาว หลิวอวี้เหลี่ยนและหลี่อวิ๋นโหรวดวงตาเบิกโต กลืนน้ำพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
เมื่อเห็นสีหน้านักกินของพวกเธอทั้งสอง หลิวเฟยจึงพูดขึ้น “มองอะไรกันอยู่ล่ะ ? ลองชิมดูสิ ! นี่ไงที่ฉันเคยบอกพวกเธอว่านักกินต้องชอบสิ่งนี้ ”
หลิวอวี้เหลียนเด็ดลงมาสองลูก เพ่งมองอย่างละเอียดก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ “อย่าบอกนะว่านี่คือเชอร์รี่ ! ”
ตัดสินจากสีและรูปร่างของผลไม้ หลิวอวี้เหลียนสามารถยืนยันได้ว่านี้คือเชอร์รี่ แต่ผลของมันก็ทำให้เธอสงสัยอย่างมาก เพราะบางลูกก็มีขนาดครึ่งไข่ไก่ และบางลูกก็มีขนาดเท่ากับไข่ไก่ เธอไม่เคยเห็นเชอร์รี่ลูกใหญ่ขนาดนี้มาก่อน
จากนั้นหลี่อวิ๋นโหรวจึงเด็ดมาอีกหนึ่งลูก เธอพิจารณาอยู่นาน ก่อนที่จะส่ายหัวไม่หยุด “นี่……นี่มันปลูกได้ยังไง ? คงไม่ใช่ลูกผสมใช่ไหม ? ”
หลิวเฟยเหงื่อแตกพลั่ก “เชิญทั้งสองชิมฟรี ทำไมถึงมีเรื่องมากมาย ถ้ายังไม่กินอีก ฉันก็จะเก็บตังแล้วนะ ! ”
หลิวอวี้เหลียนหยิบกระดาษทิชชู่ออกมาเช็ดผิวเปลือก แล้วอดใจไม่ไหวกัดเข้าไปหนึ่งคำ ยังไม่ทันได้เคี้ยว เธอก็ต้องตกใจกับความสดชื่นที่ซาบซ่านอยู่ภายในปาก
เธอเคี้ยวไปสักพัก พลางเม้มปากด้วยความเอร็ดอร่อย ก่อนหยิบเชอร์รี่ในมือขึ้นมาแล้วยัดเข้าปากอย่างไม่ลืมหูลืมตา จากนั้นก็เด็ดมากินอีกหลายรอบโดยที่ไม่หยุด
“มันอร่อยขนาดนั้นเลยหรือ ? ”
เมื่อหลี่อวิ๋นโหรวเห็นหลิวอวี้เหลียนกินดังนี้ ก็คิดว่าเธอโอเวอร์ เธอจึงกัดเข้าไปคำเล็ก ๆ แต่หลังจากได้เคี้ยว เธอก็รีบกินมันไม่หยุดปากเช่นกัน
หลิวเฟยมองเห็นริมฝีปากบางสวยของสองสาวที่ชุ่มช่ำไปด้วยน้ำเชอร์รี่ มองเห็นพวกเธอกินกันอย่างตะกละตะกลาม จนทนไม่ไหวที่จะเด็ดลงมากินบ้าง เขากัดเข้าไปคำหนึ่งแล้วถามความเห็นของพวกเธอ “เป็นไงบ้าง ? รสชาติไม่เลวใช่ไหม ? ”
“ไม่ใช่แค่ไม่เลว แต่รสชาติอร่อยจนไม่รู้จะหาอะไรมาเปรียบ ! ทั้งหวานทั้งกรอบ สดชื่นและอร่อยสุด ๆ ไปเลย ! ”
หลี่อวิ๋นโหรวพูดอย่างใจกว้าง “ใช่ อร่อยเหลือเกิน ! นายปลูกมันยังไงเนี่ย ? ถ้าเอาไปขายในตลาด ต้องขายดีจนหยิบไม่ทันแน่เลย ! ”
พูดจบ เธอก็ส่งสียงร้อง “ไอ้หยา” พร้อมกับรีบหันหน้าไป ใบหน้าแดงก่ำลามลงไปยันต้นคอ
หลิวเฟยยิ้ม เห็นได้ชัดว่าเธอกัดลิ้นตัวเอง แต่การได้รับคำชมจากคนที่ไม่เคยชมกันมาก่อนนี่ก็ไม่ธรรมดาเลย
เขาอมยิ้มขณะตอบกลับ “นี่คือเชอร์รี่พันธุ์ใหม่ที่ฉันปลูกขึ้นมา ชื่อของมันคือ “เชอร์รี่เขาไห่หมิง” ก่อนที่จะนำออกไปขาย ฉันต้องรีบจดสิทธิบัตรเสียก่อน”
หลิวอวี้เหลียนพูดด้วยสีหน้ามีความสุข “มันคือเชอร์รี่จริง ๆ ด้วย ทั้งลูกใหญ่ทั้งอร่อย พี่เฟย ทำไมพี่สุดยอดขนาดนี้ ปลูกอะไรก็ขายดีไปหมด ในสายตาฉันตอนนี้พี่ยังกับเทพเจ้าเลย ”
หลี่อวิ๋นโหรวกระแอมไอ “ทำไมฉันรู้สึกว่ามันแปลก ๆ นะ ? หลิวเฟย นายใช้เทคนิคอะไรกันแน่ เปิดเผยสักหน่อยไม่ได้หรือไง ? ต้นเชอร์รี่ของนายเติบโตเร็วมาก แถมผลของมันก็มีขนาดใหญ่ คงไม่ใช่การใช้สารเคมีเร่งปฎิกริยาใช่ไหม ? ”
“งั้นเธอก็เร่งปฏิกิริยาให้ฉันดูหน่อยสิ” หลิวเฟยตอบกลับ
หลี่หวิ๋นโหรวถลึงตาใส่เขา “น่าเบื่อสิ้นดี ! เรื่องหลอกเด็กหรือ ? พวกเราผ่านวัยที่บ้าบอแบบนั้นมาแล้ว ไม่หลงกลนายหรอก ”
หลิวเฟยกลั้นยิ้ม “ยังไงซะมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับคนที่มีคู่หมั้นแล้วอย่างเธอ เธอจะมายุ่งอะไรนักหนา ? ”
“นาย……เหอะ ขี้เกียจจะคุยกับนายแล้ว ! ”
หลิวอวี้เหลียนเม้มริมฝีปาก “พี่เฟย เชอร์รี่นี้อร่อยดี พี่คิดจะขายเท่าไหร่ ? ”
“เบื้องต้นคิดว่าจะขายครึ่งกิโลละ 100 หยวน”
“อะไรนะ ! ”
เมื่อได้ยินราคานี้ ก็ทำให้ทั้งหลิวอวี้เหลียนกับหลี่อวิ๋นโหรวตกใจยิ่งกว่าราคาของหญ้าเก้าชีวิตที่มีราคา 70 หยวน ต่อ 1 กิโลกรัม
หากว่าหลายปีก่อน ที่เชอร์รี่กำลังได้รับความนิยมครั้งใหญ่ พวกเขาก็สามารถยอมรับราคานี้ได้ แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาราคาเชอร์รี่ลดต่ำลงมาก ต่อให้มีรสชาติดีขนาดไหนก็ไม่มีใครซื้อในราคาที่แพงขนาดนี้!
และตอนนี้เชอร์รี่ก็ไม่ได้อยู่นอกฤดู มีเชอร์รี่มากมายในตลาด เขาเล่นแบบนี้ ไม่คิดบ้างหรือว่าอาจจะทำให้ผลผลิตเน่าเกลื่อนพื้นเสียเปล่า ?
เขากวาดสายตามองพวกเธอ และพูดขึ้นอย่างมั่นใจ “อย่าตื่นตระหนกไปก่อน ฉันขายให้พ่อค้าเป็นหลัก รับรองเลยว่าราคานี้ต้องมีคนเอา พวกเธอคอยดูแล้วกัน ! ”
เขาหยุดไปชั่วครู่ ก่อนพูดต่อ “นอกจากนี้ ฉันยังวางแผนจะเช่าที่นาหมู่ละ 2,000 หยวนไว้สัก 10 หมู่ เอาไว้ปลูกข้าว ตอนนี้ทั้งเรือนเพาะทั้งหกหลังไม่พอใช้แล้ว”
หลิวอวี้เหลียนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “พี่จะใช้เงินเช่าที่หมู่ละ 2,000 หยวน ทำนาจริง ๆ หรือ ? พี่โง่หรือเปล่าเนี่ย พี่รู้ไหมว่าปลูกข้าวปีหนึ่งมีรายได้เท่าไหร่ ? ”
หลิวเฟยใช้มือถูจมูกตัวเองอย่างมุ่งมั่น “ช่วยไม่ได้ ฉันดันเกิดมาเป็นคนเอาแต่ใจ และก็จะเอาแต่ใจแบบนี้ต่อไป พวกเธอก็ควรจะเรียนรู้ที่จะอยู่เฉย ๆ ไว้บ้างนะ ! ”
……