ตอนที่ 9 ไอ้หมอสารเลว (1)
ถุงหนึ่งกำหนดราคาที่ 40 หยวน อีกถุงกำหนดที่ 70 หยวน โดยชั่งขายเป็นกิโลกรัม เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนั้น การค้าถือเป็นอันตกลง
เจ้าของร้านหยิบนามบัตรที่ทำเองส่งให้หลิวเฟย จากนั้นก็เอ่ยอย่างกระตือรือร้น หวังว่าครั้งหน้าจะได้ร่วมงานกันอีก
หลิวเฟยไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่เชิดหน้าเดินจากไป
พนักงานในร้านเห็นเช่นนั้นจึงรีบท้วงออกไป “เถ้าแก่ เขาเป็นคนบ้านนอกที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว เถ้าแก่ให้ราคาสูงขนาดนี้ มันเกิน....”
“เหลวไหล ! ” เถ้าแกหันไปทางลูกน้อง จากนั้นก็ตบเข้าที่ท้ายทอยของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “แกตาถั่วหรือไง ? เขาดูมีความรู้กว่าแกเป็นไหนไหน อีกอย่าง แกทำงานนี้มานานแค่ไหนแล้ว จำคำพูดที่ฉันพร่ำสอนไม่ได้หรือไงว่า ‘แค่มีสินค้าก็เป็นใหญ่’ ข้อเท็จจริงง่าย ๆ แค่นี้แกยังไม่เข้าใจอีกหรือ ? ”
พนักงานเบ้ปากแล้วรีบก้มหัวลงเพื่อแสดงความรู้สึกสำนึกผิด
……
หลิวเฟยนับเงินพลางก้าวเดินไปข้างหน้าพลาง ตอนนี้เงินที่ได้มามีทั้งสิ้น 730 หยวน แม้ได้ไม่มากนัก แต่ก็เป็นเงินก้อนแรกที่หาได้ด้วยลำแข้งตั้งแต่กลับมาบ้านเกิด เงินก้อนแรกถือว่าเริ่มต้นได้ดีพอสมควร เขาจึงรู้สึกภูมิใจมากเหลือเกิน
อีกทั้งตนไม่ใช่คนที่หลงในอำนาจเงินตรา นอกจากต้องการหาช่องทางค้าขายแล้ว ยังอยากรู้ด้วยว่าวิชา ‘ห้าชี่ไหลเวียน’ ที่มานะฝึกฝนสามารถหล่อเลี้ยงหญ้าเก้าชีวิตให้มีมูลค่ามากแค่ไหน และคำตอบที่ได้ก็ทำให้รู้สึกแปลกใจโดยไม่ต้องสงสัย
แต่พอเดินไปสักพัก หลิวเฟยก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่ง เธอใส่กระโปรงสั้นสีแดง ผมยาวสลวยดัดเป็นเกลียวถูกมัดรวบไว้ เธอใส่แว่นดำสุดล้ำ สะพายกระเป๋าข้างสีแดง ตามที่ประเมินด้วยสายตา เธอน่าจะเป็นชนชั้นกลาง
หลังจากกวาดสายตาไปที่ช่วงขาที่เรียวสวยของเธอ หลิวเฟยก็พึมพำออกมาเบาๆ “คิดไม่ถึงว่าเมืองเฟิ่งหวงจะมีสาวสวยขนาดนี้อยู่ด้วย อาหารตาแล้วเรา ! ”
หลังจากพึมพำเสร็จ จู่ ๆ สาวสวยคนนั้นก็ยกมืออังหน้าผาก พร้อมเดินโซซัดโซเซอยู่สักพัก จากนั้นก็ล้มลงไปกองที่พื้นราวกับคนตาย
เป็นไปตามคาด ผู้รับหน้าที่ช่วยผายปอดจะเป็นใครไปได้ ชายหนุ่มรีบพุ่งตัวเข้าไปพร้อมผายปอดให้ด้วยท่าทางการช่วยชีวิตที่ถูกต้องตามมาตรฐาน ดูช่ำชองเป็นอย่างมาก เห็นเพียงแวบเดียวก็รู้ว่าเขาเป็นคนมากประสบการณ์
หลิวเฟยผายปอดช่วยชีวิตเธอราวสองถึงสามนาทีจนรู้สึกว่าปากของตนชาไปหมด ในที่สุดผู้ป่วยก็ฟื้นคืนสติ
เมื่อรู้สึกว่าอาการของเธอทุเลาลง เขายังไม่ทันได้ปริปากพูด มือเรียวก็ฟาดลงบนแก้มของหลิวเฟยจนขึ้นสีแดงก่ำ
หลิวเฟยคว้าข้อมือเล็กมาจับไว้ “นี่คุณ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า ผมเพิ่งช่วยชีวิตคุณไว้ ตบผมทำไม ? ”
“ใครขอให้นายมาช่วยชีวิตฉัน”
เห็นเธอระเบิดน้ำตาออกมา หลิวเฟยไม่รู้ควรจะปลอบใจอย่างไรดี
‘ให้ตายเถิด ยังสาวขนาดนี้ ยังอยากจะตายอีก ยัยคนนี้ประหลาดสิ้นดี’
เขาเลียริมฝีปากที่ยังมีรสชาติหอมหวานจากปากของเธอติดอยู่ จากนั้นรีบยกมือขึ้นถูไปมาเพื่อให้กลิ่นหอมจางลง จึงเห็นว่ามือของตนมีลิปสติกสีแดงติดเต็มไปหมด “คุณเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบชนิดรุนแรง ดูจากการแต่งตัวแล้ว คุณคงมีตำแหน่งใหญ่โตในบริษัท หากเดาไม่ผิด อาการของคุณคงเกิดจากความเหนื่อยล้าสะสม ควรให้หมอตรวจโดยละเอียดสักหน่อย”
เธอมองเขาด้วยสีหน้าตกตะลึง จากนั้นก็สะบัดมือเขาออกเต็มแรงแล้วลุกพรวดด้วยท่าทีที่ไม่เป็นมิตร “ฉันจะเป็นอะไร เกี่ยวกับนายตรงไหน ? จุ้นจ้านเรื่องคนอื่น ! ”
“เห้ย...โลกนี้ยังมีคนแบบคุณได้ไง รู้ไหมนี่ไม่ต่างอะไรจากการทำคุณบูชาโทษ ? ”
หญิงสาวถลึงตาใส่ “ทำคุณบูชาโทษแล้วไง นายจ้องแต๊ะอั๋งฉันชัด ๆ ไม่ดูสารรูปตัวเองหน่อยหรือ ! ”
อย่าว่าแต่หลิวเฟย แม้แต่คนที่สัญจรไปมาก็ไม่สามารถทนฟังเธอพล่ามกล่าวโทษไม่หยุดปาก
แต่เธอไม่สนใจ รีบหนีบกระเป๋าไว้ใต้รักแร้แล้วสะบัดก้นเดินจากไปทันที
เมื่อหลิวเฟยเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นเดินไปในทิศทางตรงกันข้ามกับโรงพยาบาลเฟิ่งหวง เขาเอามือปัดจมูกแล้วพุ่งไปหาเธออย่างรวดเร็วปานเหาะ จากนั้นก็แบกเธอขึ้นบ่าอย่างว่องไวแล้วเดินตรงไปยังทิศที่ตั้งของโรงพยาบาลเฟิ่งหวง
“ไอ้สารเลว ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้ ! ”
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย..... ”
หญิงสาวคิดไม่ถึงว่าหลิวเฟยจะใช้ลูกไม้เช่นนี้ เธอตกใจจนหน้าซีดเผือดแล้วเอากระเป๋าฟาดไปที่หลังอีกฝ่ายแบบไม่ยั้งมือ
เห็นเธอป่วนไม่เลิก เขาจึงยกมือตีบั้นท้ายกลมกลึงเบา ๆ พร้อมทำเสียงเข้ม “อย่าดิ้น ผมจะส่งคุณไปโรงพยาบาล”
“หา...”
วินาทีนั้น เธอก็เปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งขึ้นมาทันที ร่างอรชรที่พาดอยู่บนบ่าทั้งดิ้นพล่านทั้งกัดบ่าราวกับคนเสียสติ เธอกัดไม่ยอมปล่อย เขาจึงตีสะโพกของเธออีกสองสามครั้ง “เกิดปีหมาหรือไง ? กัดเก่งจริง ผมทำไปเพราะหวังดี แม้คุณไม่ซาบซึ้งเลยก็ตาม แต่ในฐานะหมอต้องมีจรรยาบรรณ ผมไม่อาจเห็นคนเจ็บแล้วไม่ช่วยเหลือ ยิ่งไม่อาจทนมองเห็นคุณฆ่าตัวตายลงต่อหน้า ! ”
เมื่อเขาพูดจบ เธอยังกัดบ่าเขาอยู่ ทว่าไม่ได้ออกแรงเท่าเดิม
พอถึงโรงพยาบาลเฟิ่งหวง หลิวเฟยวางเธอลงบริเวณม้านั่งยาวท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้คน เขาเหลือบมองบนบ่า จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป
“เดี๋ยว ! ” หญิงสาวกัดริมฝีปาก ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อเพราะเขินอาย ยิ่งขับให้ใบหน้ารูปไข่ดูน่ามองขึ้นกว่าเดิม เธอจ้องหลิวเฟยแล้วกัดฟันพูด “นายมันไอ้สารเลว ! ”
หลิวเฟยทำจมูกฟุดฟิดแล้วตอบกลับอย่างไม่ใยดี “คุณได้เจอไอ้สารเลวแบบผม นับว่าโชคดีแก่ชีวิตนะ เอ่อ...แล้วประจำเดือนคุณเหมือนมาไม่ปกตินะ อย่าลืมดูแลด้วยล่ะ ขออย่าได้เจอะได้เจอกันอีกเลย ! ”
เมื่อพูดจบ เขาก็โบกมือลา จากนั้นก็หายเข้ากลีบเมฆ
ส่วนคนฟังได้แต่หน้าแดงไปชั่วครู่ เธอใช้กำปั้นทุบเก้าอี้เพื่อระบายโทสะ “ไอ้หมอสารเลว อย่าให้ฉันเจออีกนะ ! ”
……
เมื่อออกจากโรงพยาบาล หลิวเฟยก็ก้มมองมือที่ยังมีอาการเหน็บชาอยู่ เขาส่ายศีรษะพร้อมบ่นในใจ ‘ยังมีใครดีได้เท่าเราอีก’
พอเห็นว่าใกล้ค่ำเต็มที จึงเร่งฝีเท้าไปยังสถานีขนส่ง ในจังหวะที่เดินผ่านโรงแรมแห่งหนึ่งอยู่นั้น กลุ่มนักเลงท่าทางสนิทกันราวสิบคนก็เดินจับกลุ่มออกมาจากโรงแรม หนึ่งในนั้นส่งเสียงจามติด ๆ กันหลายครั้ง แต่พอขยี้ตาอย่างแรงเสร็จก็พูดออกมา “นั่นไอ้หลิวจอมขี้เกียจหรือเปล่า ? ”
นักเลงอีกคนมองตามแล้วรีบพูดเห็นด้วย “ใช่มันจริง ๆ ด้วย จับมันไว้”
กลุ่มอันธพาลเกิดอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที พวกเขารีบเข้ามาล้อมหลิวเฟยไว้ หนึ่งในนั้นยกแขนโอบไหล่หลิวเฟย “ตามพวกเรามาดี ๆ ถ้าแกไม่อยากตายอยู่ที่นี่ ! ”
หลิวเฟยกวาดสายตามองรอบ ๆ แล้วแสร้งทำเป็นหวาดกลัว “ไอ้หยา เป็นพวกแกนี่เอง ขี้เลื่อยในหัวยังไม่ถูกเผาอีกหรือไง ? เหมือนว่าไฟยังลุกโชนไม่พอสินะ”
“แกอยากตายงั้นหรือ ? ”
ไม่รู้ว่าชายคนที่โอบไหล่ไปเอามีดพกมาจากไหน ปลายมีดจี้ลงข้างเอวหลิวเฟยพอดิบพอดี เขาจำต้องยกมือแสดงความจำนนแต่โดยดี “ก็ได้ ก็ได้ ฉันจะไปกับพวกแก ! ”
พวกมันพาหลิวเฟยไปยังซอยตัน หนึ่งในกลุ่มหันไปคุยกับชายในชุดสูทที่สวมรองเท้าหนัง “พี่ไฉ นี่คือไอ้หลิวจอมขี้เกียจที่หาเรื่องพวกเราครั้งก่อน วันนี้พี่ใหญ่ไม่อยู่ในเมือง พี่ไฉต้องช่วยจัดการแทนนะ”
หนุ่มชุดสูทมองหลิวเฟยตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก “แกคือไอ้ชั่วที่ถูกพี่ใหญ่ต้อนเหมือนลูกหมาจนตรอกหรือ ? ได้ยินคำเล่าลือมานานว่าแกต่อยเก่งเหลือเกิน โอ๊ะ...ไม่สิ โดนต่อยเก่งต่างหาก ถ้างั้นฉันจะช่วยให้แกสมปรารถนา เอาล่ะ พวกเราแบ่งเป็นสี่กลุ่ม แล้วผลัดกันรุมกระทืบมัน หากมันยังไม่ตายก็ชักมีดแทงมันซะ เข้าใจใช่ไหม ? ”
“เข้าใจแล้ว พี่ไฉ ! ”
นักเลงสิบกว่าคน แบ่งกันเป็นสี่ทีม ทีมหนึ่งกำหมัดเตรียมต่อย จากนั้นแผดเสียงคำรามพุ่งตรงหมายกระทืบหลิวเฟย
“พวกแกน่ะหรือจะรุมฉัน”
หลิวเฟยส่ายศีรษะ ทันใดนั้นร่างของเขาก็หลบหลีกพร้อมแทรกตัวฝ่าฝูงอันธพาลไปอย่างรวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ เมื่อเคลื่อนตัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้านักเลงคนหนึ่งก็ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลง เขาส่งหนึ่งหมัดกำราบศัตรูล้มลงกับพื้น ชายคนนั้นดิ้นพล่านพยายามลุกเท่าใดก็ลุกไม่ขึ้น
ถูกเผง ก็ไอ้คนที่แก๊งอันธพาลเรียกพี่ไฉนั่นแหละ ถูกต่อยจนน็อคเอาท์ไปแล้ว
“เห้ย พวกแกมัวยืนทื่อทำห่าอะไร รุมมันสิวะ”
คนที่เหลือต่างรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย แต่ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมา คราวนี้ทุกคนจึงบุกเข้าหาหลิวเฟยอย่างพร้อมเพรียง หลิวเฟยยกมือปัดจมูกเพื่อเตรียมพร้อม ก่อนสองหมัดสลับต่อยออกไปไม่ยั้ง เท้าข้างหนึ่งถีบศัตรูล้มลง หมัดสองข้างใส่ตามลงไปไม่หยุด แรงของเขาช่างล้นเหลือปานกำลังตำถั่วให้เละ ผ่านไปไม่นาน นักเลงทั้งสิบกว่าชีวิตก็นอนแผ่ราบเป็นหน้ากลอง
“โกหก ! แกเคยบอกว่าไม่เป็นศิลปะป้องตัวสักอย่าง ไปตายซะ ! ไอ้ลูกหมา ! ”
หนุ่มผมทองคนหนึ่งลุกพรวดขึ้นหลังจากสบถด่า ในมือถือมีดพกก่อนพุ่งไปกลางหลังของหลิวเฟยที่ไม่แม้แต่จะเหลียวมามอง เขาทำเพียงแค่ถีบไปทางด้านหลังก็ทำให้ศัตรูร้องโอดครวญขึ้นมาทันที
หลิวเฟยปัดมือแล้วชายตามองครู่หนึ่ง จากนั้นจึงยิ้มออก “ฉันบอกว่าไม่เป็นศิลปะป้องกันตัว พวกแกก็เชื่อเลยหรือ ไอ้งั่งหน้าไหนก็ดูออกว่าฉันกำลังล้อเล่นอยู่ พวกแกดูไม่ออกเอง ก็มาโทษฉันทีหลังหรือไง ? ”
……