px

เรื่อง : วิญญาณอาฆาต
ตอนที่4 ฟื้นแล้ว


        “เหยาเหยาตื่นแล้วหรือ?”

 

         ในตอนนี้เย่เจิ้นมีอาการปวดหัวคล้ายกับว่า มันกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ 

 

         แต่เมื่อได้ยินเสียงของหญิงผู้หนึ่งดังขึ้นที่ด้านข้างของตนเอง จึงพยายามที่จะลืมตาขึ้นอย่างยากเย็น

 

         และมีความรู้สึกยินดีเป็นอย่างมากเมื่อได้เห็นแสงสว่างพุ่งเข้ามาที่ดวงตาของนาง

 

          ในตอนแรกนั้น การมองเห็นยังคงฝ้ามัว มิชัดเจน และยังมีความคลุมเครืออยู่มาก 

 

         แต่นางก็ยังสามารถมองเห็นสีหน้าที่แสดงถึงความกังวลใจของผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าได้

 

        เมื่อได้เห็นใบหน้าของหญิงแปลกหน้าผู้นี้ นางจึงพยายามนึกอย่างจริงจังว่า หญิงผู้นี้คือใครกัน 

 

         แต่กลับพบว่า ตนเองมิได้รู้จักกับหญิงผู้นี้เลย

 

        "ท่านคือผู้ใดกัน?" เย่เจิ้นเอ่ยถามอย่างสับสน

 

        หญิงผู้นี้มีอาการตกใจจนเห็นได้ชัด เมื่อได้ยินคำกล่าวเหล่านั้น 

 

         “เหยาเหยา เจ้าจำแม่ของตนเองมิได้หรืออย่างไร”

 

         เย่เจิ้นเกิดความงุนงงจนแทบจะเป็นบ้า และคิดอยู่ในใจว่า

 

         เหยาเหยา?

 

         นางเรียกข้าด้วยชื่อเล่นของตัวข้าเอง นี่ข้ายังมิได้ตายหรอกหรือ? 

 

          แล้วเหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่?

 

          และในตอนนี้เย่เจิ้นมีความรู้สึกว่าแขนและขาของตนเองอ่อนแรงราวกับเด็กทารก อีกทั้งที่ศีรษะของนางยังมีความเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

         ในขณะที่นางกำลังพยายามเรียกสติให้กลับคืนมา 

 

         ทันใดนั้นเอง จิตใจของนางก็ได้จมดิ่งลง และภาพตรงหน้าได้มืดมิดลงในทันที หลังจากนั้นทุกอย่างก็มีแต่ความว่างเปล่า 

 

        ใบหน้าของนางได้เปลี่ยนเป็นสีขาวซีดราวกับผีดิบ และนางได้หมดสติลงไปอีกครั้ง

 

         และเย่เจิ้นได้ฟื้นขึ้นมาในอีกสามวันต่อมา 

 

          แต่ในครั้งนี้ ภายในจิตใจของนางมิได้ว่างเปล่าเหมือนดังเช่นเมื่อสามวันที่แล้ว นางสามารถจดจำได้ในหลายสิ่งหลายอย่าง

 

          เย่เจิ้นเหลือบมองขึ้นไปที่หลังคาของเตียงนอนอย่างสงบเงียบ

 

          แม้ว่าจะยังมีอาการงุนงงอยู่บ้าง และรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับสถานการณ์ในตอนนี้

 

         นางกลับมามีชีวิตอีกครั้ง และได้กลายมาเป็นบุตรสาวบุญธรรมของหลูซือหมิง! 

 

        หลูซือหมิงเป็นท่านลุงของหลูหลินจือ 

 

        ตอนนี้เย่เจิ้น...นางกลับมาเกิดใหม่ในร่างของน้องสาวฝาแฝดของตนเอง

 

         จึงอดมิได้ที่จะมีความรู้สึกวุ่นวายและสับสนกับความคิดมากมายที่กำลังตีกันอยู่ในหัวขณะนี้

 

         ใช่แล้ว! นางมีน้องสาวฝาแฝด! 

 

          การกล่าวถึงน้องสาวฝาแฝดผู้นี้เป็นสิ่งต้องห้ามในตระกูลเย่

 

          นางรับรู้เรื่องราวเกี่ยวกับน้องสาวฝาแฝดของตนเอง ในตอนที่ท่านยายของนางเสียชีวิต 

 

           บ้านตระกูลเย่เชื่อในคำกล่าวของลัทธิเต๋าที่ว่า พวกเขาสามารถเลี้ยงดูฝาแฝดได้เพียงผู้เดียวเท่านั้น

 

           มิเช่นนั้น ครอบครัวของพวกเขาจะต้องพังพินาศ

 

            ดังนั้นท่านยายของนาง จึงส่งน้องสาวฝาแฝดผู้นี้ไปเป็นบุตรบุญธรรม ของบ้านอื่น

 

           ส่วนน้องสาวของนางนั้นได้ถูกส่งไปที่ใดนั้น มีเพียงท่านยายของนางเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้ 

 

           อย่างไรก็ตาม ท่านยายของนางได้เก็บซ่อนความลับนี้เอาไว้กับตนเองมาตลอดทั้งชีวิต 

 

            ในตอนแรกนั้นท่านยายได้แอบเลี้ยงดูน้องสาวฝาแฝดโดยมิมีผู้ใดล่วงรู้ 

 

            แต่ในท้ายที่สุดท่านยายก็ต้องจำยอมยกน้องสาวฝาแฝดผู้นี้ให้เป็นบุตรบุญธรรมของหลูซือหมิงไป

 

            และเมื่อเดือนที่แล้วครอบครัวของหลูซือหมิงได้ย้ายกลับเข้ามาอยู่ที่เมืองหลวงพร้อมกับนาง 

 

         บุตรสาวบุญธรรมของเขากำลังอยู่ในระหว่างความเป็นและความตายเป็นเวลาถึงครึ่งเดือน เนื่องจากโรคหัวใจที่ร้ายแรง 

 

         และตอนนี้เย่เจิ้นได้ฟื้นขึ้นมาในร่างของเหยาเหยา แล้ววิญญาณของเหยาเหยาหายไปไหนกัน

 

         เย่เจิ้นได้กลายเป็นหลูเหยาเหยาไปแล้ว

 

         และในที่สุดเย่เจิ้นก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดมารดาของนางจึงมิได้ให้ความสนใจนางมานานหลายปีแล้ว

 

          เมื่อรู้ว่าตนเองมีน้องสาวฝาแฝดที่ต้องยกให้ผู้อื่นไป และตอนนี้นางยังปล้นร่างกายของน้องสาวฝาแฝดผู้นี้อีก

 

          อย่างไรก็ตาม เย่เจิ้นรู้ว่าน้องสาวฝาแฝดของนางนั้น มีชีวิตที่น่าอิจฉาเป็นอย่างมาก

 

          เหยาเหยาได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจาก หลูซือหมิงและภรรยาของเขา

          และยังมีท่านยายของนางมาช่วยดูแลบ้างเป็นครั้งคราว 

 

          อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่เย่เจิ้นเห็นในความทรงจำของน้องสาวผู้นี้คือ ช่วงเวลาแห่งความสุขเท่านั้น

 

          นางมิได้รับความทุกข์ทรมานใด ๆ เลย และสิ่งนี้ทำให้เย่เจิ้นมีความรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก

 

          เมื่อมองไปยังกระจกเงา ที่อยู่ใกล้กับบริเวณเตียงนอนนั้น

 

          เมื่อได้เห็นใบหน้านั้นอย่างชัดเจน จึงแน่ใจแล้วว่า วิญญาณของตนเองได้เข้ามาอาศัยร่างของน้องสาวฝาแฝดผู้นี้

 

          แล้วเหตุใดนางจึงเข้ามาอยู่ในร่างของน้องสาวได้ 

 

          เย่เจิ้นยกมือขึ้นมา และลูบไล้ไปที่ใบหน้านั้น จากนั้นได้มีอารมณ์มากมายหลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของนาง

 

         ทุกอย่างกลับกลายมาเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?

 

         “เหยาเหยาเป็นอันใดไป? ตอนนี้นางไปอยู่ที่ใด?" 

 

          เย่เจิ้นครุ่นคิดอย่างหนักจนมิได้สังเกตุว่า มีชายหนุ่มอายุประมาณสิบแปดปี ได้เดินเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อใด 

 

          และเมื่อได้เห็นชายผู้นี้ นางจึงพยายามเพ่งสติเข้าไปในความทรงจำของน้องสาวฝาแฝด 

 

          เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับเขาในช่วงระยะเวลาสิบสามปีที่ผ่านมา

 

          เย่เจิ้นหันไปจ้องมองหน้าเขาในทันที หลังจากที่นางได้เรียนรู้จากความทรงจำของน้องสาวว่า

 

         ชายหนุ่มผู้นี้เป็นบุตรชายของหลูซือหมิง และเป็นพี่ชายบุญธรรมของน้องสาวฝาแฝด

 

          พวกเขาสนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก อีกทั้งยังเป็นพี่ชายที่แสนดีของเหยาเหยาด้วย 

 

         หลังจากที่เย่เจิ้นค้นพบสิ่งนี้ นางจึงเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย 

 

        “พี่ใหญ่ เหตุใดท่านจึงมาที่นี่?”

 

         หลูเฉิงจือนั่งลงที่ปลายเตียงและจ้องมองมายังเย่เจิ้นด้วยสายตาที่มีแต่ความรู้สึกกังวลใจ

 

          “เหยาเหยาเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? 

 

          เดี๋ยวพี่จะเรียกให้ท่านแม่มาดูแลเจ้า” 

 

          ความห่วงใยปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเขาอย่างเห็นได้ชัด

 

          “มิได้เป็นอันใดมาก อาจจะเป็นเพราะข้านอนราบเป็นเวลานาน จึงรู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวเล็กน้อย

 

          มันมิใช่เรื่องใหญ่ ข้าสบายดีจริง ๆ ” เย่เจิ้นกล่าว

 

         เป็นเรื่องบังเอิญที่น่าขบขันเสียเหลือเกิน ที่บิดาของนางก็ตั้งชื่อเล่นให้กับนางว่า เหยาเหยา ตั้งแต่เด็ก

 

         มิคาดคิดเลยว่า ชื่อเล่นของน้องสาวฝาแฝดผู้นี้ก็คือเหยาเหยาด้วยเช่นกัน

 

        นี่เป็นชะตากรรมของฝาแฝดใช่หรือไม่?


รีวิวผู้อ่าน