px

เรื่อง : The First Order ปฐมภาคีมวลมนุษย์
ตอนที่ 37 โลกภายนอก


 

“อาจารย์ฉางครับ” เหลินเสี่ยวซูพูดกับฉางจิงหลินอย่างสุภาพ “ผมขอให้หลิวหยวนกับพี่เสี่ยวหยูอาศัยอยู่ที่โรงเรียนนี้ตอนที่ผมไม่อยู่ได้ไหมครับ”

ฉางจิงหลินมองเหลินเสี่ยวซูแล้วถาม “พวกเขายืนยันมาแล้วเหรอว่าต้องไปน่ะ?”

เหลินเสี่ยวซูคิดซักพักก่อนจะพูด “ผมคิดว่าไม่น่ามีทางปฏิเสธพวกเขาได้อีกแล้วครับ อาจารย์น่าจะเห็นจากกรณีของฉางเปาเกิ๋นแล้วนี้ครับ ชีวิตของพวกเรา อยู่ในมือของคนในป้อมปราการกันทั้งนั้น ถ้าผมรับหน้าออกไปเผชิญกับอันตรายตอนนี้ ผมอาจจะไม่ตาย ผมอาจจะใช้คนอื่นเป็นตัวล่อเพื่อให้ผมรอดก็ได้ในป่านั้น แต่ถ้าผมปฏิเสธพวกเขาแล้วอยู่นี้ต่อ พวกเขาอาจจะเล่นสกปรกแล้วพวกเราอาจจะเป็นอันตรายได้”

“มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้วใช่ไหม?” ฉางจิงหลินถาม

“ผมคิดว่าไม่มีแล้วครับ” เหลินเสี่ยวซูส่ายหัวแล้วพูด “แต่อาจารย์ฉางไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ถึงแม้ว่าทุกคนในกลุ่มจะตายกันหมด ผมก็หนีออกมาให้ได้ครับ”

เอาเข้าจริง เหลินเสี่ยวซูไม่อยากรับหน้าออกเดินทางไปพร้อมกับวงดนตรีเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะงั้น ด้วยค่าพลังและประสบการณ์ในการเอาตัวรอดของเขาตอนนี้ ทำให้เขาไม่เป็นห่วงเลยว่าตัวเองจะรอดกลับมาไหม

แต่ถึงอย่างนั้น รางวัลที่เขาจะได้กลับมานั้นมันก็ไม่น่าพอใจอยู่ดี ถ้าจะให้ดีควรจะให้ทั้งหลิวหยวนกับเสี่ยวหยูเข้าไปอยู่ในป้อมปราการพร้อมๆกับเขา ไม่งั้นถ้าเขาเข้าไปอยู่ในป้อมปราการคนเดียวมันก็ไร้ความหมาย

ถึงเขาจะอยากเข้าไปอยู่ในนั้นมากแค่ไหน แต่เขาก็ทำใจทิ้งหยานหลิวหยวนกับเสี่ยวหยูไว้ข้างนอกนี่กันตามลำพังไม่ได้หรอก

เหลินเสี่ยวซูยังไม่เคยบอกหยานหลิวหยวนมาก่อน ว่าตั้งแต่ที่เขาได้รับพลังวังจิตใจมา เขาก็ไม่มีอาการหมดสติไปกลางดึกอีกแล้ว นั่นทำให้เขาอยากจะออกไปดูโลกที่กว้างใหญ่มากกว่านี้

เมืองนี้มันเล็กเกินไปมาก มากขนาดที่ว่าเราสามารถมองเห็นสุดปลายเมืองด้านหนึ่งไปอีกด้านนึงได้หากยืนบนที่สูง เล็กมากถึงขนาดที่ว่าเราสามารถได้ยินเสียงป้าแม่ไหม้ไล่ด่าเด็กวัยรุ่นฝั่งตะวันตกของเมือง จากทางฝั่งตะวันออกของเมืองได้

นั้นทำให้เขามีความคิดอยากจะออกไปดูโลกภายนอกอยู่เหมือนกัน

แต่สิ่งเดียวที่เหลินเสี่ยวซูเป็นกังวลตอนนี้คือความปลอดภัยของหยานหลิวหยวนและเสี่ยวหยูตอนที่เขาไม่อยู่ตั่งหาก

ถ้าอาจารย์ฉางปฏิเสธไม่ให้เสี่ยวหยูกับหยานหลิวหยวนมาอาศัยอยู่ที่โรงเรียนล่ะก็ เหลินเสี่ยวซูเองก็จะไม่ไปกับพวกวงดนตรีเหมือนกันไม่ว่าจะยังไงก็ตาม

“ดูเหมือนว่าจะตัดสินใจดีแล้วซินะ ถ้างั้นก็ไปบอกเสี่ยวหยูกับหลิวหยวนให้ย้ายของเข้ามาเย็นนี้ได้เลย ฉันจะทำความสะอาดบ้านรอไว้ให้ระหว่างนั้น” อาจารย์ฉางพูดแล้วพยักหน้า อาจารย์ฉางเองก็รู้สึกว่าไม่มีใครในเมืองที่มีประสบการณ์ในป่ามากเท่ากับเหลินเสี่ยวซูอีกแล้ว เพราะงั้นในมุมมองของอาจารย์ หลังจากที่เขาเห็นความมั่นใจของเหลินเสี่ยวซูแล้ว เขาก็อนุญาติโดยไม่พูดอะไรต่อ

เหลินเสี่ยวซูโล่งใจที่อาจารย์ฉางตอบตกลง “อาจารย์ครับ ผมมีเงินเก็บอยู่ประมาณ 5000 หยวน รับเงินนี้ไว้ด้วยเถอะครับ ถือเป็นค่าเช่าอาศัยอยู่ของทั้ง 2 คน”

“เก็บเอาไว้เถอะ” อาจารย์ฉางส่ายหน้าแล้วพูด “ฉันเป็นอาจารย์ ฉันรับได้แค่ค่าเล่าเรียนเท่านั้นล่ะ”

“รับไว้เถอะครับอาจารย์ อาจารย์จะเอาเงินนี้ไปซื้อบุหรี่ก็ได้นะครับ” เหลินเสี่ยวซูพูด

อาจารย์ฉางลังเลก่อนจะกระแอม “... ถ้างั้นฉันจะรับค่าเช่า 1000 หยวนก็แล้วกัน”

เหลินเสี่ยวซูไม่ตามตื้อเขาอีกต่อไป เขานับเงิน 1000 หยวนแล้วยื่นให้ฉางจิงหลิน เดิมทีเหลินเสี่ยวซูเป็นคนขี้งกมาก แต่เขาก็ไม่เคยหวงกับสิ่งที่เขาคิดว่ามันจำเป็น เหลินเสี่ยวซูไม่เคยลังเลที่จะใช้จ่ายเงินเพื่อหยานหลิวหยวนอยู่แล้ว

ส่วนเงินที่เหลืออีก 4000 หยวน เหลินเสี่ยวซูตั้งใจว่าจะนำไปมอบให้กับเสี่ยวหยู

เงินนี้จะไม่ถูกมอบให้กับหยานหลิวหยวนเด็ดขาด เพราะในกรณีที่เสี่ยวหยูอยากจะได้เงินขึ้นมา อย่างมากสุดนางก็แค่หอบเงินนี้แล้วหนีไป และหยานหลิวหยวนก็จะปลอดภัยไม่ได้รับอันตรายใดๆด้วย

ถ้าเอาเงินนี้ไปให้หยานหลิวหยวนเก็บไว้ล่ะก็ เขาคงจะไม่ปลอดภัยแน่

จนถึงตอนนี้เหลินเสี่ยวซูก็ยังคงมีความระแวงในตัวของเสี่ยวหยู เขาอาจจะคิดผิดเรื่องนี้ และถ้าเสี่ยวหยูรู้ นางก็คงจะเสียใจแย่เลย แต่การระแวงป้องกันตัวเอาไว้มันก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการลดความเสียหายลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นตามมา

ในใจของเหลินเสี่ยวซูยังคงรู้สึกว่าพวกเขายังอยู่กับเสี่ยวหยูน้อยเกินไป มันไม่ใช่ว่าเขาจะสงสัยในแรงจูงใจหรือคิดว่าเสี่ยวหยูมีอะไรปิดบังอยู่หรอก แต่การที่ต้องดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่ในดินแดนบ้านป่าเมืองเถื่อนที่คนฆ่ากันตายรายวัน พวกเขาต้องสู้เอาตัวรอดมาด้วยน้ำมือของตัวเองมาตลอด มันทำให้พวกเขาเป็นแบบนี้ แล้วจะให้พวกเขาเอาชีวิตและชะตากรรมไปฝากไว้กับใครบางคนที่รู้จักกันได้ไม่นานไปได้ยังไงกัน?

เหลินเสี่ยวซูกลับไปที่คลินิกเพื่อไปบอกหยานหลิวหยวนให้เก็บข้าวของ เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพวกเขาต้องมาจาก “บ้านใหม่” ปล่อยทิ้งไว้ให้ว่างเปลี่ยนเร็วขนาดนี้ หวางฟู่กุยพูดขึ้นมา “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ฉันจะคอยดูบ้านไว้ให้เอง รับรองได้เลยว่าไม่มีใครแอบย้ายมาอยู่แน่นอน

“ขอบใจลุงมากนะ” เหลินเสี่ยวซูพูด

“เอาจริงๆ นายก็ไม่เห็นจำเป็นต้องให้พวกเขาย้ายไปที่โรงเรียนเลยนี่ มีฉันคอยดูแลอยู่ทั้งคน ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย” หวางฟู่กุยหัวเราะ

“ฉันก็ต้องปกป้องคนของฉันจากลุงด้วยไหมละ?”เหลินเสี่ยวซูตอบปฏิเสธหวางฟู่กุยไปอย่างไร้เยื้อใย ในเมืองนี้ไม่ว่ายังไง โรงเรียนก็ถือเป็นสถานที่ปลอดภัยที่สุด

หวางฟู่กุยก็ไม่ได้โกรธแต่อย่างใด เขารู้จักนิสัยของเหลินเสี่ยวซูดี เขาเลยคิดอยู่แล้วว่าเหลินเสี่ยวซูก็ยังไม่ไว้ใจเขาเหมือนกัน

เสี่ยวหยูกับหยานหลิวหยวนยังไม่ได้คุยกันเรื่องที่จะย้ายออกเลยซักนิด พวกเขาก้มหน้าก้มตาเก็บของกันไปเรื่อยๆ จนกระทั้ง เก็บของเสร็จ หยานหลิวหยวนจึงมีโอกาสได้กระซิบ ถาม “พี่ต้องไปจริงๆเหรอ?”

“เดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้วล่ะ ข้างนอกนั่นมันไม่อันตรายเท่าไรหรอก ขอแค่ไม่ออกนอกเส้นทางที่ถูกต้องนะ หรือถ้ามันอันตรายเกินไปจริงๆ ฉันก็จะทิ้งพวกเขาซะแล้วหนีกลับมาทันที” เหลินเสี่ยวซูพูด แต่ไม่ทันจะได้ตอบคำถามของหยานหลิวหยวน เขาก็ยัดเงินเข้าไปในมือของเสี่ยวหยู “ฉันคงไม่มีโอกาสได้ใช้เงินตอนอยู่ในป่าอยู่แล้ว เพราะงั้น เก็บเงินนี้ไว้ให้ดีล่ะ”

“ได้เลย” เสี่ยวหยูตอบรับ “เอาอาหารแห้งไปเพิ่มอีกหน่อยซิ จะได้ไม่ต้องไปลำบากเสี่ยงดวงหาของกินในป่าให้เสียแรงเปล่า”

“ไม่จำเป็นหรอก” เหลินเสี่ยวซูส่ายหัวแล้วพูด “ถ้าไม่เรื่องมากเรื่องรสชาติล่ะก็ หลังจากออกห่างไปจากป้อมปราการได้ซัก 10กว่ากิโล ยังไงฉันก็สามารถหาอาหารกินได้ง่ายมากอยู่แล้ว”

แต่คำพูดของเสี่ยวหยูก็ทำให้เหลินเสี่ยวซูนึกอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง ในเมื่อเขาสามารถเก็บขวดยาเข้าไปในวังจิตใจเมื่อไรก็ได้ตามที่เขาต้องการ แล้วเขาจะทำแบบนั้นกับของอย่างอื่นได้รึเปล่านะ?

ในเมื่อขวดยาที่เขาใช้นั้นมันเป็นวัตถุจากโลกความเป็นจริง นั้นก็หมายความว่าวังจิตใจของเขานั้นไม่ใช่ความฝันแต่เป็นมิติประหลาดที่อยู่ในจิตของเขามากกว่า

ถ้าทำได้แบบนั้นจริงละ เหลินเสี่ยวซูก็อยากจะเก็บ...ไม่ซิ ขโมยเอาบ่อน้ำของเมืองมาไว้ในวังจิตใจไปกับเขาในการเดินทางครั้งนี้ด้วย เพราะยังไงการหาน้ำกินนอกเมืองนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่กินได้อย่างปลอดภัยอยู่แล้ว

ถ้าทำได้จริง จะใช้คำว่าเก็บก็คงไม่ได้ ต้องเรียกว่าถอนรากถอนโคนซะมากกว่า”

พอคิดแบบนั้นแลล้ว เขาก็หยิบเอาขนมปังแป้งข้าวโพดที่อยู่ข้างเขาขึ้นมาก่อนจะแอบพยายามยัดเยียดมันเข้ามาในวังจิตใจ แต่แล้วบางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้น แต่ขนมปังยังคงอยู่ในมือของเขา

เสียงของวังจิตใจดังก้องขึ้นมา “ยังไม่ได้รับสิทธิ์ในการใช้คลัง”

เหลินเสี่ยวซูตะลึง หมายความว่าเขาสามารถเก็บของไว้ในวังจิตใจได้จริงๆ แต่เขาแค่ยังทำไม่ได้ตอนนี้เท่านั้นเอง!

จากนั้นเขาก็ถามขึ้นมาในใจ “แล้วฉันจะได้สิทธิ์นั้นมาเมื่อไรกันล่ะ?”

“ไม่อาจตอบได้” เสียงของวังจิตใจดังขึ้นมา ก่อนที่จะเงียบไปปล่อยให้คำถามของเหลินเสี่ยวซูลอยไปไม่มีใครรับ

ตอนนั้นเองที่เหลินเสี่ยวซูรู้สึกขึ้นมาได้ว่า วังจิตใจของเขานั้น เหมือนกับว่ามันไม่มีจิตสำนึกคิดของตัวเอง มันเป็นเพียงแค่เครื่องมือที่มอบภารกิจมาให้กับเหลินเสี่ยวซู และตรวจสอบภารกิจด้วยตรรกะแปลกๆ หน้าที่ของมัน ... เหมือนกับเป็นเพียงเครื่องชี้นำเหลินเสี่ยวซูว่าควรทำยังไงต่อมากกว่า

...

หลังจากที่เหลินเสี่ยวซูพาเสี่ยวหยูกับหยานหลิวหยวนไปเก็บของที่โรงเรียนแล้ว เขาก็หันหลังแล้วเดินจากไปทันทีโดยไม่ลังเล เสี่ยวหยูกับหยานหลิวหยวนยืนอยู่ที่หน้าทางเข้าโรงเรียนมองดูร่างของเหลินเสี่ยวซูค่อยๆเดินหายเข้าไปในความมืด จนกระทั้งตอนนั้นเองที่หยานหลิวหยวนจู่ๆก็ถามขึ้นมา “พี่เสี่ยวหยู รู้ใช่ไหมว่าทำไมเขาถึงมอบเงินทั้งหมดนั้นมาให้พี่น่ะ?”

“อือหื้ม” เสี่ยวหยูพยักหน้าส่งเสียงเบาๆ

“แล้วพี่โกรธเขารึเปล่า?” หยานหลิวหยวนมองหน้าเสี่ยวหยู

“ไม่หรอก” เสี่ยวหยูยิ้มออกมา

เหลินเสี่ยวซูเดินห่างออกยังความมืดไกล ก่อนที่ในที่สุดเขาจะหันหลังกลับไปยังโรงเรียน สิ่งที่เขาเห็นมีเพียงความมืดมิด และท้องฟ้าที่ประกายแสงดวงดาวเจิดจรัสดั่งทะเลดวงดาว

เขาเดินตรงไปยังคลินิกที่ๆเขาเคยจากมา เพื่อเตรียมพร้อมต้อนรับแขกที่กำลังจะมาเยือน

หลาย ๆ ครั้งในชีวิต ยามที่คนเราหวนนึกถึงอดีตของตัวเอง พวกเขามักจะจดจำเรื่องราวการตัดสินใจเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้น ณ จุดใดจุดหนึ่งของกาลเวลา แต่ถึงอย่างนั้น การตัดสินใจว่านั้นบางทีมันอาจจะกลายเป็นเหมือนทางแยกของชีวิต เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ทั้งชีวิตของเขาเปลี่ยนไปเลยก็ได้

ถึงแม้ก่อนที่เวลาจะไปทางซ้ายหรือขวาจะต้องใช้เวลาคิด แต่เมื่อไรที่เราตัดสินใจไปแล้ว สิ่งเดียวที่ทำได้คือการกระโดดเข้าสู่ห้วงแห่งความไม่รู้อย่างไร้ความลังเลเท่านั้น

 

รีวิวผู้อ่าน