ตอนที่ 11 ปัญหาที่หมาตัวหนึ่งก่อขึ้นมา
ชาวบ้านที่รายล้อมอยู่ตรงนั้นหันไปทางต้นเสียง จึงเจอเข้ากับสาววัยกลางคนที่หน้าตาดั่งนางมารร้าย หุ่นอ้วนเทอะทะสวมใส่ชุดสีสันฉูดฉาด
เธอไม่ใช่ใครอื่น คือสวีเยี่ยน อาสะใภ้ของหลิวเฟยนั่นเอง เธอคือจอมโวยวายอันดับหนึ่งของหมู่บ้าน ทั้งยังชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ ทำให้หลิวต้าไห่เป็นคนกลัวเมียที่โด่งดังที่สุดในละแวกนี้
หลิวเฟยที่กำลังง่วนอยู่กับการถอนต้นกล้าแค่เหลือบตามองเธอครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่า “ที่ดินนี้เป็นของฉัน จะทำอะไรมันก็สิทธิ์ของฉันหรือเปล่า ? อาสะใภ้คิดมากเกินไปแล้ว”
สวีเยี่ยนกัดฟันกรอดแล้วชี้หน้าด่า “ก็ใช่ อาของแกคืนที่ดินแปลงนี้ให้แกแล้ว แต่ต้นกล้าพวกนี้ ฉันกับอาของแกลำบากปลูกกันมา ไหนจะคอยใส่ปุ๋ยดูแลกำจัดวัชพืช แกรู้มั้ยว่ามันลำบากมากแค่ไหน ? ที่แกทำคือการทำลายข้าวของ รู้หรือเปล่าห๊ะ ? ”
เธอหยุดหายใจเล็กน้อยแล้วเอ่ยต่อ “ตอนแกเพิ่งกลับมา ฉันบอกอาแกแล้วว่ายังไงก็เปลี่ยนนิสัยหมาที่ชอบกินขี้ไม่ได้หรอก เขาก็ไม่ยอมเชื่อ แล้วเป็นไงล่ะ ตอนนี้คนทั้งหมู่บ้านคงเห็นกับตาแล้วสิ ถ้าพ่อแม่ของแกยังมีชีวิตจะต้องโมโหต่อการกระทำโง่ ๆ ของแกจนคลั่งตายอีกรอบแน่ ! ”
พอเธอพูดจบ เหล่าชาวบ้านก็ร่วมต่อว่าชายหนุ่มด้วย แม้ชาวบ้านไม่ได้ญาติดีกับเธอนัก แต่เมื่อเห็นหลิวเฟยทำเช่นนี้ก็รู้สึกว่าเกินไป พวกเขาไม่อาจทำใจยอมรับได้
หลิวเฟยเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงยักไหล่แสดงท่าทางไม่ยี่หระ “จะคิดยังไงก็ช่างเถิด ฉันจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นเองว่าเป็นตัวล้างผลาญตระกูลจริงหรือเปล่า ถ้าว่างนักก็มาช่วยเป็นลูกมือหน่อย ฉันจะจ่ายค่าแรงให้”
นั่นยิ่งทำให้สวีเยี่ยนปรี้ดแตกขึ้นอีก “หลิวเฟย แก...แกทำไปเหอะ ลงแรงให้สุดเลยนะ ตระกูลหลิวไม่มีหลานไร้ค่าอย่างแก ทำเรื่องชั่วให้จบสิ้น อยากแดกดันไปถึงไหนก็เชิญ ตระกูลหลิวไม่ต้อนรับแกอีกต่อไป ! ”
หลิวเฟยแสยะยิ้ม “เกรงว่าถึงตอนนั้นทุกคนจะรั้งฉันไว้ไม่ให้ไปน่ะสิ”
“ถุย ! หน้าไม่อาย หน้าหนาจริง ๆ นะแก ชาวบ้านอยู่กันเต็มไปหมด ฉันก็ด่าแกไม่หยุดปาก ถ้ายังกล้าถอนต้นกล้ากับโค่นต้นไม้จนหมด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป แกกับฉันและอาของแกไม่ต้องมานับญาติกัน ฉันไม่มีหลานเลว ๆ อย่างแก ! ”
หลิวเฟยเผยยิ้มเรียบ “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา อาเคยนับฉันเป็นหลานด้วยหรือ ? ”
“แก ! ได้ ตั้งแต่วันนี้ เราขาดกัน ไปตายซะไอ้ตัวล้างผลาญวงศ์ตระกูล”
พูดจบ สวีเยี่ยนก็ถุยน้ำลายมาทางที่หลิวเฟยยืนอยู่พร้อมสีหน้าพยาบาท หลังจากนั้นก็ด่าคนที่ยืนอยู่โดยรอบ แล้วรีบเดินจากไปอย่างไม่สบอารมณ์
หลิวเฟยและชาวบ้านสิบกว่าคนชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็ยกมือโบกปัด “อย่ามองเลย รีบทำงานให้เสร็จเร็วเข้า ! วางใจได้ ฉันจะจ่ายให้ครบไม่ขาดสักเหมาเดียว” (เหมา 毛 เป็นหน่วยเงินของจีน เทียบเท่ากับสตางค์)
ที่ผ่านมาหลี่อวิ๋นโหรวไม่เคยรู้สึกดีกับเขาอยู่แล้ว พอเห็นเขาทำแบบนี้เลยยิ่งเกลียดเข้ากระดูกดำ เดิมที เธออยากลองโน้มน้าวเขาสักตั้ง แต่คิดแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับตน เธอจึงค่อย ๆ ตีตนออกห่าง
หลิวอวี้เหลียนและหลิวเฟยเป็นเพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เล็กจนโต เธอเข้าใจถึงความไม่ลงรอยกันระหว่างครอบครัวของหลิวเฟยและหลิวต้าไห่ เธอถอนหายใจ จากนั้นก็เดินเข้าไปกระซิบหลิวเฟย “พี่เฟย นี่ไม่ไร้เหตุผลไปหน่อยหรือ หากพี่จะยั่วโมโหเธอ ก็ไม่น่าทำแบบนี้นี่นา....”
หลิวเฟยยิ้มเล็กน้อย “เธอคิดมากไปหรือเปล่า ? ฉันอยากให้อาโกรธไปทำไมกัน ? ฉันแค่ต้องการปลูกพืชชนิดใหม่เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาหลอกลวงใครเสียหน่อย”
“พี่อยากปลูกอะไร ? ต้นกล้าพวกนี้อีกไม่กี่เดือนก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว ตอนนี้พี่ถอนมันออกหมด ก็เท่ากับว่าขาดทุนเต็ม ๆ ไม่ได้กำไรกลับมาเลย นี่ต้องชดใช้เท่าไหร่กัน พี่จะปลูกอะไรออกมาทดแทนความเสียหายนี้ได้ ”
หลิวเฟยยิ้มแต่ไม่ได้พูดสิ่งใดออกมา
ไม่ใช่ว่าไม่อยากอธิบาย แต่ยังหาคำอธิบายที่ชัดเจนไม่ได้!
ตอนที่ยังไม่เพาะปลูกจนสามารถขายได้เงินมานั้น ต่อให้พร่ำบอกไปเท่าใด ชาวบ้านก็ยังหาว่าเขาเป็นตัวล้างผลาญวงศ์ตระกูลอยู่ดี เลยเอากำลังและเวลาไปใช้กับเรื่องที่สมควรทำมากกว่า
หลิวอวี้เหลียนเห็นเขาไม่ยอมพูดออกมาสักที เธอเลยแสร้งยิ้มกลบเกลื่อน “ช่างเถิด จะทำอะไรก็เรื่องของพี่ เดิมทีพี่ก็เป็นคนหัวรั้นอยู่แล้ว ที่ทำไปคงมีเหตุผลของตนเอง แต่ไม่ว่าผลลัพธ์เป็นยังไง ฉันจะอยู่เคียงข้างพี่เอง หรือต่อให้ผลาญสมบัติจนหมดเกลี้ยง ฉันก็จะเลี้ยงพี่เอง ! ”
หลิวเฟยกระอักกระอ่วนได้แต่ส่ายหัวไปมา “แน่ใจหรือว่าจะเลี้ยงฉัน ? ”
หลิวอวี้เหลียนยิ้มหวานให้ชายตรงหน้า “แน่ใจสิ แต่พี่ต้องใช้คืนนะ เหอะ ๆ ๆ ”
“...”
หลังจากวุ่นวายอยู่สักพัก หลิวเฟยก็สิ้นหวังอีกครา นี่เธอกล้าบอกว่าจะเลี้ยงฉันหรือ ? นี่ให้ฉันเลี้ยงเธอชัดๆ อ้อมค้อมอยู่ตั้งนานสองนาน อย่างไรเธอก็เกาะเขากินอยู่ดี ดูเหมือนจะเกาะไม่ยอมปล่อยด้วยสิ...
เนื่องจากกำลังเร่งมืออยู่ ทำให้หลิวเฟยไม่มีเวลาคุยสัพเพเหระกับเธอนัก จึงทำให้เธอกลับไปทำงานต่อ ส่วนตนก็กลับไปสนใจกับงานตรงหน้า
สองวันให้หลัง หลิวเฟยก็ถอนต้นกล้าในแปลงหกหมู่จดหมดเกลี้ยง เขาทำเต็นท์ขึ้นมาโดยใช้พื้นที่สองในหกหมู่ นอกเหนือจากนี้ ยังตัดสินใจทำสิ่งที่คนทั้งหมู่บ้านคาดไม่ถึง โดยโค่นต้นไม้ทั้งหมดบนพื้นที่สิบหมู่ ใครโค่นต้นไหนก็ตกเป็นของคนนั้น โดยต้องโค่นให้เสร็จภายในห้าวัน
พอชาวบ้านได้ยินเขาประกาศเช่นนั้นก็ก่นด่าเป็นฟืนเป็นไฟ แม้ว่าปากด่าเขาเป็นตัวล้างผลาญวงศ์ตระกูล แต่ก็กลัวจะตกขบวน เลยแย่งชิงการเป็นหนึ่งในผู้โค่นต้นไม้
ภรรยาของหลิวต้าไห่เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็โมโหจนแทบกระอักเลือด แต่ทว่าก็ไม่มีทางเลือก
หลิวเฟยเห็นชาวบ้านกระตือรือร้นอยากมีส่วนร่วมก็รู้สึกยินดี ในที่สุดก็ไม่มีใครมารวมกลุ่มต่อว่าสิ่งที่เขาทำอีก หากเป็นเมื่อก่อน บ้างก็ว่าเขาโง่ที่กางเต็นท์ท่ามกลางอากาศร้อนระอุเพียงนี้ บ้างก็ว่าเขาจะสร้างโรงเรือนเลี้ยงไก่ ทว่าตอนนี้ยอมเงียบลงพอสมควร
เมื่อยุ่งอยู่กับการทำงานเป็นครึ่งค่อนวัน หลังของหลิวเฟยจึงเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาเตรียมกลับบ้านเพื่ออาบน้ำชำระล้างร่างกาย แต่พอเห็นประตูบ้านเปิดทิ้งไว้ก็ลองตะโกนเรียกแต่ไร้คนตอบกลับ จากนั้นจึงเปิดประตูห้องของหลี่อวิ๋นโหรว พอเห็นเธอสวมเพียงแค่ชุดชั้นในแนบเนื้อสีชมพูและถือผ้าขนหนูอยู่นั้น ชายหนุ่มก็ตกใจจนชะงักไป
“อ๋า...ไอ้สารเลว ! ”
หลีอวิ๋นโหรวเห็นหลิวเฟยจ้องตาไม่กระพริบ จึงตกใจไม่น้อย พอตะโกนด่าก็ฟาดผ้าขนหนูในมือใส่เขาไม่ยั้ง
หลิวเฟยรู้สึกว่ากลิ่นยั่วยวนลอยอยู่ตรงหน้า จึงรีบคว้าผ้าขนหนูนั้นไว้ จากนั้นก็ปิดประตูตามเดิม ใจอยากอธิบายแต่ก็พูดไม่ถูกเช่นกัน
ให้อธิบายอะไรล่ะ ?
ตั้งแต่รู้จักกันมา ทั้งสองมีเรื่องให้เข้าใจผิดไม่เว้นวัน เกรงว่าตนดูไม่น่าเชื่อถือสำหรับเธอเสียแล้ว ต่อให้บอกว่าไม่ได้เจตนา เธอคงไม่เชื่อ
พอก้มมองผ้าขนหนูในมือ กลับรู้สึกกระอักกระอ่วนจนต้องส่ายหน้า แต่ในหัวกลับปรากฏภาพเนื้อนวลเต่งตึงของหลี่อวิ๋นโหรวมิขาดสาย ร่างกายอรชรอ้อนแอ้นบวกกับผิวขาวเนียนกระจ่าง ขาวชนิดที่ทำให้ตาพร่าไปชั่วขณะ
“เห้อ...คิดอะไรอยู่เนี่ย ? แกแต่งงานมีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้วนะ บาปกรรม บาปกรรมจริง ๆ ”
หลิวเฟยสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เตรียมล้างหน้าล้างตัว ทันใดนั้นหลิวอวี้เหลียนก็วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน “พี่เฟย เกิดเรื่องใหญ่แล้ว ทั้งสองหมู่บ้านตีกัน ! ”
หลิวเฟยได้ฟังก็ขมวดคิ้ว “พวกเขากำลังแย่งต้นไม้กันอยู่ไม่ใช่หรือ ? ยังมีอารมณ์มาตีกันอีกหรือเนี่ย ? ”
หลิวอวี้เหลียนออกอาการกระอักกระอ่วน “เหมือนว่ามีคนโดนหมาของเสี่ยวฮ่าวกัด หลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นมา เรื่องเก่าเรื่องใหม่ เรื่องติดค้างก็ยกมารวมกัน ตอนนี้มีชาวบ้านราวสิบกว่าคนรวมตัวอยู่บนสะพาน พี่รีบไปดูหน่อยเถิด”
“เธอมั่นใจว่าเขาตีกันหรือ ไม่ใช่แค่ทะเลาะกัน ? ” หลิวเฟยถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“พวกเขาตีกัน รีบหน่อย ! ” หลิวอวี้เหลียนเร่ง
หลิวเฟยส่ายหน้าอย่างโมโห จากนั้นก็รีบรุดไปยังสะพานที่เกิดเหตุ พบว่าทั้งสองฝ่ายกำลังโบ้ยความผิดใส่กัน จึงรีบเข้าไปแทรกตรงกลาง “ทำอะไรกันห๊ะ ? ต้นมงต้นไม้ไม่อยากได้กันแล้วใช่ไหม ? คิดแต่จะตีกันอย่างเดียวสินะ ? ”
หลิวเทียนป้าถลึงตาใส่จากนั้นก็พูดแทรกขึ้นมา “เสี่ยวเฟย ไปหลบด้านข้างซะ ต้องเจรจากันเป็นเรื่องๆ ไป ไม่ใช่เอามาปนกันหมด ปกติตาแก่หลิวจื้อกับลูกชายขี้ขลาดจะตาย แต่วันนี้ไม่รู้เป็นบ้าอะไร หมาบ้านตัวเองกัดคนอื่นจะไม่รับผิดก็ช่างเถิด ดันมาพูดแว้งกัดผู้เสียหายนี่สิ บอกว่าคนหมู่บ้านต้าหลิวใส่ร้าย มีอย่างนี้ที่ไหนกัน จ้องจะหาเรื่องกันชัด ๆ ”
หลิวจื้อที่กำลังพลุ่งพล่านพับแขนเสื้อขึ้นสักพักแล้ว พอได้ยินหลิวเทียนป้าพูดแบบนั้นก็โวยวายขึ้นมา “หลิวเทียนป้า แกไม่ละอายใจหรือ ? ตาข้างไหนของแกเห็นว่าหมาบ้านเรากัดคน ? แกตั้งใจรังแกคนอื่นชัด ๆ ฉันจะบอกอะไรให้ พวกเราอดทนกับแกมากพอแล้ว วันนี้จะฆ่าฉันก็ได้ แต่อย่ามาโยนขี้ใส่พวกเราเด็ดขาด ”
หลิวฮ่าวลูกชายของหลิวจื้อแม้มีอายุแค่ 16 ปี แต่วันนี้รู้สึกเดือดดาลไม่น้อย มือทั้งสองข้างถือกระบองหนาด้ามยาวไว้ จากนั้นกัดฟันคำรามใส่ผู้คนที่รายล้อมอยู่ “คนในหมู่บ้านต้าหลิวไม่มีอะไรดี หลายปีมานี้รังแกพ่อฉันกี่ครั้งแล้ว ? ถ้าวันนี้ยังพูดมากอีก ฉันจะสู้กับพวกแกให้ตายกันไปข้างหนึ่ง ! ”