px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 48 ธุรกิจที่ดี


ตอนที่ 48 ธุรกิจที่ดี

 

เมื่อใกล้ถึงวันที่ 15  ตงลี่หวาก็บอกให้จางฉุ้ยเหลียนกลับไปที่บ้านตระกูลจาง จางฉุ้ยเหลียนจึงต้องเดินตามสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยกลับไปที่บ้านตระกูลจางอย่างไม่เต็มใจ หลังจากที่แบกของขึ้นรถโดยสารเรียบร้อยแล้ว พวกเขาทั้งสามคนก็นั่งรถตรงเข้าเมืองทันที

 

เมื่อเห็นถุงของฝากน้อยใหญ่ที่สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยเอามาฝาก สีหน้าของเช่าหวาก็เบิกบานใจไม่น้อย เมื่อเข้ามาในบ้านแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เดินไปชงชามาให้พ่อแม่บุญธรรมทั้งสองของเธอ หลังจากที่สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยนั่งคุยกับเช่าอยู่พักใหญ่ พวกเขาทั้งสองคนก็ขอตัวกลับ

 

หลังจากที่สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยกลับไปแล้ว เช่าหวาจึงได้ระเบิดอารมณ์ใส่จางฉุ้ยเหลียนทันที “แกยังรู้ตัวอีกหรือว่าแกจะต้องกลับบ้าน ? ฉันคิดว่าแกจะเฝ้าสิงสถิตอยู่ที่บ้านของพวกเขาไปตลอดชีวิตแล้วเสียอีก

 

จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “วันนั้นที่หนูออกไปจากบ้าน แม่ก็เป็นคนไล่หนูให้ออกไปเองไม่ใช่หรือคะ ? ถ้าแม่ไม่ดีใจที่หนูกลับมา งั้นหนูไปก็ได้ค่ะ

เช่าหวาโกรธจนพูดไม่ออก จากนั้นหล่อนก็เดินไปหยิบของฝากที่เซี่ยจวินเอามาฝากเดินเข้าไปเก็บในครัว จากนั้นก็ตะโกนใส่จางฉุ้ยเหลียนออกไปเสียงดังว่า “บ้านสกปรกจะตายอยู่แล้ว  แกรีบไปเก็บกวาดทำความสะอาดเดี๋ยวนี้เลย”

 

จางฉุ้ยเหลียนถอนหายใจออกมา จากนั้นเธอก็พูดกับผู้เป็นแม่ออกไปว่า “แม่รู้ด้วยหรือคะว่ามันสกปรก ? แล้วทำไมแม่ถึงไม่ทำความสะอาดบ้างล่ะ

 

จางฉุ้ยเหลียนใช้เวลาสองวันเต็ม ๆ ในการทำความสะอาดบ้านทั้งหลังเหมือนกับก่อนที่เธอจะออกไปในวันนั้น อีกทั้งเธอยังต้องซักผ้าและผ้าห่มมากมายที่กองเป็นภูเขาอีกต่างหาก สองวันที่ผ่านนี้เธอเหนื่อยสายตัวแทบขาดเลยจริง ๆ

 

“เหล่าเซี่ยให้เงินแกมาเท่าไหร่ล่ะ ? ” เช่าหวารู้ว่าพรุ่งนี้จางฉุ้ยเหลียนจะเปิดเรียนแล้ว หล่อนจึงถามจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังล้างจานอยู่ในครัวออกไป

 

“แม่ถามทำไม ” จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็ถามแม่ของเธอออกไปอย่างไม่สบอารมณ์

 

“ไม่มีอะไร ก็แค่ถาม ถ้าแกได้เงินมาเยอะ แกก็เอามาให้ฉันบ้าง เพราะตอนนี้ฉันไม่มีเงินแล้ว” เช่าหวาขี้เกียจที่จะพูดโกหก หล่อนจึงพูดออกไปราวกับว่ามันเป็นเรื่องปกติอย่างไรอย่างนั้น

“แม่ก็รับจ้างปะติดกล่องลังไม่ใช่หรือแล้วตอนนั้นก่อนที่หนูจะไปที่บ้านตระกูลเซี่ย หนูก็เอาเงินให้แม่แล้วด้วยหนูมีเงินอยู่ในกระเป๋าตอนนี้ 50 หยวน ถ้าแม่คิดว่าแม่ใช้เดือนละ 10 หยวนพอ หนูก็จะให้แม่ ”จางฉุ้ยเหลียนนั่งลง จากนั้นเธอก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

 

“50 หยวน ? ทำไมบ้านตระกูลเซี่ยถึงได้ขี้งกขนาดนี้ล่ะ ทำไมเขาไม่ให้แกมาสัก 150 หยวน” เช่าหวาเบิกตากว้าง จากนั้นหล่อนก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา

 

“ฉันเห็นเสื้อผ้าสวย ๆ ในกระเป๋าแกหลายชุดเลย ตงลี่หวาเป็นคนซื้อให้แกอย่างนั้นหรือ ” เช่าหวาถือโอกาสตอนที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังทำงานบ้าน รื้อค้นกระเป๋าของเธอออกมาดู

 

หล่อนหาเงินไม่เจอเลยแม้แต่หยวนเดียว ในกระเป๋าของจางฉุ้ยเหลียนมีเพียงแค่เสื้อผ้า 2 ชุดเพียงเท่านั้น

 

“เสื้อไหมพรมนี่ แกไปซื้อมาจากไหน” จางฉุ้ยเหลียนหันหน้าไปมองแม่ของตัวเองที่กำลังรื้อกระเป๋าของเธออยู่ จากนั้นเธอก็ถามออกไปว่า “แม่ แม่รื้อกระเป๋าของหนูทำไม

 

เช่าหวาหวาไม่ยอมตอบคำถามของจางฉุ้ยเหลียน แต่หล่อนกลับพูดออกไปว่า “ฉันเห็นว่าแกมีเสื้อไหมพรมตั้ง 2 ตัว แกก็เอาสีดำให้ฉันแล้วกัน แล้วแกก็ใช้ตัวสีแดงไป

 

เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ จางฉุ้ยเหลียนก็พูดปฏิเสธออกไปตรง ๆ ว่า “ไม่ได้ ถ้าแม่ชอบ เดี๋ยวหนูถักให้แม่ใหม่”

 

เช่าหวาขมวดคิ้วด้วยความสงสัยในทันที “แกให้เสื้อไหมพรมแม่แกไม่ได้เลยรึไง แกใส่แค่ตัวเดียวก็เกินพอแล้ว”

 

จางฉุ้ยเหลียนชี้ไปทางเสื้อที่เช่าหวากำลังใส่อยู่ จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “เสื้อที่แม่ใส่อยู่ตอนนี้มันก็เป็นเสื้อใหม่ไม่ใช่หรือ ?  แม่ก็เว้นเสื้อไหมพรมที่คนอื่นถักให้หนูไปสักตัวเถอะ ? ”

 

เช่าหวาพูดออกมาอย่างไร้เหตุผลว่า  “เสื้อไหมพรมสีดำตัวนี้มันก็เป็นเสื้อเก่าของแกตั้งแต่ปีที่แล้วไม่ใช่หรือ ฉันก็ไม่ได้ต้องการเสื้อไหมพรมสีแดงตัวใหม่ของแกสักหน่อย แกก็เอาเสื้อตัวเก่าของแกมาให้ฉันไม่ได้รึไงล่ะ ? พรุ่งนี้แกก็ต้องกลับไปที่วิทยาลัยแล้ว แกจะถักเสื้อให้ฉันทันได้ยังไง ? ”

 

พอพูดจบเช่าหวาก็พูดอย่างไม่ใส่ใจต่อไปอีกว่า “ถ้าแกไม่ให้เสื้อไหมพรมนี่กับฉัน แกก็เอาเงินไปซื้อไหมพรมมาให้ฉันสัก 5 หยวนสิ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ จางฉุ้ยเหลียนจึงทำได้แค่โบกไม้โบกมือไปมาอย่างจนปัญญา “งั้นแม่ก็เอาเสื้อตัวนี้ไปเถอะค่ะ” 

 

เช่าหวายิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ :  “ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่าแกต้องให้ฉัน   ฮ่า ฮ่า งั้นฉันเอาเสื้อไปลองหน่อยดีกว่า”

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าถึงอย่างไรนิสัยของเช่าหวาก็ไม่มีวันเปลี่ยนได้ เธอจึงทำได้เพียงแค่ทำใจ และก้มหน้าก้มตาทำงานบ้านต่อไปเพียงเท่านั้น วันรุ่งขึ้น จางฉุ้ยเหลียนก็เดินออกจากบ้านตระกูลจางไปอย่างเงียบ ๆ

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเดินทางมาถึงวิทยาลัย  เพื่อนหลาย ๆ คนต่างก็เข้ามาทักทายเธออย่างร่าเริงแจ่มใส  ดูเหมือนว่าการที่ไม่ได้เจอกันนานในช่วงปิดเทอมฤดูหนาวที่ผ่านมานี้ มันก็ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกหน้ากันไม่น้อยเลยทีเดียว

 

เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในห้องพัก ติงหลงหลงก็ตรงเข้าไปลากตัวของจางฉุ้ยเหลียนด้วยท่าทางมีพิรุธทันที  “คุณน้าของฉันเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ เธอเอาของฝากมาให้ฉันด้วย แต่ฉันคิดว่าของฝากนี้มันน่าจะเหมาะกับเธอมากกว่าน่ะ”

 

เมื่อพูดจบติงหลงหลงก็มองไปทางเพื่อนร่วมห้องคนสุดท้ายที่กำลังเดินถือกล่องข้าวออกไปจากห้อง และตอนนี้ทั้งห้องก็เหลือเพียงติงหลงหลงและจางฉุ้ยเหลียนสองคนเพียงเท่านั้น

 

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องแล้ว ติงหลงหลงจึงล้วงมือเข้าไปหยิบชุดชั้นในสีขาวตัวหนึ่งออกมาจากกระเป๋าของหล่อน เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นเธอก็เบิกตาโตขึ้นมาในทันที : นี่มันชุดชั้นในไม่ใช่หรือ ในอีก 5 ปีข้างหน้าชุดชั้นในถึงจะเป็นที่นิยม น้าของติงหลงหลงนี่ช่างล้ำสมัยเสียจริง

 

“หน้าอกของเธอใหญ่กว่าฉัน ฉันใส่ไม่ได้หรอก ฉันได้ยินมาว่าคนในเมืองหลวงเขานิยมใส่กัน ผู้หญิงเมืองนอกก็ใช้ชุดชั้นในแบบนี้ด้วยเหมือนกันนะ แต่ก็ช่างเถอะ ถ้าเธอคิดว่ามันผิดต่อศีลธรรมล่ะก็........”

 

ยังไม่ทันที่ติงหลงหลงจะพูดจบ จางฉุ้ยเหลียนก็ดึงมาจากมือของหล่อนทันที จากนั้นเธอก็พูดออกไปว่า “ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นเสียหน่อย  ฉันกำลังอยากได้เจ้าสิ่งนี้อยู่พอดีเลย” ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะอายุแค่ 19 ปี แต่เธอก็ต้องใช้สิ่งนี้เพื่อปกปิดร่างกายเช่นเดียวกัน

 

“นึกไม่ถึงเลยนะเนี่ยว่าเธอจะล้ำสมัยแบบนี้” จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปอย่างยิ้ม ๆ

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ติงหลงหลงจึงคลี่ยิ้มออกมา และพูดว่า  “งานอดิเรกของเธอคือการเขียนนิยาย แล้วฉันจะมีงานอดิเรกบ้างไม่ได้รึไง”

 

ทั้งสองคนต่างก็มองหน้ากัน ก่อนจะพากันหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข แต่ทันใดนั้น จู่ ๆ ติงหลงหลงก็แสดงสีหน้าจริงออกมา “ฉันคิดว่าฉันจะไปเรียนต่อต่างประเทศ เธอคิดว่ายังไง

 

เมื่อได้ยินคำถามของติงหลงหลง จางฉุ้ยเหลียนนิ่งอึ้งไปทันที ติงหลงหลงจึงได้พูดต่อว่า  “ฉันอยากไปเรียนแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศจริง ๆ  แต่พ่อของฉันเขาหัวโบราณเกินไป เขาบอกว่าฉันเป็นเด็กหัวนอก นิยมชมชอบแต่ของฝรั่ง และเขาก็คิดเสมอว่าดอกไม้บ้านไม่มีทางหอมไปกว่าดอกไม้ป่าอย่างแน่นอน แต่ที่ฉันอยากไปเรียนที่ต่างประเทศ มันก็ไม่ใช่เพราะเรื่องพวกนี้เสียหน่อย”

 

จางฉุ้ยเหลียนจึงถามออกไปด้วยเสียงเบา ๆ ว่า  “แล้วเธออยากเรียนอะไรล่ะ ถ้าเธอไม่อยากเรียนครู แล้วเธอจะเข้ามาเรียนในวิทยาลัยครูแห่งนี้ทำไมกัน ? ”

 

ติงหลงหลงแบะปาก ก่อนจะพูดออกไปว่า “ก็เพราะคุณตาของฉันบังคับให้ฉันเลือกระหว่างจะเป็นครูหรือเป็นทหารน่ะสิ แต่ถึงอย่างนั้น ฉันก็จะไม่ยอมแพ้หรอกนะ ยิ่งฉันได้อ่านบทความที่ได้ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ของเธอแล้ว ฉันก็รู้สึกว่าชีวิตของคนเรานั้นมันสั้นมากจริง ๆ แล้วทำไมฉันถึงไม่ลองสู้เพื่อตัวเองดูสักครั้งล่ะ

 

“ความจริงแล้วฉันอยากจะไปเรียนที่อเมริกา เพราะฉันอยากจะเรียนสาขาที่เกี่ยวกับการสร้างภาพยนต์น่ะ” คำพูดของติงหลงหลงสร้างความตกใจให้กับจางฉุ้ยเหลียนไม่น้อยเลยทีเดียว หลังจากที่เธอได้กลับชาติมาเกิดในครั้งนี้ นี่ก็ถือว่าเป็นครั้งแรกเลยที่เธอได้เจอกับคนที่มีความคิดยอดเยี่ยมแบบนี้ อีกทั้งยังเป็นคนที่มีฝีมือในด้านศิลปะอีกด้วย

 

เมื่อเห็นท่าทางตกใจของจางฉุ้ยเหลียน ติงหลงหลงก็คลี่ยิ้มออกมาด้วยความลำบากใจในทันที  “  แต่พ่อของฉันไม่เห็นด้วยน่ะสิ  ทุกคนในบ้านไม่มีใครเข้าใจฉันเลยสักคน และการที่คุณน้าของฉันกลับมาที่บ้านในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะมาช่วยพูดโน้มน้าวทุกคนในบ้านให้กับฉัน แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนในบ้านยอมให้ฉันไปเรียนต่อเมืองนอกรึเปล่า

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกศรัทธาในตัวติงหลงหลงมากทีเดียว จริง ๆ แล้วในยุคสมัยนี้ ความคิดของผู้คนส่วนใหญ่ต่างก็มีข้อจำกัดอยู่ที่กินอิ่มนอนหลับ มีเงินพอใช้ไปวัน ๆ เพียงเท่านั้น คนทั่วไปต่างก็คิดว่าลูกของตัวเองนั้นจะต้องได้เป็นหมอ เป็นคุณครู มีงานที่มั่นคงทำก็ถือว่าเก่งมากแล้ว

 

จากนั้นก็ดำเนินชีวิตไปตามอายุ แต่งงานมีลูก และปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินต่อไปตามธรรมชาติของมัน ก็เหมือนกับคนในยุคสมัยก่อน ทุกคนต่างก็เป็นเพียงแค่คนธรรมดาเพียงเท่านั้น

 

ตั้งแต่ปี 2000 เป็นต้นมา ผู้คนที่ต้องการจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยศิลปะ หรือมหาวิทยาลัยจำพวกการแสดงละครหรือภาพยนต์ก็มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เด็ก ๆ ที่มีหน้าตาสะสวยแทบจะทุกบ้านต่างก็ถูกส่งไปเรียนพิเศษเกี่ยวกับการแสดงละครกันทั้งนั้น

 

แต่ติงหลงหลงที่ยังอยู่ในยุคสมัยที่ผู้คนต่างก็ถูกตีกรอบทางความคิด แต่หล่อนกลับคิดเรื่องนี้ได้  หล่อนเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไหลกว่าคนทั่วไปมากจริง ๆ ถึงแม้ว่าตอนนี้หล่อนจะไม่รู้ว่าในอนาคตบนโลกนี้จะมีผู้กำกับหญิงที่มีฝีมือเก่งกาจในประวัติศาสตร์วงการภาพยนต์ของจีน หล่อนก็ยังกล้าที่จะลองทำสิ่งที่แปลกใหม่ จางฉุ้ยเหลัยนรู้สึกนับถือหล่อนมากจริง ๆ

 

“ฉันจะคอยสนับสนุนเธออย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันจะช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย”  จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกหมดกำลังใจ แม้แต่ความรู้ในด้านศิลปะเล็ก ๆ น้อย เธอก็ไม่มีเลยสักนิด

 

ติงหลงหลงคลี่ยิ้มและพูดขึ้นว่า “เธอก็เก่งมากแล้วล่ะ ความแน่วแน่และความเพียรพยายามของเธอมีผลกับฉันมากเลยทีเดียว หลังจากนี้ไม่ว่าจะมีกิจกรรมอะไรเกิดขึ้นในรั้ววิทยาลัยแห่งนี้ เราก็จะคอยสนับสนุนกันและกันแบบนี้ตลอดไปนะ

 

การเปิดเทอมในครั้งนี้ มีนักศึกษาหลายคนต่างก็ไปปรึกษากับอาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเองมากขึ้น เพราะพวกเธอนั้นหวังว่าพวกเธอจะสามารถทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียนได้บ้าง ท่านอธิการบดีเห็นว่าบทความที่จางฉุ้ยเหลียนเขียนสร้างเงินให้กับเธอไม่น้อยเลย เขาจึงได้แนะนำให้นักศึกษาหลาย ๆ คนให้ไปปรึกษากับจางฉุ้ยเหลียน เพื่อหวังว่าการเปิดเทอมในครั้งนี้จะเป็นการมอบโอกาสที่ดีให้กับนักศึกษาคนอื่นบ้าง

 

แน่นอนว่าจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้ให้ความคิดเห็นอะไรกับพวกหล่อนได้มากนัก เพราะถนนทุกสายต่างก็มุ่งสู่กรุงโรม มีหลากหลายวิธีการที่ให้ผลลัพธ์อย่างเดียวกัน ตราบใดที่เธอยังคิดวิธีการแบบนี้ได้ เธอเองก็มั่นใจว่าพวกนักศึกษาเหล่านั้นก็จะหาวิธีการของตัวเองได้อย่างแน่นอน

 

ในเมื่อตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ต้องไปทำงานพิเศษที่โรงอาหารของวิทยาลัยแล้ว เธอจึงได้แต่งตัวตามสไตล์ตะวันตกมากขึ้น เพื่อน ๆ ผู้หญิงในหอพักต่างก็พากันเลียนแบบการแต่งตัวของจางฉุ้ยเหลียนกันเป็นจำนวนมาก พวกหล่อนจึงซื้อไหมพรมและเข็มถักมา จากนั้นพวกหล่อนก็เริ่มถักไหมพรมกันมากขึ้น

 

แต่พวกหล่อนก็ทำได้เพียงแค่เรียนรู้เอาจากหนังสือสอนถักไหมพรม ที่มีตัวอักษรตายตัว และไม่สามารถสร้างจินตนาการของตัวเองได้เพียงเท่านั้น ในตอนนั้นเอง จู่ ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็มีความคิดดี ๆ แวบเข้ามาในหัว เธอคิดว่าเธอสามารถถักเสื้อไหมพรมด้วยรูปแบบที่ทันสมัยและสวยงามจากในความทรงจำของเธอไปขายให้กับร้านค้าในตลาดได้

 

ยิ่งจางฉุ้ยเหลียนคิดได้เท่าไหร่เธอก็ยิ่งฮึกเหิมมากขึ้นเท่านั้น ดูเหมือนว่าเธอจะเจอขุมสมบัติแห่งที่สองเข้าแล้ว เธอได้บอกกล่าวความคิดนี้ให้กับติงหลงหลงได้ฟัง  อีกฝ่ายจึงพยักหน้าเป็นการเห็นด้วย และพูดออกไปว่า “ความคิดนี้ก็ไม่เลวเลย เธอเอาเสื้อไหมพรมที่เธอถักไปฝากขายให้คุณป้าของฉันก็ได้นะ เพราะคุณป้าของฉันเปิดร้านขายเสื้อผ้าอยู่ในห้างสรรพสินค้า ถ้าเธอถักเสื้อไหมพรมเสร็จแล้ว เธอก็เอาไปฝากให้คุณป้าของฉันขายให้ ถ้ามีคนซื้อก็ขาย ฉันไม่ยอมให้หล่อนได้กำไรจากเธอฝ่ายเดียวอย่างแน่นอน

 

จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มและพูดขึ้นว่า “เธอไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอก แค่มีร้านให้ฉันได้พัฒนาฝีมือของตัวเองก็พอแล้วล่ะ

 

การถักเสื้อไหมพรมนั้น ไม่สามารถถักให้เสร็จภายในวันเดียวได้ จางฉุ้ยเหลียนจึงเริ่มต้นด้วยการลองถักเสื้อไหมพรมแบบที่เธอเคยถักมาก่อนหน้านี้ 2 ตัว ตัวแรกเป็นเสื้อไหมพรมคอปกสีขาว ตัวที่สองเป็นเสื้อไหมพรมคอตุ๊กตาสีแดง

 

ในปี ค.ศ. 1980  กางเกงยีนส์เริ่มเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลาย อีกทั้งมันยังทนทานทั้งสวยและทันสมัย จางฉุ้ยเหลียนเพิ่งค้นพบว่าหนุ่มสาววัยรุ่นที่ค่อนข้างจะทันสมัยและชอบแต่งตัวตามสไตล์โมเดิลนิยมมักจะชอบสวมใส่กางเกงยีนส์กันทั้งนั้น

 

เธอกับติงหลงหลงนำการกางเกงยีนส์ที่ขาดแล้วมาตัวหนึ่ง จากนั้นเธอก็ใช้กรรไกรตัดส่วนที่ขาดออกไป และเหลือส่วนที่สภาพดีไว้ จากนั้นก็นำมาเย็บติดกับเสื้อไหมพรม เพื่อให้มันเป็นเสื้อสองชั้นแบบหลอก ๆ

 

ติงหลงหลงจ้องเขม็งไปทางเสื้อไหมพรมของจางฉุ้ยเหลียนตอนนี้ ที่มันกลายเป็นเสื้อไหมพรมที่ทั้งสวยและทันสมัย จนตาของหล่อนแทบจะถลนออกมาเลยทีเดียว

 

เสื้อไหมพรมตัวนี้สวยมากจริง ๆ จางฉุ้ยเหลียนถักได้ละเอียดมาก แขนเสื้อทั้งสองข้างเธอก็ใช้เป็นด้ายไหมพรมสีแดง ส่วนลำตัวเธอใช้ด้ายไหมพรมสีขาว บริเวณเอวด้านหน้าก็ถักเป็นรูปแมวตัวน้อย ส่วนแขนเสื้อจางฉุ้ยเหลียนก็นำผ้ายีนส์มาเย็บติดไว้ ตอนที่พับแขนเสื้อขึ้น ก็จะทำให้เห็นส่วนยีนส์ที่อยู่ด้านในได้อย่างชัดเจน

 

คนที่ไม่รู้อาจจะคิดว่าคนที่กำลังใส่เสื้อตัวนี้อยู่ อาจจะสวมเสื้อยีนส์ไว้ด้านในอีกตัวก็ได้ แต่ความจริงแล้วมันเป็นเสื้อยีนส์แบบหลอก ๆ ต่างหาก 

 

ถ้าจางฉุ้ยเหลียนถักเสื้อไหมพรมรูปแบบพิเศษแบบนี้ล่ะก็ อาจจะได้กลายเป็นขุมทรัพย์ของทางร้านเลยก็ได้

 

ติงหลงหลงพาจางฉุ้ยเหลียนไปที่ห้างสรรพสินค้า และเดินตรงไปยังร้านที่มีป้ายชื่อติดที่หน้าร้านว่า ติงเขอ  และเจ้าของร้านเสื้อผ้าแห่งนี้ก็ชื่อตรงกับป้ายหน้าร้านเช่นเดียวกัน ติงเขอนั้นก็ถือได้ว่าเป็นคนที่เห็นโลกมามากคนหนึ่งเลย เมื่อเห็นเสื้อไหมพรมทั้ง 3 ตัวที่หลานสาวเอามาให้หล่อนดู หล่อนก็อดที่จะเอ่ยปากชื่นชมออกมาไม่ได้  “สวยมาก รูปแบบก็ประณีตงดงามมากด้วย

 

“คุณป้าคะ คุณป้าคิดว่าเสื้อไหมพรมตัวนี้จะขายราคาเท่าไหร่ดีคะ ? ” ติงเขอมองดูวัสดุต่าง ๆ ที่นำมาทำเสื้อไหมพรมตัวนี้ ด้ายไหมพรมได้ถูกเย็บอย่างประณีต วัสดุในการทำปกเสื้อ แขนเสื้อก็ไม่เลว ฝีมือยอดเยี่ยมมากทีเดียว

 

“ด้ายไหมพรมธรรมดา ๆ ของเธอมันเทียบไม่ได้กับเสื้อขนแกะหรอกนะ  แต่ชุดของเธอกินขาดในเรื่องของความสวย เท่าที่ฉันดู ตั้งราคาขายสัก 80 หยวนก็น่าจะขายได้นะ” 80 หยวน เป็นราคาที่เหนือความคาดหมายของจางฉุ้ยเหลียนมากจริง ๆ

 

ในยุคสมัยใหม่เมื่อชาติที่แล้ว จางฉุ้ยเหลียนมักจะเห็นเสื้อไหมพรมแบบนี้ขายในอินเตอร์เน็ตแค่ตัวละ 40-50 หยวนเท่านั้น เมื่อได้ยินราคาที่ป้าของติงหลงหลงกล่าวมา มันจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

เพียงแต่ว่าตอนนี้เธอไม่มีมีเครื่องจักร อีกทั้งการตัดเย็บก็ยังยากลำบาก ก็เหมือกับที่ติงเขอพูด เสื้อของเธอนั้นทำมาจากด้ายไหมพรมธรรมดา ๆ แต่ขายได้เพราะรูปแบบที่สวยงามของมันเท่านั้น

 

เมื่อครุ่นคิดอยู่พักใหญ่  ติงหลงหลงก็หัวเราะและพูดออกมาว่า “ถึงคุณป้าจะพูดแบบนี้  แต่หนูก็ดีใจมากแล้วล่ะค่ะ ถ้าคุณป้าสามารถขายออกไปได้ในราคา 80 หยวน หนูขอแค่ 50 หยวนก็พอแล้วค่ะ”

 

ความหมายที่ติงหลงหลงต้องการจะสื่อก็คือ ป้าของหล่อนจะขายเสื้อได้กี่ตัวก็ได้ แต่ถ้าขายได้ หล่อนก็ต้องได้ตัวละ 50 หยวน นี่ถือว่าเป็นการลงทุนร่วมกัน

 

เมื่อได้ยินคำพูดของหลานสาว ติงเขอก็พูดออกมาอย่างมีไหวพริบว่า “แต่ว่าเรื่องความสวยมันก็ส่วนเรื่องความสวยนะ  ป้าไม่ขอรับประกันหรอกนะว่ามันจะขายออกรึเปล่า และก็ไม่รู้ด้วยว่าจะขายได้ตอนไหน ตอนนี้ป้าก็ยังให้เงินกับเธอไม่ได้ 

 

จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ“เรื่องนี้หนูเข้าใจดีค่ะ หนูฝากให้คุณป้าขายเสื้อไหมพรม 3 ตัวนี้ให้หนูด้วยนะคะ ถ้าคุณป้าขายได้ตอนไหน คุณป้าก็ฝากเงินติงหลงหลงมาให้หนูก็ได้ค่ะ

 

ติงเขอไม่ค่อยได้เจอคนที่ใจกว้างเช่นนี้มาก่อน   หล่อนครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ  น่าเสียดายการถักเสื้อของเด็กคนนี้จริง ๆ ถ้าได้ขายออกไปสู่ท้องตลาดล่ะก็ เสื้อผ้าของเธอจะต้องขายดีอย่างแน่นอน และถ้าหล่อนดึงตัวเด็กสาวคนนี้มาทำงานกับหล่อนได้  หล่อนก็จะได้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์รูปแบบเสื้อผ้าของจางฉุ้ยเหลียนแต่เพียงผู้เดียว

 

นึกไม่ถึงเลยว่าผ่านไปไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ จะมีลูกค้าประจำของทางร้านเรียกร้องอยากจะได้เสื้อไหมพรมของจางฉุ้ยเหลียนอีก ติงเขอจึงต้องรีบแจ้งลูกค้าเหล่านั้นออกไปว่าสินค้านั้นได้หมดสต็อกแล้ว เมื่อหล่อนกลับมาคิดดูแล้ว หล่อนก็คิดว่าหล่อนจะให้โอกาสแก่จางฉุ้ยเหลียนในการหาเงินอีกครั้ง

 

 

รีวิวผู้อ่าน