ตอนที่ 10 ไม่ทันรวยก็ผลาญวงศ์ตระกูลเสียแล้ว (1)
นี่เป็นการบดขยี้คู่ต่อสู้ด้วยความสามารถอย่างแท้จริง
นักเลงสิบกว่าคนถึงกับชะงักไปหลายวินาที คนนับสิบทำร้ายหลิวเฟยไม่ได้แม้แต่เศษเสี้ยวยังไม่ว่า แต่ยังถูกเอาคืนอย่างง่ายดายเสียอีก จะใช้คำว่าสภาพน่าอนาถจนมองไม่ได้ก็ยังไม่พออธิบายสภาพของนักเลงเหล่านั้นได้เลย
พวกเขาล้วนหน้าซีดเผือด ร่างกายสั่นสะท้านเพราะความเจ็บปวด ภายในใจเต็มไปด้วยความสงสัยที่ประดังประดาเข้ามา
สงสัยเหลือเกินว่าตลอดเจ็ดปีที่หายไป หลิวเฟยไปทำอะไรมา ?
สามารถลอกคราบจากชายอ่อนปวกเปียกเป็นจอมยุทธ์ชั้นสูงได้อย่างไรกัน ?
ถ้ามัวหาเรื่องหลิวเฟยบ่อย ๆ เห็นทีจะโดนอัดเละเป็นโจ๊กแน่ !
เมื่อหลิวเฟยเห็นศัตรูเอาแต่เงียบไม่ปริปากอีกต่อไป จึงชี้ไปทางบุรุษชุดสูทและรองเท้าหนัง “นายชื่ออะไรน่ะ ? ”
หัวหน้าแก๊งคนนั้นพึมพำออกมา “หวังไฉ ! ”
หลิวเฟยยิ้มแล้วเดินไปข้างหน้าสองก้าว “พวกเขาเรียกนายว่าพี่ไฉ ดูเหมือนเป็นลูกน้องฝีมือดีของพี่ใหญ่สิท่า จงกลับไปบอกพี่ใหญ่ว่าภายในสามวันนี้ให้มาหาฉันที่บ้าน ไม่อย่างนั้นจะต้องรับผิดชอบต่อผลกรรมที่ก่อเอาไว้ ! ”
นี่เท่ากับโดนหมายหัวเข้าแล้ว
หวังไฉไม่ใช่คนโง่เขาจึงรีบตกลงรับปากอย่างง่ายดาย “เดี๋ยวจะบอกให้”
“ดี ! ”
หลิวเฟยกวาดตามองไปทางพวกนักเลงอีกครั้ง จากนั้นจึงผิวปากเดินจากไปอย่างสบายอารมณ์
“พี่ไฉ ที่นี้จะทำยังไงกันดี ? ”
เมื่อเห็นหลิวเฟยเดินไปไกลพอสมควรแล้ว นักเลงทั้งกลุ่มก็ลุกมาล้อมหวังไฉเอาไว้ ทุกสายตากำลังเฝ้ารอคำตอบจากผู้มีอำนาจเหนือกว่า
ที่พวกมันให้เกียรติเรียกเขาว่าพี่ไฉ มาจากสองสาเหตุหลัก ๆ หนึ่ง คือเขาเป็นลูกน้องคนโปรดของหลิวเป้าและมีตำแหน่งสูงคนหนึ่งในแก๊ง อีกสาเหตุคือเขาเป็นคนสมองดี เก่งเรื่องคิดวางแผน นับว่าเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่งทีเดียว
ตอนนี้ นอกจากรุมกระทืบไม่สำเร็จแล้ว กลับถูกข่มเหงรังแกเสียอีก หากกลับไปในสภาพนี้คงโดนด่าจนเสียหมา พวกเขาจำต้องคิดหาวิธีรับมือ
ทว่าหวังไฉไม่พูดอะไรออกมา เขายกมือเช็ดจมูก จากนั้นก็เดินนำไปข้างหน้า
“พี่ไฉ เราจะกลับกันแบบนี้หรือพี่ ? ”
เหล่าอันธพาลล้วนถามเป็นเสียงเดียวกัน แต่พี่ไฉก็ไม่ยอมเอ่ยอะไร เลยจำยอมเดินตามหลังไปต้อย ๆ
เมื่อมาถึงห้องวีไอพีของผับสุดหรูแห่งหนึ่ง เบื้องหน้าปรากฏชายหัวล้านหน้ายาวคางแหลม นั่งยืดอก มีสร้อยคอทองคำแขวนประดับราวกับโซ่ตรวน ทั้งยังโอบสาวสวยไว้เต็มอ้อมกอด พอได้ฟังสิ่งที่หวังไฉบอก เขาก็พลันเดือดดาลแล้วชี้หน้าด่าลูกน้องทันที “ไม่ได้เรื่อง ทำฉันขายขี้หน้าเหลือเกิน ดูสิ สภาพแต่ละคน ถูกอัดจนเหมือนหมา แล้วยังมีหน้ากลับมาฉันอีกหรือ ? ทำไมไม่โขกหัวกับกำแพงให้ตายไปเสีย ? ”
หนึ่งในนักเลงกัดฟันตอบ พูดติดติดขัดขัดด้วยความกลัว “พี่ใหญ่...พี่...พี่โทษพวกเราไม่ได้นะ ก็ไอ้บ้านั่นโรคจิต มันไม่ใช่ไอ้คนอ่อนปวกเปียกเหมือนเจ็ดปีก่อนแล้ว ! ”
“แม่ง.....ยังจะปากดีอีก”
หลิวเป้ายกมือลูบหัวล้าน เงื้อมือเตรียมปาขวดเหล้าใส่ลูกน้องคนนั้นสุดแรง เมื่อหวังไฉเห็นดังนั้นจึงรีบห้าม “พี่ใหญ่ได้โปรดใจเย็นก่อน ที่เจ้านั่นพูดมาไม่ผิดเลย ตอนนี้ไอ้หลิวเฟยฝีมือดีเหลือเกิน สู้หนึ่งต่อสิบได้โดยมันแทบไม่ต้องออกแรงเลยด้วยซ้ำ ! ”
เพล้ง !
หลิวเป้าปาขวดเหล้าลงพื้น จากนั้นก็พูดอย่างมั่นใจสุดขีด “เป็นไปไม่ได้ ! มันเป็นไอ้ขี้ขลาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร เจ็ดปีก่อนก็ฉันนี่แหละไล่มันออกจากหมู่บ้าน ถ้ามันเก่งเหมือนที่พวกแกบอกจริง ๆ มันจะกลับมาเป็นเกษตรกรทำหอกอะไร ? น่าขายหน้าชัด ๆ ! ”
หวังไฉพูดอย่างใจเย็นว่า “พี่เป็นพี่ใหญ่ พวกเราจะรวมหัวกันหลอกพี่ไปทำไม ? ”
หลิวเป้าเงียบลงชั่วขณะ แล้วจึงถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “เอาล่ะ แกเล่าเรื่องวันนี้ให้ฉันฟังอย่างละเอียดซิ”
หวังไฉจึงเล่าทุกอย่างแบบไม่รีบร้อน พอหวังเป้าได้ฟังก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักขึ้นไปอีก ยิ่งได้ยินว่าหลิวเฟยเหมือนมีตางอกอยู่ด้านหลังจนสามารถหลบหลีกมีดที่จ้องจะแทงได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งยังถีบจนอีกฝ่ายทรุดลงไปอีกด้วย พี่ใหญ่ก็ยิ่งส่ายศีรษะ “นี่มันยากจะเชื่อ หรือว่ามันเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ ”
“ช่วงนี้ พี่มักเล่าให้พวกเราฟังว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนมันเป็นคนขี้ขลาดแค่ไหนใช่ไหม ? พอมาเทียบกับตอนนี้ก็แตกต่างอย่างสิ้นเชิง ! มันยังบอกอีกว่าให้พี่ใหญ่ไปหามันที่บ้านภายในสามวัน เกรงว่าด้วยฝีมือมันจะทำให้พี่ใหญ่ตกที่นั่งลำบากเข้าแล้ว ! ” หวังไฉพูด
หลิวเป้าเอามือลูบหน้า “แม่งเอ๊ย ! มันจ้องจะฆ่าฉันเลยหรือ เจ็ดปีก่อนฉันเคยรังแกมันเสียจนตรอกเหมือนหมาจรจัด เจ็ดปีให้หลังกลับพัฒนาจนฝีมือเหนือกว่าใคร ! มันหนึ่งต่อสิบแล้วไง ? แค่หนึ่งต่อสิบ ถ้าเป็นร้อยล่ะ ? แล้วพวกแกก็ไม่มีอาวุธติดมือ ถ้ามันทำให้ฉันโมโหขึ้นมาล่ะก็ พวกแกคอยดูเถอะ ฉันจะจ้างคนมายิงมันให้ตายคาที่ ! ”
หวังไฉรีบห้ามทันที “ไม่ได้นะพี่ เราไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย โบราณสอนไว้ว่าฝึกทหารมาแรมปี ถึงคราวต้องใช้บ้าง มีอีกตั้งกี่คนที่พี่ใหญ่คอยเลี้ยงดูไว้ในหมู่บ้านเสี่ยวหลิว ถึงเวลาให้พวกมันตอบแทนบุญคุณบ้างแล้ว”
“โอ้ แกมีแผนการอะไร ? รีบพูดมา” หลิวเป้ารบเร้า
หวังไฉกระซิบลงข้างหู จากนั้นหลิวเป้าก็ตบเข่าฉาดแสดงความถูกใจ “สมเป็นกุนซือมือหนึ่ง แผนนี้เด็ดโคตร ไอ้นั่นได้ตายคามือแน่ ! เอาล่ะ เรื่องนี้มอบหมายให้แกเป็นคนจัดการ กลับไปเตรียมตัวซะ เสร็จงานเมื่อไรจะตบรางวัลให้พวกแกอย่างงาม”
หวังไฉยิ้มพร้อมพูดประจบ “พี่ใหญ่เกรงใจกันเกินไปแล้ว เราเคียงบ่าเคียงไหล่กันมานาน การแก้ความกลัดกลุ้มให้พี่ถือเป็นหน้าที่ผม พี่ใหญ่สบายใจได้ ครั้งนี้ผมจะส่งมันเข้าตะรางให้ได้ ! เจ็ดปีให้หลังไอ้หมาจรจัดต้องมาถูกขังในคุก ฮ่าๆๆ...แค่นี้พี่ใหญ่ก็คือยมทูตผู้กุมชะตามันไว้ ! ”
หลิวเป้าหัวเราะร่าอย่างสะใจ “พูดดี ข้าจะเหยียบมันไว้ใต้ตีนไม่ให้ไปไหน ให้มันรู้สึกตายเสียดีกว่าอยู่ ! ”
……
ณ หมู่บ้านหลิว
เมื่อหลี่อวิ๋นโหรวเห็นหลิวเฟยหอบวัตถุดิบในการปรุงอาหารกลับมามากมายก็รู้สึกประหลาดใจ “หรือว่านายขายหญ้าพวกนั้นได้แล้ว ? ”
หลิวเฟยถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูกจึงหันไปมองเธอ “ขายได้หรือไม่ได้ ไม่สำคัญหรอก ที่สำคัญคือถ้าเธออยากกินข้าวฟรีก็ช่วยทำให้สุดฝีมือแล้วกัน”
หลี่อวิ๋นโหรวชะโงกหน้าไปดูในถุงของสด ในนั้นมีทั้งหมูเห็ดเป็ดไก่ เธอจึงรีบเตือน “แต่ที่บ้านไม่มีตู้เย็น ของพวกนี้จะเก็บยังไง… ”
“วันนี้เราจะเชิญคนอื่นมากินข้าวสักหน่อย”
“อ้อ...”
หลี่อวิ๋นโหรวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วมาช่วยเขาปรุงอาหาร
หลิวเฟยหายไปพักหนึ่งเหมือนกัน จากนั้นก็กลับมาพร้อมผ้ากันเปื้อน ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง อาหารทุกจานก็ถูกวางเต็มโต๊ะ บรรดาคนที่ถูกเชิญมาร่วมทานอาหารมื้อนี้ มีทั้งอดีตผู้ใหญ่บ้าน หลิวเทียนป้า หลิวอวี้เหลียน หลิวต้าไห่ผู้เป็นอาของหลิวเฟย ล้วนทยอยกันมาร่วมโต๊ะ
หลิวเฟยเชิญทุกคนนั่งลง จากนั้นก็รินเหล้าแจกจ่ายคนละแก้ว แล้วหันไปมองทางหลิวต้าไห่
หลิวต้าไห่จึงรีบเอ่ย “เอ่อ...อาสะใภ้ของแกไม่ค่อยสบาย เลยมาไม่ได้น่ะ”
หลิวเฟยก็ไม่ได้ถามอะไรอีก ความสัมพันธ์ระหว่างอาหลานถือว่าดีพอใช้ แต่กับอาสะใภ้นี่สิ มักดูถูกอยู่บ่อยๆ จนเขาชินชามาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เจ้าบ้านยกแก้วเหล้าขึ้นเพื่อกล่าวพอเป็นพิธี “วันนี้ เรียกทุกคนมาก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร ฉันแค่จากบ้านเกิดไปนานเลยอยากร่วมทานอาหารมื้อเล็ก ๆ แล้วถือโอกาสอวดฝีมือการทำอาหารเสียหน่อย พวกเรามาชนแก้วกันเถิด”
หลิวเทียนป้าหัวเราะอย่างพอใจ “ไอ้ลูกเขยนี่ดีจริง ๆ รักษาคนไข้ได้ ทำอาหารก็เป็น รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา อวี้เหลียนของเราช่างโชคดีจริง ๆ ”
“พ่อ ! ”
หลิวอวี้เหลียนเห็นทุกคนหัวเราะชอบใจก็รีบดึงบิดาเพื่อห้ามปราม หลิวเทียนป้าเงยหน้าซดเหล้าจนหมดเกลี้ยง “ก็ได้ก็ได้ ฉันไม่พูดแล้วก็ได้ มาทุกคน มาชิมกับข้าวฝีมือลูกเขยฉันดีกว่า”
“...”
ทุกชีวิตสนทนากันอย่างเฮฮา จากนั้นหลิวต้าไห่ก็หาจังหวะเหมาะเพื่อยิงคำถามใส่หลานชาย “เสี่ยวเฟย แกตั้งใจจะเป็นผู้ใหญ่บ้านและเกษตรกรอยู่ที่นี่จริงหรือ ? ”
หลิวเฟยยิ้มรับ “ใช่แล้ว...ก็เลย...”
ทันใดนั้นหลิวต้าไห่ก็เข้าใจความหมายของอีกฝ่ายทันที เขารีบพูดแทรกขึ้นไป “ในเมื่อตั้งใจแบบนี้ ที่ดินหกหมู่กับสิบหมู่ที่ฉันช่วยดูแลให้ตลอดหลายปีมานี้ ขอคืนให้แกแล้วกัน แปลงหกหมู่นั้นปลูกต้นกล้าขึ้นแล้ว ถึงเวลาค่อยเก็บเกี่ยว ส่วนต้นไม้ในแปลงสิบหมู่ก็เป็นของแกหมดเลยนะ”
หลิวเฟยยกแก้วเหล้าขึ้นมา “ขอบคุณนะอา ที่ผ่านมาถ้าไม่ได้อาคอยช่วยเหลือ เกรงว่าที่ดินเหล่านั้นจะกลายเป็นที่ไร้ประโยชน์”
หลิวเทียนป้าแทรกบทสนทนาในทันใด “ขอบคุณบ้าอะไรล่ะ แกให้ที่ดินไปเพาะปลูกฟรี ๆ ตั้งเจ็ดปี เงินสักแดงไม่เคยเรียกเก็บ แกเชิญพวกเขามาร่วมทานข้าว แต่อาสะใภ้ที่ใจไม้ไส้ระกำก็ไม่ไว้หน้าแก พ่อตาอย่างฉันทนดูไม่ได้อีกต่อไป ! ”
“พ่อ ! ”
หลิวอวี้เหลียนถลึงตาใส่ผู้เป็นพ่อ จากนั้นรีบคีบน่องไก่มาวางในชามของเขา เจตนาเด่นชัดว่าต้องการสื่อถึงสิ่งใด
หลิวเฟยเห็นอาออกอาการละอายใจเลยแทรกขึ้นมา “ไม่สำคัญหรอก ฉันกับอาเป็นสายเลือดเดียวกัน ไม่ให้อาใช้ทำมาหากินแล้วจะให้ใครทำ ? มาเถอะ มาดื่มกัน ! ”
พอดื่มกินจนอิ่มหมีพีมัน แขกก็ทยอยกลับบ้านของตน เช้าวันถัดไป ก็มีข่าวใหญ่สั่นสะเทือนทั้งหมู่บ้านหลิวเจีย
หลิวเฟยเพิ่งจะทวงคืนที่ดินจากอาเมื่อวาน วันนี้ก็ไหว้วานชาวบ้านนับสิบไปถอนต้นกล้าทิ้ง ไม่เอาต้นกล้าพอรับได้ แต่ยังลืออีกว่าเขาสั่งให้โค่นต้นไม้บนที่ดินขนาดสิบหมู่ทิ้งจนเกลี้ยง…
“บ้าไปแล้ว พ่อหนุ่มคนนั้นบ้าไปแล้ว ! เดิมทีคิดว่าเขาไม่เหมือนหลิวเฟยคนก่อน แต่ดูแล้วมันยิ่งกว่าเมื่อเจ็ดปีก่อนด้วยซ้ำ นี่ไม่ใช่แค่ทำตัวอันธพาล แต่จงใจทำลายข้าวของล้างผลาญวงศ์ตระกูลชัด ๆ ”
“เขารู้มั้ยว่าต้นกล้าแปลงหกหมู่ขายได้เท่าไหร่ คงรวยแล้วสินะ ถึงทำแบบนี้ได้ ”
“รวยกับผีอะไรล่ะ ถ้ารวยจริงยังกลับบ้านมาเป็นเกษตรกรอีกหรือ ? พวกเราตาบอดที่เลือกคนแบบนี้มาเป็นผู้ใหญ่บ้านจริง ๆ ไม่ช้าก็เร็วเขาต้องทำให้หมู่บ้านล่มจมเป็นแน่ ! ”
……
หลิวเฟยใช้แรงชาวบ้านสิบกว่าคน ถอนต้นกล้าทิ้งจนวุ่น บริเวณด้านข้างก็มีเหล่าชาวบ้านจับกลุ่มนินทาสนุกปากไม่จบไม่สิ้น
ขณะนั้นเอง มีเสียงตะโกนดังขึ้นมา “ไอ้คนล้างผลาญวงศ์ตระกูล แกจงใจทำแบบนี้ให้ใครดู ? ”