px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 47 ความสับสนวุ่นวาย


ตอนที่ 47 ความสับสนวุ่นวาย

 

“ไม่ว่าพุงจะใหญ่แค่ไหน ก็ต้องใส่กางเกงเลกกิ้ง” เมื่อถึงวันปีใหม่ สาว ๆ ส่วนใหญ่ต่างก็พากันใส่กางเกงเลกกิ้งกันทั้งนั้น เพราะตอนนี้กางเกงเลกกิ้งกำลังเป็นที่นิยม แต่เมื่อเวลาผ่านไปกางเกงเลกกิ้งก็เริ่มล้าสมัยบวกกับอากาศที่หนาวเย็นสาว ๆ พวกนั้นก็หันมาใส่กางเกงไหมพรมกันแล้ว

 

คนที่มีพุงหรือคนที่มีรูปร่างดีต่างก็มองออกได้อย่างชัดเจน จากการที่พวกเธอใส่กางเกงเลกกิ้ง ในเวลานี้ตงลี่หวาก็กำลังเดินทางไปเยี่ยมครอบครัวของหล่อน เมื่อหล่อนเห็นบรรดาเด็กสาวที่อยู่ในหมู่บ้าน หล่อนก็รู้สึกภูมิใจเป็นอย่างมาก เพราะเด็กสาวเหล่านี้ไม่มีใครสวยเทียบเท่าจางฉุ้ยเหลียนได้เลยสักคน หล่อนมัวแต่คิดถึงแต่ความสวยของลูกสาว จนหล่อนเองก็ลืมไปว่า ตั้งแต่ที่จางฉุ้ยเหลียนกลับมาที่บ้าน หล่อนก็สวยขึ้นมากเช่นกัน 

 

พี่ใหญ่ของตงลี่หวาได้โทรมาหาหล่อนเมื่อวานนี้ว่าวันนี้ให้หล่อนมาไหว้สุสานบรรพบุรุษที่บ้านด้วยกัน  และตอนนี้ก็ไม่มีรถประจำทางสายที่จะเดินทางไปเมืองตงฟางหงแล้ว ดังนั้นเซี่ยจวินจึงไปยืมรถสามล้อมาจากเพื่อนบ้าน เพื่อที่จะขับพาจางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวากลับไปที่บ้านของหล่อน ตอนนี้ทุกคนก็พร้อมออกเดินทางแล้ว เซี่ยจวินเป็นคนขับ ส่วนตงลี่หวาและจางฉุ้ยเหลียนก็นั่งอยู่ด้านหลังพร้อมกับห่มผ้าห่มผืนใหญ่

 

บ้านของตงลี่หวานั้นอยู่ที่เมืองตงฟางหง ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากเมืองที่เซี่ยจวินและตงลี่หวาอยู่ตอนนี้เท่าไหร่นัก พวกเขาออกเดินทางกันตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง และพวกเขาก็มาถึงจุดหมายปลายทางกันในเวลาประมาณ 08.00 น.

 

ตอนนี้ญาติพี่น้องของตงลี่หวาก็ยังไม่มีใครเดินทางไปที่สุสานบรรพบุรุษ เพราะพวกเขาต่างก็รอตงลี่หวา เพื่อที่จะได้ออกเดินทางไปพร้อมกัน เมื่อเห็นว่าทั้งสามคนมากันแล้ว พวกเขาจึงเริ่มออกเดินทางไปที่สุสานบรรพบุรุษตระกูลตงทันที

 

เมื่อไหว้บรรพบุรุษเสร็จ ทุกคนก็พากันมานั่งรับประทานอาหารกันที่บ้านของตงเต๋อเซิง  และบ้านที่ตงเต๋อซิงอาศัยอยู่ในขณะนี้ก็คือบ้านเก่าของตระกูลตงนั่นเอง ซึ่งจางฉุ้ยเหลียนก็เคยมีความทรงจำเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ด้วยเช่นกัน

 

“ไอ้หยา พี่สามดูสวยขึ้นมากเลยจริง ๆ ส่วนฉุ้ยเหลียนก็ดูสวยแพ้กัน สมแล้วที่เป็นเด็กในเมือง” คนที่กำลังพูดอยู่ในขณะนี้ก็คือน้องสะใภ้ของตงลี่หวา หล่อนมีชื่อว่าซุนเอ้อ

 

“ซุนเอ้อก็พูดชมกันเกินไป ฉลองปีใหม่ทั้งทีใครจะไม่อยากใส่เสื้อดี ๆ บ้างล่ะ แล้วอีกอย่างเสื้อตัวนี้มันก็เป็นแค่เสื้อไหมพรมถักเองธรรมดา ๆ ไม่ได้มีมูลค่าอะไรมากหรอก” เสื้อไหมพรมที่ตงลี่หวาใส่อยู่ในขณะนี้ มันเป็นเพียงเสื้อไหมพรมคอวีธรรมดา ๆ ไม่ได้พิเศษอะไรมากมาย จะมีก็แต่ลายจุดสีแดงอมน้ำตาล สีเขียว และสีฟ้าบนเสื้อเท่านั้นที่เป็นการตกแต่งให้เสื้อดูสวยขึ้น

 

ถึงแม้ว่าตงลี่หวาจะแต่งตัวเรียบง่าย แต่หล่อนก็ดูโดดเด่นออกมาจากกลุ่มหญิงสาวที่มีรูปร่างอ้วน ตัวใหญ่ อีกทั้งยังหน้าตาไม่ดีมากเลยทีเดียว บวกกับกางเกงที่จางฉุ้ยเหลียนได้ทำการปรับเปลี่ยนแก้ไขให้กับหล่อนด้วยแล้ว มันก็ทำให้รูปร่างของหล่อนที่ดูดีอยู่แล้วยิ่งดูดีมากขึ้นไปอีก

 

และวันนี้ตงลี่หวาก็ได้รู้ว่า ถ้าวันนี้หล่อนแต่งตัวมาไม่ดี เหล่าบรรดาญาติ ๆ ของหล่อนจะต้องดูถูกหล่อนอย่างแน่นอน ดังนั้นวันนี้หล่อนจึงได้แต่งตัวอย่างดูดีเพื่อให้เหล่าบรรดารู้สึกอิจฉาตาร้อนในความสวยของหล่อน

 

ส่วนผมของตงลี่หวา จางฉุ้ยเหลียนก็เป็นคนถักเปียให้กับหล่อน และมันก็เป็นการถักเปียแบบธรรมดา ๆ ทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อมันรวมเข้ากับผมหน้าม้าของหล่อน มันก็ยิ่งทำให้ใบหน้าของหล่อนนั้นดูงดงามและมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น

 

ในตอนนี้เหล่าบรรดาญาติพี่น้องที่เป็นผู้หญิงต่างก็เริ่มสนใจวิธีการถักเปียผมของจางฉุ้ยเหลียนเป็นอย่างมาก อีกทั้งพวกหล่อนยังสนใจเสื้อไหมผมที่จางฉุ้ยเหลียนเป็นคนถักเองอีกด้วย นั่นจึงทำให้ไม่มีใครยอมร่วมมือกับตงลี่เจวียนกลั่นแกล้งให้ตงลี่หวาเสียหน้าเลยสักคน

 

ตงลี่เจวียนได้แต่จ้องมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังถือหวีและถักเปียผมด้วยความรู้สึกคับแค้นใจ สุดท้ายหล่อนก็อดที่จะพูดถากถางอีกฝ่ายออกไปไม่ได้ว่า “ฉุ้ยเหลียนจะเรียนครูทำไม ? เธอน่าจะไปเรียนเป็นช่างทำผมมากกว่านะ อีกอย่างตงลี่หวา เธอจะเสียเงินค่าเทอมมากมายพวกนั้นไปทำไมกัน ถ้าลูกสาวของเธอจะมาทำเรื่องไร้สาระแบบนี้ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ใส่ใจกับคำพูดของตงลี่เจวียนเลยแม้แต่น้อย เธอยังคงถือหวีและถักเปียผมต่อไปด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะพูดขึ้นว่า  “คุณป้าคะ อย่าเพิ่งร้อนใจสิคะ เดี๋ยวหนูไปทำผมให้นะคะ

 

เมื่อเห็นดังนั้น ตงลี่เจวียนก็ตะคอกออกมาเสียงดังว่า “ฉันไม่ต้องการ ทำไมฉันจะต้องทำผมด้วยล่ะ มีแต่คนที่สติไม่ดีเท่านั้นแหละที่จะทำผม

 

ประโยคที่ตงลี่เจวียนด่าออกมา หล่อนไม่เพียงแค่ด่าจางฉุ้ยเหลียนแล้วเท่านั้น หล่อนยังด่าเหมารวมออกไปถึงเหล่าบรรดาญาติ ๆ ที่สนใจการทำผมของจางฉุ้ยเหลียนด้วย เมื่อได้ยินดังนั้น เหล่าบรรดาสะใภ้ของตระกูลตงต่างก็พากันแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาเช่นกัน จากนั้นก็มีคนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ และคนที่พูดออกมานั่นก็คือ ตงลี่น่า หล่อนเป็นลูกคนที่สองของตระกูลตง อีกทั้งยังเป็นสาวสุดมั่น เมื่อได้ยินคำพูดของพี่สาว หล่อนจึงเอ่ยปากถามออกไปว่า “พี่ใหญ่ พี่ว่าใครไม่ทราบ ? ”

 

ตงลี่เจวียนแบะปาก จากนั้นก็พูดออกไปว่า “ใครที่หลงตัวเอง ฉันก็ว่าให้คนนั้นนั่นแหละ

 

“ทำไมหรือคะ บ้านใครที่อยากกินกระดูกหมูก็ถูกหาว่าเป็นทุนนิยมอย่างนั้นหรือ ? หรือว่าบ้านใครที่ใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ก็จะถูกหาว่าเป็นเศรษฐีเงินถังอย่างนั้นสิ ? งั้นเจ้าสาวที่แต่งงานก็ไม่ต้องถ่ายรูป และปล่อยผมยาวสยายออกจากบ้านโดยที่ไม่ต้องทำผมก็ได้อย่างนั้นหรือ” คำถามของตงลี่น่าทำให้ตงลี่เจวียนเสียรู้สึกหน้าไม่น้อย

 

“เหอะ ตอนนี้เราก็รู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือว่าบ้านใครฐานะเป็นยังไง น้องสอง เธอก็ลองไปประจบประแจงน้องสามดูสิ ดูสิว่าถ้าบ้านเธอมีปัญหา น้องสามจะให้เธอยืมเงินไหม ” ตงลี่เจวียนพูดออกไปด้วยความโกรธ และคำพูดของหล่อนก็ถือว่าเป็นการยุยงให้พี่น้องแตกคอกันได้ดีเลยทีเดียว

 

“พี่ใหญ่ เราเพิ่งไปไหว้สุสานบรรพบุรุษกันมา  พี่ควรจะมาพูดจาแบบนี้อย่างนั้นหรือแค่ฉันไม่ให้พี่ยืมเงิน พี่ถึงกับต้องมาด่าสาดเสียเทเสียกันแบบนี้เลยหรือ ? บ้านเราก็ไม่ได้มีเงินทองอะไรมากมาย แล้วเราต้องทุบหม้อขายเหล็กเพื่อช่วยคนอื่นด้วยอย่างนั้นหรือ ? ที่พี่พูดแบบนี้ พี่ต้องการอะไรกันแน่ แล้วอีกอย่างบ้านของฉันก็ไม่ได้ซ่อมแซมมานานแล้วด้วย ทำไมพี่ถึงไม่ช่วยฉันบ้างล่ะ” ตงลี่หวาจำเป็นต้องพูดกับพี่สาวของหล่อนให้รู้เรื่องในวันนี้ ถ้าหล่อนไม่พูดออกไปให้รู้เรื่องล่ะก็ พี่สาวของหล่อนก็ต้องเอาเรื่องของหล่อนไปพูดลับหลังอย่างแน่นอน

 

“เธออย่ามาพูดแก้ตัวหน่อยเลย ถึงเธอจะมานั่งบีบน้ำตามันก็ไม่มีประโยชน์หรอก” ตงลี่เจวียนยืนขึ้น จากนั้นหล่อนก็เล่าเรื่องที่หล่อนไม่ได้รับความเป็นธรรมจากน้องสาวของตัวเองออกมาให้ทุกคนฟัง

 

“เหล่าเซี่ยเปิดร้านซ่อมรถ แล้วเขาก็ยังขายอะไหล่รถยนต์อีกด้วย ในปี ๆ หนึ่งเขาหาเงินได้ตั้งเท่าไหร่ แค่เงินไม่กี่พัน เขาก็คงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมล่ะ และพวกเธอทั้งสองคนก็ไม่มีลูก แล้วก็ไม่ค่าใช้จ่ายอะไร แต่พวกเธอกลับบอกฉันว่าพวกเธอไม่มีเงินอย่างนั้นหรือ ? ”  ตงลี่เจวียนพูดออกมาราวกับว่าตัวเองเห็นสมุดบัญชีเงินฝากของคนอื่นอย่างไรอย่างนั้น น้ำเสียงของหล่อนที่พูดออกมานั้นมันไม่มีความรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย

 

“แล้วจางฉุ้ยเหลียนไม่ใช่ลูกของฉันรึไง ปีนี้เธอต้องเข้าเรียนวิทยาลัย มันก็ต้องใช้เงินไม่ใช่หรือถ้าเป็นครอบครัวของพี่ล่ะ ลูก ๆ ของพี่ต้องเรียนหนังสือ แล้วพี่ไม่มีเงิน พี่จะทำยังไง ? ” ตงลี่หวาตอกกลับ

 

เมื่อเห็นว่าพี่น้องกำลังทะเลาะกัน คนอื่น ๆ จึงเริ่มช่วยกันพูดโน้มน้าว

 

“เธอก็รู้อยู่แก่ใจว่าจางฉุ้ยเหลียน แซ่จาง ถึงแม้ว่าพวกเธอสองสามีภรรยาจะไม่มีสมอง แต่ก็ไม่น่าจะเอาลูกของคนอื่นมาเลี้ยงแบบนี้ ถ้าในอนาคตพวกเธอสองคนแก่ตัวไป เธอคิดว่าหล่อนจะยังมาดูแลเธออยู่ไหม ? เธอมีเงินแต่เธอไม่ยอมเอามาให้หลานชายของตัวเอง แต่เธอกลับเอาไปให้คนอื่น แล้วเธอยังมีหน้ามาไหว้สุสานบรรพบุรุษอีกอย่างนั้นหรือ ? ”

 

คำพูดของตงลี่เจวียน ไม่เพียงแต่ทำให้เซี่ยจวินทนฟังไม่ได้แล้วเท่านั้น เหล่าบรรดาญาติพี่น้องก็ทนฟังไม่ได้เช่นเดียวกัน เงินของเซี่ยจวิน เขาจะเอาให้ใครมันก็เรื่องของเขา แต่หล่อนกลับอยากได้เงินของพวกเขา มันเกินไปหน่อยรึเปล่า

 

“เงินของเรา เราให้ตระกูลเซี่ยได้ เราให้จางฉุ้ยเหลียนได้ แต่เราให้พี่ไม่ได้หรอก พี่อยากจะทำอะไรก็เชิญเลย ใครมีมโนธรรมหรือไม่มี สวรรค์รู้ พ่อกับแม่รู้ ไม่จำเป็นต้องให้พี่มาพูดด่าฉันแบบนี้หรอก” ตงลี่หวาพูดออกไปด้วยความโกรธเคือง

 

หลังจากที่พูดจบ ตงลี่หวาก็ตรงเข้าไปลากแขนของจางฉุ้ยเหลียนให้เดินออกไปจากบ้านในทันที จากนั้นหล่อนก็หันไปตะโกนใส่เซี่ยจวินว่า “กลับบ้านได้แล้ว ! จะอยู่อีกทำไม ? โดนด่าขนาดนี้ แล้วยังจะอยู่ที่นี่ต่ออีกอย่างนั้นหรือ ! ”

 

เมื่อเห็นว่าน้องสาวของตัวเองเดินออกไป ตงเต๋อเซิงก็รีบเดินตามไปรั้งหล่อนไว้ทันที ส่วนพวกผู้ชายก็เดินมาดึงแขนของเซี่ยจวินไว้ไม่ให้กลับ ส่วนพวกผู้หญิงก็เดินตามกันออกไปพูดโน้มน้าวให้ตงลี่หวาอยู่ต่อ

 

เมื่อตงลี่เจวียนเห็นว่าทุกคนต่างก็ทำเหมือนว่าหล่อนเป็นคนผิดอย่างไรอย่างนั้น ไฟในอกของหล่อนก็ยิ่งเดือดดาลมากขึ้นไปอีก หล่อนยกมือขึ้นมาชี้หน้าด่าทุกคน จากนั้นหล่อนก็พ่นคำด่าออกไปว่า พวกเขานั้นไม่มีมโนธรรมเอาเสียเลย และเอาแต่เลียแข้งเลียขาสองสามีภรรยาตระกลูเซี่ยอย่างโงหัวไม่ขึ้น

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินดังนั้น เธอก็ถึงกับอ้าปากตาค้างด้วยความตกใจเลยทีเดียว เธอคิดว่าถ้าเธอเอาประสบการณ์ครั้งนี้ไปเขียนนิยาย เธอคิดว่าผู้อ่านของเธอจะยอมรับมันได้ไหม หรือว่าพวกเขาจะรู้สึกเฉย ๆ กับนิยายของเธอ

 

“ฉุ้ยเหลียน  รีบพาแม่ของเธอกลับมาเดี๋ยวนี้  ปีหนึ่งเราก็ได้เจอกันแค่ครั้งเดียวเอง พวกเธอสองคนพี่น้องจะมาทะเลาะกันทำไม ” ภรรยาของตงเต๋อเซิงตะโกนบอกจางฉุ้ยเหลียนออกไปเสียงดัง

 

เมื่อเห็นดังนั้น ตงลี่เจวียนก็เดินเข้าไปกระชากแขนของจางฉุ้ยเหลียนทันที จากนั้นหล่อนก็เริ่มด่าออกไปด้วยถ้อยคำหยายคายว่า “แกเห็นแล้วใช่ไหม นังเด็กเหลือขอ สะใจแกแล้วรึยัง พ่อแม่ของแกเลี้ยงแกมายังไง ทำไมแกถึงได้เป็นคนแบบนี้ วันนั้นแกเป็นคงยุงยงให้คนอื่นเขาแตกคอกัน แล้ววันนี้แกก็ยังมายุยงให้เขาแตกคอกันอีกอย่างนั้นหรือ แกนี่มันไร้ยางอาย ไร้ยางอายมากเลยจริง ๆ “

 

จางฉุ้ยเหลียนนึกไม่ถึงเลยว่าการที่เธอไม่ได้พูดตอบโต้อะไรออกไป มันจะนำพาหายนะมาให้เธอแบบนี้ เมื่อได้ยินคำพูดของตงลี่เจวียน จางฉุ้ยเหลียนก็หมดคำพูดขึ้นมาในทันที เธอไม่คิดเลยว่าตงลี่เจวียนจะโง่ขนาดนี้ รู้ทั้งรู้ว่าตัวหล่อนเองนั่นแหละที่เป็นคนยุงยงให้คนอื่นเขาแตกคอกัน หล่อนยังกล้ามาพูดแบบนี้กับเธออีกอย่างนั้น น่าไม่อายจริง ๆ

 

“พี่จะทำอะไร จางฉุ้ยเหลียนก็ยังไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ พี่จะลงไม้ลงมือกับเธออีกอย่างนั้นหรือ ? ตงลี่เจวียน ถ้าวันนี้พี่กล้าลงไม้ลงมือกับลูกของฉัน ฉันกับพี่เราก็ขาดกัน พี่จะเป็นจะตายยังไง ก็ไม่ต้องติดต่อกันอีก  ”  เมื่อตงลี่หวาเห็นจางฉุ้ยเหลียนถูกกระชากลากถูโดยพี่สาวของหล่อน หล่อนจึงตะโกนออกไปด้วยความโกรธในทันที

 

ในเมื่อตงลี่หวาพูดออกมาแบบนี้แล้ว ขืนให้พวกเธอทั้งสองคนอยู่ต่อ มันจะต้องเกิดปัญหาขึ้นแน่ ๆ เมื่อไม่มีทางเลือก ตงเต๋อเซิงจึงทำได้แค่ปล่อยสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยให้กลับบ้านไป

 

เซี่ยจวินขับรถสามล้อพาสองแม่ลูกกลับมาที่บ้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ทางด้านตงเต๋อเซิง เขาเองก็มีสีหน้าที่ไม่ค่อยสู้ดีนัก เขารู้สึกว่าตัวเองทำดีแต่กลับไม่ได้ผลดีอย่างนั้นอย่างนั้น

 

ในบ้านของตงเต๋อเซิงตอนนี้ ตงลี่เจวียนก็กำลังปิดหน้าร้องห่มร้องไห้ราวกับว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไรอย่างนั้น ตงเต๋อเซิงขมวดคิ้วพร้อมกับตะโกนด่าทอออกไปว่า “ตอนที่แม่เสีย ฉันก็ไม่เห็นว่าเธอจะแสดงความกตัญญูออกมามากขนาดนี้เลยนะ ถ้าจะร้องไห้ก็กลับไปร้องที่บ้านโน้นไป จะมาร้องไห้ปาดน้ำตาให้ใครเห็นใจที่นี่ไม่ทราบ ? ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของพี่ชายตงลี่เจวียนจึงตะโกนตอบกลับไปว่า “ทำไม ฉันไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้วฉันพูดอะไรไม่ได้เลยรึไง ? ฉันอยากไปถามแม่หน้าหลุมศพจริง ๆ ว่าทำไมพอท่านตายแล้ว พี่ใหญ่ถึงไม่สนใจอะไรเลย

 

ตงเต๋อเซิงโกรธจนรู้สึกเจ็บกระบังลมทั้งสองข้าง เขาชี้ไปที่หน้าของตงลี่เจวียนและพูดออกมาว่า “เธอเป็นคนไปยืมเงินของพวกเขา แล้วเธอยังมีหน้ามาถามหาเหตุผลอีกอย่างนั้นหรือ ? พอเธอมีเงินเธอก็ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย ถ้าเธอไม่มีเงินเธอก็ควรจะใช้จ่ายอย่างประหยัดสิ แล้วตอนที่เธอมีเงิน เธอก็ทำสิ่งที่เธออยากทำ แต่ดูสิ่งที่เธอทำอยู่ตอนนี้สิ มันถูกต้องรึเปล่า”

 

เมื่อทั้งสามคนกลับมาถึงบ้าน จางฉุ้ยเหลียนก็เห็นว่าพ่อกับแม่ของเธอนั้นยังคงฉุนเฉียวอยู่ เธอจึงรีบวิ่งเข้าไปจุดเตาใต้เตียงและชงชา จากนั้นเธอก็ไปหมักเนื้อในครัว หลังจากที่หมักเนื้อเสร็จแล้ว เธอก็ไปให้อาหารเป็ดและไก่ต่อ

 

เมื่อเห็นว่าทั้งเซี่ยจวินและตงลี่หวาเริ่มใจเย็นลงบ้างแล้ว เธอจึงเริ่มพูดโน้มน้าวพวกเขาออกไปว่า “คุณป้าใหญ่ก็ชอบพูดจาไม่ดีอยู่แล้ว พ่อกับแม่อย่าโกรธหล่อนเลยนะคะ ถ้าเวลาผ่านไป หล่อนก็คงจะดีขึ้นเองนั่นแหละค่ะ

 

เซี่ยจวินก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไรออกมาดี เพราะเขาก็ไม่ได้สนใจตงลี่เจวียนอยู่แล้ว จะมีก็แค่ตงลี่หวานี่แหละ เขาก็ไม่รู้ว่าหล่อนจะหายโกธรพี่สาวของหล่อนเมื่อไหร่

 

วันเวลาก็ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปเพียงไม่กี่วัน วันนี้ก็เป็นวันที่ 4 ของปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติแล้ว  อย่างที่กัวเจี้ยนจวินเคยพูดกับจางฉุ้ยเหลียนไปก่อนหน้านี้ว่าเขาจะมาเอาคำตอบจากเธอก่อนวันที่ 5 จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าวันนี้กัวเจี้ยนจวินจะต้องมาเอาคำตอบจากเธออย่างแน่นอน

 

จางฉุ้ยเหลียนทำตัวราวกับว่าเธอเป็นนกกระจอกเทศอย่างไรอย่างนั้น เมื่อกินข้าวเสร็จแล้ว เธอก็รีบเข้าไปซ่อนตัวในห้องนอนของตัวเองทันที เธอบอกกับทุกคนว่าเธอจะทำการบ้าน และอย่าให้ใครเข้ามารบกวน 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยก็เข้าใจได้ในทันที ว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นต้องการที่จะหลบหน้ากัวเจี้ยนจวิน เมื่อเวลาได้ล่วงเลยผ่านมาจนถึง 11.00 น. กัวเจี้ยนจวินก็มาที่บ้านตระกูลเซี่ย

 

ท่าทางของเขาในครั้งนี้มันดูจริงจังมากเลยจริง ๆ เขาถือเหล้ามา 2 ขวดพร้อมกับขนมติดไม้ติดมือมาด้วยอีก 4 กล่อง ซึ่งมันก็ทำให้สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยรู้สึกราวกับว่ามีลูกเขยบุกมาถึงหน้าประตูบ้าน และตั้งใจมาสู่ขอลูกสาวของพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

“คุณลุง  คุณป้า สวัสดีปีใหม่ครับ พรุ่งนี้ผมต้องกลับเข้ากรมแล้ว วันนี้ผมก็เลยถือโอกาสมากล่าวลาทุกคนน่ะครับ” กัวเจี้ยนจวินนั้นเป็นคนมีมารยาท อีกทั้งยังรอบคอบมากอีกด้วย เมื่อเห็นดังนั้น ตงลี่หวาก็ยิ่งรู้สึกพอใจเขามากขึ้นไปอีก

 

“เจี้ยนจวิน  นั่งก่อนสิ ” เจี้ยนจวินแสดงท่าทางเคร่งขรึมออกมาราวกับว่าเขากำลังสู้รบกับศัตรูอย่างไรอย่าง ตงลี่หวารินชาให้เขา จากนั้นหล่อนก็เดินกลับเข้าไปในครัว

 

“ฉุ้ยเหลียนบอกเรื่องที่นายมาสารภาพรักกับเธอให้ฉันฟังแล้วล่ะ” เซี่ยจวินพูดเปิดประเด็นออกมา ทำให้กัวเจี้ยนจวินถึงกับต้องยืดตัวตรงขึ้นมาทันที

 

“อายุของพวกเธอทั้งสองคนก็ห่างกันมาก และตอนนี้ฉุ้ยเหลียนก็ยังเรียนอยู่ ภายในระยะเวลา 3 ปีที่เธอกำลังเรียนอยู่นี้ ก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง หลังจากที่เธอเรียนจบเธอก็ต้องไปหางานทำ พอมาคิด ๆ ดูแล้ว  ฉันคิดว่าพวกเธอสองคนคงไม่เหมาะสมกันหรอก” คำตอบของเซี่ยจวิน มันเหนือความคาดหมายของกัวเจี้ยนจวินมากเลยจริง ๆ

 

เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเซี่ยจวินจะไม่สนใจยศทหารของเขาเลยแม้แต่น้อย ทั้ง ๆ ที่เซี่ยจวินก็รู้ว่าอนาคตของเขานั้นก็ไม่เลวเลยทีเดียว

 

“นี่เป็นสิ่งที่ฉุ้ยเหลียนต้องการจะบอกผมอย่างนั้นหรือครับ ” กัวเจี้ยนจวินยิ้มออกมาด้วยความอึดอัดใจ  เพราะสิ่งที่เธอต้องการจะบอกเขาก็คือเธอนั้นเป็นผู้หญิงยุคใหม่ที่มีอิสระ มีเสรีภาพ พึ่งพาตนเองได้ อีกทั้งยังเป็นคนมีเหตุผลและหลักการเป็นของตัวเองอีกด้วย

 

“หลังจากที่นายกลับเข้ากรมไปแล้ว ฉันจะวานให้เหล่าเกาหาผู้หญิงดี ๆ ให้นายแล้วกันนะ เพราะเรื่องของนายกับฉุ้ยเหลียน ฉันและฉุ้ยเหลียนต่างก็เห็นตรงกันว่ามันเป็นไปไม่ได้  ”

 

“ได้ครับ ความจริงแล้วเรื่องแบบนี้มันก็ขึ้นอยู่กับความยินยอมของทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว ถ้าเธอไม่เต็มใจ ก็ไม่เป็นไรครับ  ” กัวเจี้ยนจวินคลี่ยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและขอตัวกลับทันที

 

กัวเจี้ยนจวินที่กำลังจะเดินออกไปจากบ้าน เขาก็หันกลับไปมองที่ประตูที่กำลังปิดสนิทอยู่ และประตูบานนี้ก็เป็นประตูห้องของจางฉุ้ยเหลียนนั่นเอง สุดท้ายเขาก็อดที่จะยกมือขึ้นไปเคาะประตูไม่ได้ เมื่อเขาเคาะประตูแล้ว เขาก็พูดออกไปเบา ๆ ว่า “ฉุ้ยเหลียน ฉันกลับแล้วนะ ต่อจากนี้ไปถ้าเธอต้องเจอกับเรื่องอะไรที่ยากลำบาก เธอก็เขียนจดหมายมาหาฉันได้เลย ฉันพร้อมที่จะช่วยเธอทุกเมื่อ และฉันก็เต็มใจช่วยเหลือเธออย่างเต็มที่ ! ”

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินคำพูดของเขา เธอก็ทำได้แค่ทอดถอนหายใจออกมา มือที่กำลังจับปากกาเอาไว้แน่น ก็เริ่มคลายลงอย่างช้า ๆ 

 

จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าต่อจากนี้ไปเธอและกัวเจี้ยนจวินก็คงจะไม่ได้เจอกันอีก แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่านี่มันจะเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น

 

รีวิวผู้อ่าน