ตอนที่ 50 หงุดหงิด
จางฉุ้ยเหลียนถอนหายใจออกมาเงียบ ๆ ด้วยความรู้สึกหงุดหงิดใจ เธอคิดว่า ถ้าหลี่เหยาตั้งใจพูดยุยงออกมาเพื่อให้คนอื่นแตกคอกัน นั่นก็แสดงว่าหล่อนก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นเลย แต่ถ้าหล่อนไม่ได้ตั้งใจพูดยุยงคนอื่น หล่อนก็ต้องโทษตัวเองแล้วล่ะที่ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่แบบนี้ได้ หล่อนทำให้เฝิงเสี่ยวเจี๋ยถูกเพื่อน ๆ ในห้องรุมประจานจนต้องปล่อยโฮออกมา และหล่อนก็อาจจะทำให้ชีวิตในรั้วมหาลัยของเฝิงเสี่ยวเจี๋ยต่อจากนี้ ถูกคนอื่นมองด้วยสายตาดูถูกและรังเกียจไปจนจบวิทยาลัยเลยก็ได้
“เมื่อกี้ที่ฉันพูดออกไปแบบนั้น ฉันก็คิดว่าฉันทำเกินไปหน่อย พอเห็นเฝิงเสี่ยวเจี๋ยร้องไห้วิ่งออกไปแบบนั้นแล้ว ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจเลย ไหน ๆ ตอนนี้ทุกคนต่างก็พูดความคับแค้นใจออกมาหมดแล้ว หลังจากนี้เราก็น่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไม่ติดใจอะไรกันแล้วนะ ความจริงแล้วรุ่นของเราก็มีจำนวนคนเยอะ แต่เรากลับถูกจัดให้มาอยู่ร่วมกันในห้องพักแห่งนี้ นั่นก็ถือว่าเรามีโชคชะตาร่วมกัน!” เดิมทีจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้มีความคิดที่จะแบ่งพรรคแบ่งพวก หรือว่าต้องการจะให้ทุกคนร่วมกันประจานเฝิงเสี่ยวเจี๋ยแต่อย่างใด
“เธอไม่ต้องกังวลหรอก เดิมทีหล่อนก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว ต่อไปพวกเราก็ไม่ต้องไปสนใจหล่อน ดูสิว่าหล่อนจะทำอย่างไร !” จางเว่ยเป็นคนที่ไม่คิดอะไรมาก เมื่อได้ยินคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนจึงไม่ได้ใส่ใจมากนัก
แต่ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ ประตูห้องถูกถีบออกอย่างแรง จากนั้นเฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็วิ่งเข้ามาในห้องด้วยดวงตาที่บวมเป่ง หล่อนมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตาเกลียดชัง จากนั้นก็เริ่มเก็บกระเป๋าเดินทางของตัวเองอย่างรวดเร็ว
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าเธอควรจะพูดอะไรออกไปดี เธออยากจะบอกเฝิงเสี่ยวเจี๋ยเหมือนกันว่า เธอเองก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้หล่อนถูกขับไล่ออกไปจากห้องแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เธอก็คิดว่า เธอเองนั่นแหละที่เป็นคนเริ่มพูดก่อน ยิ่งอยากอธิบายมากเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองเหมือนเป็นคนหลอกลวงอย่างไรอย่างนั้น
เพื่อนสองคนจากห้องพักฝั่งตรงข้ามเดินมาช่วยเฝิงเสี่ยวเจี๋ยขนย้ายของ ตอนนี้จำนวนคนในห้องจึงลดลงจาก 8 คน เหลือเพียงแค่ 6 คนเพียงเท่านั้น
ตอนนี้เตียงชั้นล่างของหลี่เหยาก็ไม่มีใคร และเตียงชั้นบนของจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่มีใครเช่นกัน หลังจากที่ผ่านเรื่องราววุ่นวายเมื่อสักครู่นี้ไปแล้ว ทุกคนในห้องพักแห่งนี้ก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีก ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลากลางวัน แต่ภายในห้องก็เงียบเหงามากเลยทีเดียว มีเพียงเสียงพลิกหน้าหนังสือเป็นครั้งคราวเพียงเท่านั้น
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้เจอกับติงหลงหลง เธอจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายห้องพักให้อีกฝ่ายได้ฟัง เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเล่าจบ เธอก็แสดงสีหน้าละอายใจออกมา และพูดออกไปว่า “ถ้าฉันไม่หุนหันพลันแล่นเกินไป เฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็คงจะไม่ต้องย้ายออกไปอยู่ห้องพักฝั่งตรงข้ามหรอก เดี๋ยวนี้ทุกครั้งที่ฉันบังเอิญเจอหล่อน หล่อนก็มักจะแสดงท่าทางราวกับไก่ชน และต้องการที่จะเขมือบฉันไม่ให้เหลือซากอย่างไรอย่างนั้น!”
ติงหลงหลงนั่งฟังเรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนเล่าให้หล่อนฟังอย่างตั้งใจ จากนั้นหล่อนก็ขมวดคิ้วและพูดออกไปว่า “ฉันรู้สึกว่าหลี่เหยา เป็นคนเจ้าแผนการมากเลยนะ เธอคิดดูสิ หลังจากที่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยย้ายออกไป หล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเฝิงเสี่ยวเจี๋ยอีกเลยใช่ไหมล่ะ ? ภายในห้องพักของเรา ก็มีแต่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยนี่แหละที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับหล่อน ทั้งสองคนไม่ถูกกันตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเรียนที่วิทยาลัยแล้ว เมื่อคิดดูแล้ว หลี่เหยาก็น่าจะเป็นคนที่พอใจมากที่สุด เมื่อเฝิงเสี่ยวเจี๋ยถูกขับไล่ออกไปไม่ใช่หรือ นี่ก็เหมือนกับบทประพันธ์เพลงที่ชื่อว่า ทาสเป็นไทขับร้องลํานํา เลยนะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “หล่อนก็ไม่ได้ย้ายเตียงลงมาอยู่ที่เตียงชั้นล่างนะ หล่อนยังคงพักอยู่เตียงชั้นบน แต่หล่อนก็เอาของส่วนตัวของหล่อนมาวางไว้บนเตียงของเฝิงเสี่ยเจี๋ยที่อยู่ติดกับเตียงชั้นบนของฉันที่มันว่างอยู่ตอนนี้”
เมื่อได้ยินดังนั้น ติงหลงหลงจึงยิ้มเยาะออกมา “ดังนั้นเรื่องที่เธอบอกว่าหล่อนอาจจะไม่ได้เจตนายุยงเพื่อน ๆ ในห้องให้ร่วมกันขับไล่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยออกไปจากห้องในวันนั้น ฉันไม่เชื่อเลยล่ะว่าหล่อนจะไม่มีเจตนา!”
จางฉุ้ยเหลียนถอนหายใจออกมาอย่างปลงตก “งั้นมันก็ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ถ้าเฝิงเสี่ยวเจี๋ยเกลียดฉันมันก็สมควรแล้ว เพราะฉันเป็นคนเริ่มพูดเรื่องนี้ออกมาก่อน แต่ฉันก็คิดไม่ถึงเลยว่าทุกคนจะระเบิดความโกธรออกมาแบบนี้!”
“เธออย่ารู้สึกผิดเลย ถ้าหล่อนไม่ไปนินทาลับหลังคนอื่นก่อน หล่อนก็คงจะไม่ต้องตกมาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้หรอก ตอนนี้ตารางเรียนของฉันมันก็เต็มทุกวัน ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ ฉันมีวันหยุดแค่วันอาทิตย์วันเดียว กว่าเราจะได้เจอกัน เรามาพูดเรื่องที่สบายใจกันดีกว่านะ!” ติงหลงหลงพูดออกมาพร้อมกับตบไปบนไหล่ของจางฉุ้ยเหลียนเบา ๆ จากนั้นหล่อนก็พูดปลอบใจเธอออกมาว่า “เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าเธอจะตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจ ให้สวรรค์เบื้องบนเป็นคนตัดสินเถอะ ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติของมันนั่นแหละ”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ยิ้มออกมา “ใช่ ก็แค่ปล่อยให้มันเป็นไปตามธรรมชาติ!”
“จริงสิ เดือนสิงหาคมฉันต้องไปแล้วนะ!” จู่ ๆ ติงหลงหลงก็พูดออกมา แต่คำพูดของหล่อนเหมือนกับทิ้งระเบิดให้กับจางฉุ้ยเหลียนอย่างไรอย่างนั้น จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกตกใจไม่น้อย จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ทำไมถึงได้เร็วขนาดนี้ล่ะ? เธอเตรียมตัวพร้อมแล้วอย่างนั้นหรือ ? เธอยังไม่ได้สอบวัดผลระดับภาษาอังกฤษเลยนะ !”
ติงหลงหลงยิ้มและพูดว่า “คุณน้าบอกว่าถ้าขืนฉันยังเตรียมตัวอยู่แบบนี้ ถ้าฉันไปเรียนที่โน่นฉันต้องตามคนอื่นไม่ทันแน่ ๆ ไม่สู้เท่าไปหาโรงเรียนเตรียมความพร้อมภาษาอังกฤษที่โน่น จากนั้นก็เรียนตามหลักสูตร 1 ปี แล้วค่อยสอบเข้ามหาวิทยาลัย แบบนี้น่าจะทำให้ภาษาอังกฤษของฉันพัฒนามากกว่าน่ะ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ “งั้นตอนนี้เธอยังเหลืออะไรที่ยังไม่ได้เตรียมล่ะ?”
ติงหลงหลงยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกลำบากใจไม่น้อย “ภาษาอังกฤษน่ะ โดยเฉพาะการพูด เมื่อถึงเวลาที่จะต้องเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ฉันก็ต้องฟังอาจารย์ให้เข้าใจและพูดได้อย่างคล่องแคล่ว ดังนั้นตอนนี้ฉันก็เลยต้องทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการเรียนภาษาอังกฤษ อีกอย่างคุณคุณน้าของฉันก็หาอาจารย์สอนภาษาอังกฤษตัวต่อตัวให้ฉันเรียบร้อยแล้ว ฉันจะต้องเรียนการพูดภาษาอังกฤษ วันเสาร์ทั้งวัน เมื่อเริ่มเรียนเราก็จะพูดภาษาอังกฤษกันโดยที่ห้ามพูดภาษาจีนเแม้แต่คำเดียว”
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าเมืองเล็ก ๆ ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือในยุสมัยนี้ ยังไม่มีครูต่างชาติเข้ามาสอน คนที่จะสามารถสอนภาษาอังกฤษให้ได้ก็ต้องเป็นอาจารย์สาขาภาษาอังกฤษของมหาวิทยาลัยเท่านั้น แต่ในปี 1990 เป็นต้นมา ภาษาอังกฤษก็เริ่มเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายตามมหาวิทยาลัยในเมืองต่าง ๆ ยิ่งคนที่จะมาเป็นอาจารย์ให้กับนักศึกษาสาขาภาษาอังกฤษวิทยาลัยครู อาจารย์เหล่านั้นก็ต้องจบปริญญาเอก จางฉุ้ยเหลียนจำได้ว่าตอนนั้นญาติของเธอต้องการที่จะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ หล่อนก็ต้องเชิญอาจารย์สาขาภาษาอังกฤษจากมหาวิทยาลัยมาสอนด้วยเช่นกัน
นั่นก็แสดงว่าตระกูลติงจะต้องลงแรงกายและกำลังทรัพย์มหาศาลในการสนับสนุนให้ติงหลงหลงไปเรียนต่อต่างประเทศในครั้งนี้มากเลยทีเดียว นั่นทำให้จางฉุ้ยเหลียนอดที่จะรู้สึกอิจฉาติงหลงหลงขึ้นมาไม่ได้
ดูเหมือนว่าติงหลงหลงจะสังเกตเห็นความอิจฉาออกมาจากสีหน้าของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนจึงยิ้มและพูดออกมาว่า “ฉันบอกอาจารย์สอนภาษาอังกฤษของฉันแล้วว่า ฉันจะให้เธอไปเรียนกับฉันด้วย และหล่อนก็ตกลง อีกทั้งเรายังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกด้วย หล่อนบอกว่าถ้ามีเพื่อนมาเรียนพร้อมกันกับฉัน ฉันก็อาจจะกระตือรือร้นในการพูดมากขึ้นก็ได้ !”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกตกใจจนพูดอะไรไม่ออก เพราะเธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า เธอจะได้ไปเรียนภาษาอังกฤษกับติงหลงหลงด้วย ถึงแม้ว่าเธอจะรู้สึกอิจฉาอยู่ในใจเล็กน้อย แต่เธอก็รู้สึกมีความสุขมากกว่า เพราะเธอผ่านวัยเด็กขี้อิจฉามานานแล้ว แต่เธอกลับรู้สึกว่าติงหลงหลงนั้นก็เหมือนเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอ เมื่อหล่อนได้มีชีวิตที่ดี เธอก็รู้สึกดีใจ
นอกจากติงหลงหลงจะมีนิสัยหยิ่งยโสเหมือนกับเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอแล้ว พวกเธอทั้งสองคนก็ยังเป็นคนมีการศึกษาและมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลเหมือนกันอีกด้วย เพราะเชี่ยวเชี่ยวก็ได้เรียนเปียนโนตั้งแต่เด็ก อีกทั้งหล่อนยังได้เรียนพิเศษในด้านต่าง ๆ นั่นจึงทำให้หล่อนกลายเป็นเด็กสาวที่เติบโตขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
จางฉุ้ยเหลียนมักจะแบ่งปันสิ่งดี ๆ ให้กับติงหลงหลงเสมอ ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เธอถักเสื้อไหมพรมไปขาย เธอก็มักจะถักเพิ่มอีกตัวหนึ่งให้กับติงหลงหลงด้วยทุกครั้ง ส่วนตอนที่ติงหลงหลงฝึกฝนวาดภาพ จางฉุ้ยเหลียนก็มักจะใช้ประสบการณ์ในการวาดภาพของลูกสาวของเธอมาช่วยชี้แนะนำให้กับหล่อนอยู่ตลอดอีกด้วย
ถึงแม้ว่าติงหลงหลงจะไม่รู้ว่าทำให้จางฉุ้ยเหลียนถึงได้ดีกับหล่อนถึงขนาดนี้ แต่หล่อนก็รู้ว่าที่จางฉุ้ยเหลียนทำดีกับหล่อนมันไม่ใช่การประจบประแจงอย่างแน่นอน แต่มันมาจากความรักและความเอาใจใส่ที่มาจากส่วนลึกในใจของเธอ ทุก ๆ การตัดสินใจของหล่อน นอกจากจางฉุ้ยเหลียนจะสนับสนุนหล่อนแล้ว เธอก็ยังช่วยแสดงความคิดเห็นให้กับหล่อน ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่พวกเธอทั้งสองคนต่างก็เข้าใจกันและกันได้เป็นอย่างดี
จางฉุ้ยเหลียนตอบรับคำเชิญชวนของติงหลงหลง ทั้งสองคนจึงได้นัดแนะเวลากันเพื่อมาเรียนภาษาอังกฤษในวันเสาร์ และในช่วงที่เรียนนั้นพวกเธอทั้งสองคนก็เริ่มสื่อสารภาษาอังกฤษกันได้อย่างผ่อนคลายมากขึ้น ไม่ว่าพวกเธอทั้งสองคนจะไปดูหนัง ชอปปิ้ง หรือตอนที่ไปชมละครสัตว์ พวกเธอก็จะพูดภาษาอังกฤษกันตลอดเวลา
ในวันที่สภาพอากาศไม่ดี ติงหลงหลง จางฉุ้ยเหลียน และอาจารย์สอนภาษาอังกฤษของพวกเธอ ก็มักจะใช้เวลาอยู่ที่บ้านตระกูลติงตลอดทั้งวัน และพวกเธอทั้งสามคนก็มักจะชอบดื่มชากัน อีกทั้งชานี้ก็ใช้ชุดชงชาแบบดั้งเดิมในการชงอีกด้วย
และที่บ้านของติงหลงหลงก็ยังมีเมล็ดกาแฟที่ญาติของหล่อนซื้อมาฝากจากต่างประเทศ อีกทั้งยังมีขนมอบรสชาติอร่อยที่ใช้เตาอบของติงเขอในการอบอีกด้วย
พูดได้เลยว่าวัฒนธรรมแบบนี้คือความสุขของอันหลงอย่างแท้จริง เพราะในชาติที่แล้วหล่อนรักในการอบขนมมาก หล่อนมักจะอบขนมเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่ในบ้าน จากนั้นก็จะชวนบรรดาเพื่อน ๆ ของหล่อน 4-5 คนมานั่งจิบกาแฟพูดคุยกันในบ้าน เมื่อคนเริ่มเยอะขึ้น เหล่าบรรดาเพื่อน ๆ ของหล่อนก็เริ่มตั้งวงเล่นไพ่กันอย่างสนุกสนาน เมื่อพวกหล่อนได้เล่นไพ่แล้วพวกหล่อนก็ไม่สนใจการจิบกาแฟหรือพูดคุยกันอีกเลย เมื่อไม่ได้พูดคุยและจิบกาแฟ อันหลงก็เริ่มเกิดความรู้สึกเบื่อหน่าย หล่อนจึงมักจะดึงตัวจางฉุ้ยเหลียนให้มานั่งจิบกาแฟเป็นเพื่อนหล่อนอยู่เสมอ ๆ อีกทั้งยังพูดคุยแลกเปลี่ยนมุมมองทางการเมืองกับเธออีกด้วย
เตาอบของตระกูลติงนั้น มีระบบการใช้งานน้อยกว่าเตาอบในยุดสมัยใหม่เมื่อชาติที่แล้วที่จางฉุ้ยเหลียนเคยเห็นมาก ทั้งอุปกรณ์ ทั้งแม่พิมพ์ที่มีขนาดเล็กจนไม่สามารถใส่ส่วนผสมให้ตรงตามมาตรฐานได้ ทั้งสามคนต่างก็วุ่นกับการอบขนมกันอย่างขะมักเขม้น หลังจากที่อบขนมจนไหม้เกรียมไปแล้วหลายรอบ ในที่สุดพวกเธอก็อบขนมออกมาได้สำเร็จ
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงเรื่องเล็ก ๆ แต่มันก็ทำให้พวกเธอทั้งสามคนรู้สึกมีความสุขไม่น้อย จิบกาแฟไปดูหนังไปและใช้ภาษาอังกฤษพูดคุยกันถึงเรื่องราวของคนต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชีวิตของพวกเขา รวมทั้งความแตกต่างในเรื่องของงานอดิเรกระหว่างประเทศจีนและต่างประเทศ
เมื่อเริ่มพูดถึงเรื่องที่ไกลตัว มันจึงทำให้หัวข้อสนทนาขยายออกไปกว้างขึ้น เมื่อพูดออกไปไกลตัวมากขึ้น อาจารย์ที่มาช่วยสอนก็ถึงกับต้องหยิบพจนานุกรมอังกฤษจีนออกมาเริ่มค้นหาคำศัพท์เช่นกัน บางครั้งในชั่วโมงเรียนหล่อนก็มักจะเจอกับคำศัพท์ที่ไม่ได้ใช้อยู่บ่อย ๆ อีกทั้งหล่อนก็ไม่ค่อยแน่ใจด้วย การสอนพิเศษในครั้งนี้ จึงเป็นการย้ำเตือนหล่อนว่า ต่อไปหล่อนจะต้องแม่นยำเรื่องคำศัพท์มากกว่านี้
วันที่ 1 เดือนพฤษภาคม วันนี้จางฉุ้ยเหลียนก็มาที่บ้านตระกูลติงเช่นเดิม และในเวลานี้ ซ่งเวยน้าของติงหลงหลง เฉินหลิงอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ และติงหลงหลง ทั้งสามคนก็กำลังช่วยกันทำพิซซ่าอยู่ในครัว
จางฉุ้ยเหลียนเหม่อมองไปทางหิมะที่กำลังตกด้านนอกหน้าต่าง ในใจของเธอก็กำลังคิดถึงกู้จื้อเฉิงที่ไม่ได้เจอมานานหลายเดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ ก็กินเวลาเกือบจะครึ่งปีแล้วที่เธอและเขาไม่ได้เจอกัน ถึงแม้ว่าบางครั้งเธอจะไปเยี่ยมอันหลงและกู้จื้อชิว แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกคิดถึงที่เธอมีต่อกู้จื้อเฉิงลดลงไปได้เลย
ภายในหมู่บ้าน จู่ ๆ ก็มีเสียงล้อรถเสียดสีกับพื้นซีเมนต์อย่างแรงจากการเบรก เมื่อได้ยินเสียงนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็รีบหันไปมองที่รถคันนั้นทันทีอย่างมีความหวัง และจางฉุ้ยเหลียนก็เห็นผู้ชายรูปร่างกำยำคนหนึ่งสวมใส่ชุดสีเขียวของทหารเดินลงมาจากรถจิ๊ปคันนั้น
หลังจากที่กู้จื้อเฉิงลงมาจากรถ เขาก็รู้สึกเหมือนมีใครบางคนกำลังจ้องมองเขาอยู่ ด้วยความที่เขาเป็นทหารมานานหลายปีนั่นจึงทำให้เขามีความรู้สึกตอบสนองไวกว่าคนอื่น เมื่อรู้สึกว่ามีคนจ้องเขาจากทางหน้าต่างของตึกด้านหลัง เขาจึงหันกลับไปมองทันทีด้วยความรู้สึกไม่ชอบมาพากล
วินาทีที่กู้จื้อเฉิงหันกลับมา จางฉุ้ยเหลียนก็รีบซ่อนตัวอยู่หลังผ้าม่านทันที จากนั้นหัวใจของเธอก็เต้นแรงทันทีด้วยความตื่นเต้น เธอไม่รู้ว่ากู้จื้อเฉิงจะเห็นเธอรึเปล่า
ขณะที่ติงหลงหลงเดินออกมาจากในครัว หล่อนก็เห็นจางฉุ้ยเหลียนกำลังหลบซ่อนตัวอยู่ในผ้าม่านพอดี อีกทั้งเธอยังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอีกด้วย เมื่อเห็นดังนั้นหล่อนจึงเดินเข้าไปถามจางฉุ้ยเหลียนด้วยความสงสันว่า “ฉุ้ยเหลียน เธอทำอะไรน่ะ ? ”
เมื่อได้ยินเสียงของติงหลงหลง จางฉุ้ยเหลียนจึงได้สติกลับมา จากนั้นเธอก็คลี่ยิ้มและพูดออกไปว่า “หลงหลง เธอจำคุณป้าคนหนึ่งที่ฉันเคยเล่าให้เธอฟังได้ไหม ?”
ติงหลงหลงพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นหล่อนก็ถามออกไปว่า “จำได้ ตระกูลกู้ที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับฉันใช่ไหม ?”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปที่ห้องครัวแวบหนึ่ง เมื่อเธอเห็นว่าซ่งเวยยังคงวุ่น ๆ อยู่ในครัว เธอจึงเดินเข้าไปจูงมือของติงหลงหลงมาหลบอยู่ที่มุม ๆ หนึ่ง จากนั้นเธอก็พูดออกไปด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หลงหลง ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ”
ติงหลงหลงพูดอย่างขำ ๆ “ว่ามาสิ แล้วเธอทำไมต้องทำหน้าจริงจังขนาดนั้นด้วยเนี่ย?”
จางฉุ้ยเหลียนรู้ดีว่าถ้าเธอบอกเรื่องที่ตัวเองกลับชาติมาเกิดใหม่ให้ติงหลงหลงฟัง หล่อนจะต้องบอกว่าเธอบ้า ๆ แน่ ๆ อีกทั้งเธออาจจะถูกมองว่าโง่อีกด้วย
แต่ถึงอย่างไรเธอก็เป็นเพียงแค่เด็กสาวธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เธอไม่สามารถเก็บความลับไว้ในใจได้ตลอด
จางฉุ้ยเหลียนก้มหัวลง แล้วพูดด้วยเสียงเบาๆว่า “ฉันอยากบอกเธอว่า.... ความจริงแล้ว.... ความจริงแล้ว... ฉันชอบลูกชายของป้าคนนั้นน่ะ”
“หา ?” ติงหลงหลงนิ่งอึ้งไปทันที ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาในที่สุด “ฉันก็นึกว่าเรื่องอะไร ที่แท้สาวสวยของเราก็มีความรักแล้วนี่เอง!”
เมื่อเห็นว่าติงหลงหลงเริ่มพูดออกมาเสียงดัง จางฉุ้ยเหลียนก็ยื่นมือออกไปปิดปากของหล่อนในทันที เพื่อไม่ให้น้าของหล่อนที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัวได้ยิน
ติงหลงหลงแสดงสีหน้าแปลกใจออกมาไม่น้อย จากนั้นหล่อนก็เย้าแหย่จางฉุ้ยเหลียนต่อว่า “พูดมาสิ เธอเริ่มชอบเขาตั้งแต่ตอนไหน ?”
จางฉุ้ยเหลียนเอียงศีรษะครุ่นคิดเล็กน้อย “ฉันคิดว่าฉันเริ่มมีความรู้สึกดี ๆ กับเขาตอนที่เขารักษาตัวอยู่ที่บ้านน่ะ เธอก็รู้ว่าพ่อบุญธรรมของฉันก็เป็นทหารเหมือนกัน เพราะอย่างนั้นฉันจึงมีความรู้สึกดี ๆ กับทหาร อีกอย่างกู้จื้อเฉิงก็เป็นคนมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ เข้มแข็ง และเขาก็มีเสน่ห์มากอีกด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะมีความกตัญญูต่อพ่อแม่ แต่เขาก็ไม่ได้กตัญญูต่อพ่อแม่ถึงขนาดไม่คำนึงถึงความถูกต้อง”
ในขณะที่จางฉุ้ยเหลียนพูด เธอก็อดที่จะหน้าแดงขึ้นมาไม่ได้ “หลังจากนั้นฉันก็ได้คำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องทหารจากเขา มันจึงทำให้ฉันรู้ว่าเขาเป็นคนที่มีความอดทน อีกทั้งยังละเอียดรอบคอบมากเลยทีเดียว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาฉันก็เริ่มชอบเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ”
ความจริงแล้ว ถึงแม้ว่าชาติที่แล้วเธอกับกู้จื้อเฉิงจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันมานานมากกว่า 20 ปี แต่จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่เคยได้ยินกู้จื้อเฉิงพูดถึงเรื่องของตัวเองมาก่อนเลย นั่นจึงทำให้การที่เธอได้พูดคุยกับกู้จื้อเฉิงเพียงไม่กี่วัน มันทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยและรู้สึกแปลกหน้าในเวลาเดียวกัน
“เมื่อกี้ ฉันเห็นเขากลับมาแล้ว !”จางฉุ้ยเหลียนพยายามอดกลั้นความเขินอายเอาไว้ เธอเงยหน้ามองติงหลงหลง และพูดออกไปด้วยท่าทางเขินอายว่า “ ฉันไม่ได้เจอเขานานมากแล้ว ถ้าฉันอยากจะสานสัมพันธ์กับเขา ฉันควรจะทำยังไงดี ? ”