ตอนที่ 49 วิจารณ์
จางฉุ้ยเหลียนมาอาศัยอยู่ที่บ้านของตระกูลติงได้ 2 วันแล้ว และเธอก็ได้รู้ว่าที่บ้านของติงหลงหลงมีฐานะดีขนาดนี้ ก็เป็นเพราะ “ครอบครัวทางฝ่ายแม่” ของหล่อนนั่นเอง
เท่าที่จางฉุ้ยเหลียนได้สอบถามมา เธอก็เพิ่งรู้ความจริงว่า เดิมทีแล้วตระกูลติงไม่ได้มีฐานะร่ำรวยมาก่อน และพ่อของติงหลงหลงก็เพิ่งจะได้รับเลื่อนตำแหน่งเมื่อสองสามปีก่อนที่ผ่านมานี้เอง เขาได้เลื่อนขั้นเป็นนายทหารพลเรือนและได้ย้ายมาประจำการอยู่ในเมืองนี้
และอีกไม่นานพ่อของหล่อนก็ต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่น นั่นจึงทำให้ครอบครัวของหล่อนต้องย้ายตามไปด้วย แต่ก่อนที่ตระกูลติงจะย้ายออกไป ติงหลงหลงก็หวังว่าพ่อของหล่อนจะยินยอมให้หล่อนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ
และการที่บ้านของตระกูลติงได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามแบบนี้ นั่นก็เป็นเพราะว่า “ญาติทางฝ่ายแม่” ของติงหลงหลงที่มีฐานะร่ำรวยคอยช่วยออกแบบและตกแต่งให้นั่นเอง
เรื่องราวของตระกูลติงนั้นน่าสนใจมากเลยทีเดียว พ่อของติงหลงหลงเกิดและเติบโตมาจากชนบท ส่วนแม่ของหล่อนก็เกิดและเติบโตมาจากตระกูลที่มีฐานะร่ำรวย ในตอนนั้น พ่อและแม่ของติงหลงหลงก็ถูกกีดกันจากบรรดาญาติทางฝ่ายแม่ของหล่อนเป็นอย่างมาก สาเหตุก็มาจากฐานะครอบครัวที่แตกต่างกัน
หลังจากที่ได้ผ่านอุปสรรคด้วยกันมามากมาย ในที่สุดพ่อและแม่ของติงหลงหลงก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน เมื่อพวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน มันก็ทำให้เห็นถึงปัญหาที่ตามมา นอกจากเรื่องการศึกษาแล้ว ก็ยังมีเรื่องความแตกต่างระหว่างสองครอบครัว แต่ถึงอย่างไรพ่อของติงหลงหลงก็รักแม่ของหล่อนเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าในอนาคต เขาจะได้รับผลกระทบจากเรื่องฐานะที่แตกต่างกัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่สนใจ
หลังจากนั้นไม่นานพ่อของติงหลงหลงก็ได้มีโอกาสไปทำงานที่ต่างประเทศ และเขาก็ยังพาเหล่าบรรดาญาติพี่น้องของเขาไปด้วย เขาเริ่มทำงานจากการเป็นพนักงานในร้านอาหาร จากนั้นก็ค่อย ๆ สร้างธุรกิจของตัวเองขึ้นมา
คุณปู่และคุณย่าของติงหลงหลงนั้นเสียชีวิตไปนานแล้ว นั่นจึงทำให้พ่อของหล่อนและเหล่าบรรดาญาติพี่น้องต่างก็รักใคร่กลมเกลียวกัน และเมื่อมีพี่น้องคนไหนลำบาก พวกเขาก็จะช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
และสิ่งที่พวกเขาทำได้ก็คือ การช่วยเหลือในด้านวัตถุสิ่งของ ไม่ว่าพ่อของติงหลงหลงจะยอมรับมันหรือไม่ พวกเขาก็มักจะเอาสิ่งของเครื่องใช้ที่ทันสมัยมาให้พ่อของติงหลงหลงที่บ้านอยู่เสมอ
ในเมืองทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่ด้านเทคโนโลยียังล้าสมัยอยู่ จางฉุ้ยเหลียนก็เพิ่งจะเคยเห็นบ้านที่มีเครื่องเล่นวิดีโอเทปเป็นครั้งแรก ถึงแม้ว่าเครื่องเล่นวิดีโอเทปจะมีราคาแพง แต่มันก็ทำให้จางฉุ้ยเหลียนระลึกถึงชาติก่อนที่เธอจากมาได้เป็นอย่างดี
“ครอบครัวของฉันมีพี่น้องทั้งหมด 2 คน ฉันมีพี่ชาย 1 คน และฉันก็เป็นลูกคนสุดท้อง ความจริงแล้วพ่อของฉันไม่อยากให้ฉันออกไปเผชิญกับความยากลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ห้ามให้ฉันไปพักที่บ้านของคุณลุงคุณป้าหรอกนะ” ติงหลงหลงทอดถอนหายใจออกมา เพราะหล่อนไม่รู้ว่าหล่อนจะพูดโน้มน้าวพ่อของหล่อนอย่างไรดี เพื่อให้เขายอมให้หล่อนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ
หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเธอก็เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ความจริงแล้วเธอลองพูดกับพ่อของเธอถึงมุมมอง ‘การไปเรียนต่อต่างประเทศเพื่อนำกลับมาพัฒนาประเทศจีน’ ก็ได้นะ!”
ติงหลงหลงถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที จากนั้นหล่อนก็ถามออกมาว่า “เรียนเพื่อนำกลับมาพัฒนาประเทศจีนอย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ เธอก็ชี้ไปทางโทรทัศน์ที่อยู่ด้านหน้า จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “เธอดูที่โทรทัศน์เครื่องนี้สิ มันก็เป็นเทคโนโลยีที่มาจากต่างประเทศไม่ใช่หรือ?เธอลองนึกถึงหนังที่เธอเคยดู เทคโนโลยีต่าง ๆ ที่นำมาผลิตหนังมันก็มาจากต่างประเทศเหมือนกัน ประเทศจีนไม่สามารถวิ่งตามหลังประเทศอื่นไปตลอดหรอกนะ และประเทศจีนก็ไม่ชอบกินของเหลือของคนอื่นด้วยใช่ไหมล่ะ ? ดังนั้นไม่ว่าเธอจะเรียน.............”
ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะพูดจบ ติงหลงหลงก็พูดขัดออกมาพร้อมกับส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “พ่อของฉันต้องถามแน่ ๆ ว่า การเรียนสาขาเกี่ยวกับการสร้างภาพยนต์มันเกี่ยวอะไรกับการพัฒนาประเทศจีน”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มและพูดออกมาว่า “งั้นฉันขอถามเธอหน่อย ทำไมคนต่างชาติถึงรู้ประวัติศาสตร์ห้าพันปีก่อนของประเทศจีนได้ล่ะ ?แล้วคนต่างชาติเข้าใจวัฒนธรรมดั้งเดิมของประเทศจีนได้ยังไง ? ”
เมื่อได้ยินคำถามของจางฉุ้ยเหลียน ดวงตาของติงหลงหลงก็เปล่งประกายออกมา “ใช่แล้ว !”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มและพูดต่อว่า “ ฉันจะพูดยกตัวอย่างเรื่องสี่ยอดวรรณกรรมของจีน ให้เธอฟังนะ เธอคิดว่าคนในยุดสมัยนี้จะมีสักกี่คนที่สามารถจดจำตัวละครในนิยายทั้งสี่เรื่องนี้ได้ทั้งหมด ? ถ้าหากว่าพวกเขาไม่นำมันไปสร้างเป็นภาพยนตร์ คนต่างชาติรวมภึงคนในประเทศจีนจะรู้วัฒนธรรมดั้งเดิมของจีนได้ไหม ? พวกเราต่างก็รู้จัก 36 กลยุทธ์ในเรื่องสามก๊ก แต่ใครจะรู้ว่ากลยุทธ์พวกนั้นมันหมายความว่าอย่างไร ? และการที่เธอนำมันไปสร้างเป็นภาพยนตร์ มันก็ทำให้ผู้คนเข้าใจมากขึ้นไม่ใช่หรือ”
ติงหลงหลงตีไปบนแขนของจางฉุ้ยเหลียนด้วยความตื่นเต้นในทันที จากนั้นหล่อนก็พูดออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกศรัทธาต่อจางฉุ้ยเหลียนว่า “เธอนี่เก่งจริง ๆ เลย ถ้าฉันไปพูดอธิบายกับพ่อของฉันแบบนี้ พ่อของฉันต้องยอมให้ฉันไปเรียนต่อที่ต่างประเทศแน่ ๆ และฉันก็เชื่อว่าในอนาคตประเทศของเราจะพัฒนาขึ้น มีหนังเป็นของตัวเอง และคนในประเทศก็จะได้ไม่ต้องดูหนังของต่างประเทศอีกต่อไป”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการเห็นด้วย “ใช่ !ฉันคิดว่าการแสดงงิ้วของประเทศเรานั้นสนุกกว่าละครของเพลงของต่างประเทศเสียอีก คนต่างชาติต่างก็รู้จักละครเพลงผ่านทางภาพยนตร์กันทั้งนั้น ถ้าในอนาคตเราสามารถถ่ายทอดการแสดงงิ้วลงในภาพยนตร์ของประเทศเราได้ ต่างประเทศก็จะเริ่มรู้จักการแสดงงิ้วอย่างแน่นอน”
เมื่อพ่อของติงหลงหลงกลับมาถึงบ้าน ติงหลงหลงก็ได้เริ่มพูดกับพ่อของหล่อนเรื่องที่หล่อนจะไปศึกษาเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ที่ต่างประเทศด้วยสีหน้าจริงจัง และก็เป็นอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนคิดไว้จริง ๆ เพราะตอนนี้พ่อของติงหลงหลงก็เห็นด้วยกับความคิดของหล่อน เมื่อได้พูดคุยกับลูกสาวแล้ว พ่อของติงหลงหลงก็นั่งครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ จากนั้นเขาก็ตัดสินใจให้ติงหลงหลงไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ
ตอนนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านมาจนถึงเดือนเมษายน ปี ค.ศ. 1989 แล้ว ติงหลงหลงได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของหล่อนเป็นอย่างดี ตอนนี้หล่อนก็ได้เริ่มเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปเรียนต่อที่ต่างประเทศแล้ว นอกจากเรื่องเอกสารต่าง ๆ ที่จะต้องเตรียม ติงหลงหลงก็ต้องเตรียมความพร้อมด้านภาษาอังกฤษด้วยเช่นกัน
จางฉุ้ยเหลียนอยากจะช่วยสอนภาษาอังกฤษให้กับติงหลงหลง แต่เธอนั้นก็พูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยแม้แต่น้อย เธอจึงไม่สามารถช่วยอะไรติงหลงหลงในเรื่องนี้ได้ ติงเขอจึงอาสาหาครูสอนภาษาอังกฤษมาช่วยสอนติงหลงหลงแบบตัวต่อตัว นอกจากติงหลงหลงจะต้องสอบภาษาอังกฤษแล้ว หล่อนก็ต้องสอบวัดระดับการศึกษาด้วยเช่นกัน
ผู้คนในหอพักต่างก็ไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมติงหลงหลงถึงได้ลาออกจากวิทยาลัยกลางคันแบบนี้ แต่เมื่อไม่มีเด็กสาวฐานะร่ำรวยคนนี้อยู่ร่วมหอพักแล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกสบายใจ และเฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็เป็นคนหนึ่งที่คิดแบบนั้น
“ฉันว่าที่หล่อนลาออกจากวิทยาลัยกลางคันแบบนี้ หล่อนต้องแอบไปแต่งงาน หรือไม่หล่อนก็อาจจะท้องก็ได้” เฝิงเสี่ยวเจี๋ยที่กำลังนั่งอยู่บนเตียงเก่าของติงหลงหลงเริ่มพูดเดาออกมาอย่างไม่มีมูลแต่อย่างใด
จางฉุ้ยเหลียนวางหนังสือที่อยู่ในมือลง จากนั้นก็ลุกขึ้นมานั่ง เธอขมวดคิ้วแน่นและพูดตักเตือนเฝิงเสี่ยวเจี๋ยออกไปว่า “เธอไม่รู้ความจริง ก็อย่าพูดเดาเอาเองเลยดีกว่า ติงหลงหลงก็เป็นแค่เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง หล่อนไม่เคยทำอะไรให้เธอต้องคับแค้นใจเลยสักครั้ง แต่เธอก็ดันเอาเรื่องของหล่อนไปพูดอย่างสนุกปาก อีกทั้งยังไม่มีมูลความจริง เธอเที่ยวป่าวประกาศข่าวลือไปทั่ววิทยาลัยแบบนั้น เธอสนุกมากนักรึไง ? ”
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยไม่รู้สึกเกรงกลัวจางฉุ้ยเหลียนเลยสักนิด ตรงกันข้ามหล่อนกลับแสดงสีหน้าดูถูกออกมา จากนั้นหล่อนก็พูดถากถางจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “ตอนนี้ติงหลงหลงก็ไปแล้ว เธอยังจะพูดเข้าข้างหล่อนอยู่อีกอย่างนั้นหรือ ? ฉันไม่รู้ งั้นเธอรู้อย่างนั้นหรือว่าทำไมหล่อนถึงลาออกกลางคัน ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ใช่ แล้วฉันก็รู้ดีมากเลยด้วย และฉันจะขอพูดกับเธอตรงนี้เลยนะว่า ถ้าเธอยังไปป่าวประกาศข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ อีกล่ะก็ ฉันจะให้ติงหลงหลงมาพูดกับเธอด้วยตัวเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน เฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็หัวเราะออกมาทันที จากนั้นหล่อนก็เบะปากพร้อมกับกลอกตาไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “ถ้าหล่อนจะมา ก็ให้หล่อนมาสิ ทำไม ฉันพูดไม่ได้รึไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้ว จากนั้นก็พูดออกไปว่า “ฉันไม่ได้บอกว่าเธอพูดไม่ได้ แต่ฉันบอกว่าเธอไม่ควรป่าวประกาศข่าวลือเสีย ๆ หาย ๆ แบบนี้ออกไป เพราะการที่เธอทำแบบนี้มันผิดกฎหมายเธอรู้รึเปล่า หรือต้องให้ติงหลงหลงแจ้งตำรวจ เธอถึงจะยอมรับผิดล่ะ ? ”
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยวหน้าแดงกร่ำด้วยความโกรธขึ้นมาในทันที จากนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยความร้อนใจว่า “มีใครได้ยินที่ฉันพูดบ้างล่ะ ? จะมีใครสามารถพิสูจน์ได้บ้างว่าฉันเป็นคนพูด ? เหอะ ! ถ้าฉันไม่ยอมรับซะอย่าง เธอจะทำอะไรได้!”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “จะทำอะไรเธอได้อย่างนั้นหรือ ? เธอคิดว่าถ้าเธอไม่ยอมรับ ก็ไม่มีใครสามารถเอาผิดเธอได้อย่างนั้นสิ ? ก็เหมือนตอนนั้นที่ฉันบอกกับทุกคนในหอพักว่าฉันอยากจะออกไปหางานข้างนอกทำเพื่อหาเงินค่าเทอม พอวันรุ่งขึ้นอาจารย์ที่ปรึกษาของฉันก็เรียกฉันไปตำหนิ ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนเอาเรื่องของฉันไปบอกหล่อน เธอคิดว่าคนอื่นเขาจะไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นเลยรึไง เรื่องนี้ฉันรู้มาตั้งนานแล้ว แต่ฉันแค่ไม่พูดเท่านั้นเอง”
เมื่อได้ยินคำพูดของจางฉุ่ยเหลียน ใบหน้าของเฝิงเสี่ยวเจี๋ยซีดเผือดในทันที เหล่าบรรดาเด็กสาวที่อยู่ในห้องพักแห่งนี้ต่างก็ปิดปากเงียบไม่มีใครกล้าส่งเสียงออกมาแต่อย่างใด
นี่เป็นครั้งแรกที่มีการทะเลาะกันเกิดขึ้นในห้องพักแห่งนี้ ทุกคนต่างก็พากันหวาดกลัวไม่น้อย และก็มีบางคนที่หลบซ่อนตัวอยู่บนเตียงของตัวเอง และทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับเรื่องนี้
“เธอจะไม่พูดอะไรหน่อยหรือ ?เธอตกใจมากขนาดนั้นเชียว ? ฉันจะบอกอะไรเธอให้นะ ตอนนั้นที่มีข่าวลือเรื่องที่ติงหลงหลงคบกับทหาร หล่อนก็รู้ตั้งนานแล้วล่ะว่ามันเป็นฝีมือของเธอ แต่หล่อนแค่ไม่พูดก็เท่านั้น และฉันก็อยากจะบอกเธอด้วยนะว่า ผู้ชายคนนั้นเป็นพี่ชายของติงหลงหลง เธอรู้รึเปล่าว่าการกระทำของตัวเองมันน่ารังเกียจมากแค่ไหน ? ” จางฉุ้ยเหลียนยิ่งพูดก็ยิ่งโกรธ เมื่อก่อนเธอก็คิดว่าเฝิงเสี่ยวเจี๋ยเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่ปากไม่มีหูรูดเพียงเท่านั้น แต่มาตอนนี้ เธอคิดว่าเด็กสาวคนนี้เป็นคนที่สร้างปัญหามากเลยทีเดียว
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยกัดริมฝีปากโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา จางฉุ้ยเหลียนหรี่ตาลงเล็กน้อย จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ถ้าข่าวลือที่เธอสร้างขึ้นมันแพร่กระจายออกไป แล้วทางวิทยาลัยเชื่อข่าวลือที่เธอสร้างขึ้นมาล่ะ จะทำอย่างไร เธอรู้รึเปล่าว่าการกระทำของเธอจะส่งผลกระทบต่องานและอนาคตของติงหลงหลงมากแค่ไหน ? หลังจากที่เธอจบออกไปจากที่นี่ เธอก็จะต้องไปเป็นครู และเธอก็น่าจะรู้นะว่าการเป็นครูที่ดีต้องทำอย่างไร ? อะไรควรพูดหรือไม่ควรพูด เธอน่าจะรู้แก่ใจดีใช่ไหม ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็รู้สึกตกใจไม่น้อย หล่อนไม่รู้เลยว่านิสัยชอบพูดโม้โอ้อวดของตัวเองจะส่งผลกระทบต่อคนอื่นได้มากขนาดนี้ หรือจางฉุ้ยเหลียนกำลังข่มขู่หล่อนอยู่กันแน่ ?
“ไอ้หยา ปกติแล้วเธอก็มักจะชอบพูดว่าร้ายให้ติงหลงหลงอยู่เสมอ แล้วตอนนี้เธอก็ยังจะมาพูดยั่วยุจางฉุ้ยเหลียนอีกอย่างนั้นหรือ เธอชอบพูดนินทาเรื่องฐานะทางครอบครัวของจางฉุ้ยเหลียนให้เราฟังบ่อย ๆ เธอดูถูกจางฉุ้ยเหลียน แต่เธอกลับให้จางฉุ้ยเหลียนสอนเธอถักเสื้อไหมพรม น่าไม่อายเลยจริง ๆ !” จางเว่ยแบะปาก และพูดออกมาอย่างทนไม่ได้
หลี่เหยาที่นั่งอยู่บนเตียงชั้นบนของเฝิงเสี่ยวเจี๋ย ที่มักจะถูกหล่อนดูถูกกดขี่มาตลอด ก็เอ่ยปากพูดออกมาว่า “เฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็เคยนินทาฉันเหมือนกัน หล่อนนินทาติงหลงหลง นินทาจางฉุ้ยเหลียน แล้วก็นินทาคนอื่น ๆ ในห้อง เห้อ ฉันล่ะอยากจะรู้จริง ๆ ว่าหล่อนไม่เคยนินทาใครบ้าง !”
เมื่อหลี่เหยาเอ่ยปากพูดออกมา เหล่าบรรดาเด็กสาวที่อยู่ในห้องพักแห่งนี้ต่างก็ระเบิดอารมณ์โกธรของตัวเองออกมา จางเว่ยหันไปพูดกับหวังโต้วโต้วนักศึกษาสาขาคณิตศาสตร์ว่า “หล่อนเคยนินทาเธอให้ฉันฟังด้วย หล่อนบอกว่าขี้แมลงวันที่อยู่บนหน้าของเธอเหมือนกับขนมงาอย่างไรอย่างนั้น”
เมื่อได้ยินดังนั้น หวังโต้วโต้วก็หันไปจ้องเขม็งเฝิงเสี่ยวเจี๋ยในทันที จากนั้หล่อนก็กัดฟันและพูดในสิ่งที่หล่อนได้ยินมาเช่นกันว่า “หล่อนก็เคยพูดกับฉันเหมือนกัน หล่อนบอกว่าเกาปินกับหลี่เหยาเหมือนกับผีเน่ากับโลงผุ แล้วหล่อนก็ยังพูดอีกว่าคนที่มีสมบัติผู้ดีเขาไม่ใส่รองเท้าส้นสูงกันหรอก!”
หลี่ม่านนั้นปฏิบัติตัวกับจางฉุ้ยเหลียนดีมาตลอด เพราะจางฉุ้ยเหลียนเคยช่วยหล่อนเรื่องที่ปู่ของหล่อนเข้าโรงพยาบาล ตอนที่ทุกคนรู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นมีฐานะยากจน และพยายามตีตัวออกห่างจากเธอ ก็มีเพียงหลี่ม่านที่ปฏิบัติตัวกับจางฉุ้ยเหลียนเหมือนเดิม
เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างก็ทยอยพูดเรื่องที่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยเคยนินทาว่าร้ายคนอื่น อีกทั้งทุกคนต่างก็แสดงสีหน้ารังเกียจออกมา หลี่ม่านจึงพูดออกไปด้วยความโกธรว่า “ตอนนั้นที่จางฉุ้ยเหลียนไปทำงานที่โรงอาหารของวิทยาลัย เฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็มักจะชอบพูดว่าหล่อนเหม็นกลิ่นอาหารที่ติดตัวจางฉุ้ยเหลียน แต่ฉันก็เห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นอาบน้ำแปรงฟันเช้าเย็น อีกทั้งตอนก่อนที่เธอจะเข้ามาในห้อง เธอก็ล้างเท้าจนสะอาดทุกครั้ง ก็มีแต่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยนี่แหละที่ล้างแค่หน้าเพียงเท่านั้น หล่อนลูบหน้าแค่สองครั้ง โดยที่ไม่แปรงฟัน ไม่ล้างเท้า แล้วก็ไม่อาบน้ำอีกต่างหาก น่ารังเกียจจริง ๆ เลย”
จางเว่ยก็คล้อยตามหลี่ม่านเช่นกัน หล่อนพูดออกมาว่า “ใช่ ตอนนั้นไม่มีใครพูดกับจางฉุ้ยเหลียนเลย มีแค่หลี่ม่านคนเดียวที่ปฏิบัติตัวดีกับจางฉุ้ยเหลียน ตอนนั้นเฝิงเสี่ยวเจี๋ยยังมาบอกให้ฉันระวังจางฉุ้ยเหลียนจะมาแย่งหลี่ม่านไปจากฉันอีก เหอะ เลวทรามต่ำช้าจริง ๆ !”
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยนึกไม่ถึงเลยว่าทุกคนในห้องพักจะมารวมตัวกันประจานหล่อนแบบนี้ ราวกับทุกคนกำลังโต้วาทีกันอย่างไรอย่างนั้น ในที่สุดหล่อนก็อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป จากนั้นหล่อนก็ยกมือขึ้นมาปิดหน้าและร้องห่มร้องไห้ออกมาเสียงดังในทันที
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นดังนั้น เธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เธอคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนี้มันจะกลายมาเป็นเรื่องใหญ่โตแบบนี้ได้
เดิมทีแล้วเธอแค่อยากจะตักเตือนเฝิงเสี่ยวเจี๋ยว่าอย่าพูดนินทาติงหลงหลงลับหลังหล่อนเพียงเท่านั้น แต่เธอกลับนึกไม่ถึงเลยว่าเหล่าบรรดาเด็กสาวที่อยู่ในหอพักแห่งนี้จะทนไม่ไหวและร่วมกันประจานหล่อนแบบนี้
เกาปินหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “คนที่ใส่รองเท้าส้นสูงเป็นคนที่ไม่มีสมบัติผู้ดีอย่างนั้นหรือ เพราะตัวเธอเองต่างหากที่เชย แถมเธอยังจะไปหัวเราะเยาะแฟชั่นของคนอื่น อีกอย่างบ้านของจางฉุ้ยเหลียนมีฐานะยากจนแล้วมันยังไง เจ้าตัวทำงานหาเงินส่งเสียตัวเองเรียนแล้วมันหนักส่วนไหนของเธอไม่ทราบ ? เธอดูถูกแฟชั่นของคนอื่น แต่เธอก็ยังมาเรียนถักเสื้อไหมพรมกับทุกคนเนี่ยนะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเพิ่งจะรู้ตอนนี้ว่า เพียงประโยคเดียวที่หลี่เหยาพูดออกมาก่อนหน้านี้ มันก็เป็นตัวจุดชนวนความโกธรในใจของทุกคนได้ดีเป็นอย่างดี เมื่อหลี่เหยาพูดจบ หล่อนก็เอนกายนอนลงไปบนเตียงของตัวเองโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ในขณะที่ทุกคนกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องไม่ดีของเฝิงเสี่ยวเจี๋ยอยู่นั้น จู่ ๆ เฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็ลงมาจากเตียง หล่อนคว้าเอาแก้วน้ำข้างเตียงมาถือไว้ และโยนมันไปทางจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “เรื่องของฉันกับเธอ มันไม่จบแค่นี้แน่!”
หลังจากนั้นหล่อนก็วิ่งออกไปจากห้องอย่างรวดเร็ว ไม่นานพวกเธอก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของเฝิงเสี่ยวเจี๋ยดังมาจากห้องพักฝั่งตรงข้าม
เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่ม่านก็พูดกับทุกคนออกไปว่า “ไอ้หยา แย่แล้ว ห้องฝั่งตรงข้ามต้องคิดว่าพวกเรารวมกลุ่มกันกลั่นแกล้งหล่อนแน่เลย”
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ม่าย จางเว่ยจึงพูดออกไปอย่างโกรธเคืองว่า “หล่อนอยากจะทำอะไรก็ปล่อยให้หล่อนทำไปเถอะ ตอนนี้หล่อนก็คงจะพูดใส่ร้ายเราให้ห้องฝั่งตรงข้ามฟังนั่นแหละ ถ้าหล่อนอยากจะไปสร้างข่าวลือแย่ ๆ อะไรก็ปล่อยให้หล่อนทำไป แล้วหล่อนก็ย้ายออกไปซะ ! ”