px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 46 เปรียบเทียบ


ตอนที่ 46 เปรียบเทียบ

 

เมื่อกัวเจี้ยนจวินกลับมาถึงบ้าน เขาก็เห็นเหล่าบรรดาพี่สะใภ้ของเขากำลังนั่งส่งยิ้มมาให้เขาอย่างมีเลศนัยอยู่  นั่นจึงทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนกไม่น้อยเลยทีเดียว ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันต้องมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

 

“เจี้ยนจวิน ตอนบ่ายนี้จะมีแขกมาที่บ้านเรา คุณอาสะใภ้หลี่จะมาแนะนำคู่หมายกับให้ลูก ลูกก็อยู่ดูตัวคู่หมายของลูกหน่อยแล้วกันนะ” แม่ของกัวเจี้ยนจวินพูดออกมาราวกับว่ามันเป็นประโยคบอกเล่าอย่างไรอย่างนั้น และเรื่องนัดดูตัวในครั้งนี้ แม่ของเขาก็ได้ปรึกษาหารือกับสะใภ้ตระกูลหลี่ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นแม่ กัวเจี้ยนจวินก็แสดงสีหน้าถมึงทึงออกมาทันที จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “ แม่รีบร้อนเกินไปรึเปล่าครับ

 

เมื่อได้ยินคำถามของกัวเจี้ยนจวิน แม่ของเขาก็พูดออกมาว่า “ รีบร้อนอะไรกันล่ะ ปีนี้ลูกก็อายุ 25 ปีแล้ว ลูกรีบไปล้างหน้าล้างตา แล้วมานั่งรอแขกได้แล้วไป

 

เมื่อได้ยินคำพูดของแม่สามี เหล่าบรรดาพี่สะใภ้ต่างก็พากันหัวเราะคิกคักออกมา  กัวเจี้ยนจวินรู้สึกกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ไม่สามารถบอกแม่ของเขาได้ว่าเขานั้นมีผู้หญิงที่ชอบอยู่แล้ว จึงทำได้แค่นั่งรอแขกเพียงเท่านั้น

 

เมื่อในใจของเขานั้นมีเจ้าของอยู่แล้ว ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่สามารถมาทำให้ใจของเขาสั่นไหวได้หรอก

 

หญิงสาวที่มานัดดูตัวที่บ้านของกัวเจี้ยนจวินในครั้งนี้ หล่อนสวมเสื้อแขนยาวบุนวมสีดำตัวใหญ่ เมื่อหล่อนเดินเข้ามาในบ้านแล้ว หล่อนก็ถอดเสื้อบุนวมสีดำนั้นออก เผยให้เห็นถึงเสื้อไหมพรมสีดำด้านในที่หล่อนกำลังสวมใส่อยู่ หล่อนคงจะไม่ค่อยได้ใส่เสื้อผ้าแบบนี้บ่อยนัก เพราะหล่อนเอาแต่ขยับตัวยุกยิกไปมาอยู่ตลอดเวลา ดูท่าแล้วหล่อนคงจะไม่ค่อยชินกับเสื้อไหมพรมที่รัดแน่นแบบนี้ อีกทั้งหล่อนยังไม่กล้าส่งเสียงดังออกมาอีกด้วย  เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว กัวเจี้ยนจวินก็คิดว่าหล่อนช่างแตกต่างกับจางฉุ้ยเหลียนมากเลยทีเดียว

 

คนที่เป็นแม่สื่อก็เอาแต่พูดอย่างน้ำไหลไฟดับโดยที่ไม่หยุดพักหายใจเลย แต่กัวเจี้ยนจวินกลับไม่ได้รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย หญิงสาวที่กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาในตอนนี้มีชื่อว่า หวังลี่  หล่อนเป็นญาติกับคุณอาสะใภ้หลี่ เมื่อวานแม่ของเขาได้โทรไปปรึกษากับแม่ของหล่อน วันนี้พวกเขาจึงได้นัดดูตัวกัน 

ในวันนี้หวังลี่มาดูตัวด้วยชุดที่กัวเจี้ยนจวินเห็นแล้ว เขารู้สึกว่ามันแปลกเป็นอย่างมาก หล่อนสวมเสื้อไหมพรมสีดำตัวใหญ่ กางเกงสีน้ำตาล อีกทั้งยังสวมรองเท้าบูทขนสีดำคู่ใหญ่ บอกได้คำเดียวเลยว่าตั้งแต่หัวจรดเท้าของหล่อนไม่มีส่วนไหนเลยที่จะไม่ล้าสมัย นอกจากนี้หล่อนยังใส่ต่างหูกลมสีเงินคู่หนึ่ง จากการสังเกตของกัวเจี้ยนจวิน เขาคิดว่าหล่อนจะต้องใส่ต่างหูคู่นี้มานานแล้วอย่างแน่นอน เพราะต่างหูมันได้เกิดการบิดเบี้ยวและเปลี่ยนรูป อีกทั้งยังมีรอยดำที่เกิดจากการใช้งานมานานแล้วอีกด้วย  

 

หล่อนบอกว่าปีนี้หล่อนอายุ 19 ปี นั่นก็แสดงว่าหล่อนอายุเท่ากับจางฉุ้ยเหลียนอย่างนั้นหรือ? แต่ทำไมพวกเธอทั้งสองคนถึงได้ดูแตกต่างกันมากขนาดนี้ล่ะ?

 

จางฉุ้ยเหลียนก็ชอบใส่เสื้อผ้าไหมพรมเช่นเดียวกัน แต่เธอกลับดูสดใสและรูปร่างของเธอก็เข้ากับเสื้อไหมพรมมากกว่าหวังลี่ แต่ในความเป็นจริงแล้วกัวเจี้ยนจวินกลับไม่รู้เลยว่าที่จางฉุ้ยเหลียนแต่งตัวแบบนั้น เพราะเธอต้องการที่จะแต่งตัวให้กู้จื้อเฉิงประทับใจในเธอต่างหากล่ะ

 

ในยุคสมัยนี้ ผู้คนต่างก็ใส่เสื้อแขนยาวบุนวมกันเป็นเรื่องปกติ พวกเขาจะเริ่มใส่เสื้อแขนยาวบุนวมกันตั้งแต่เริ่มเข้าฤดูหนาวจนมาถึงฤดูใบไม้ผลิ และพวกเขาก็มักจะสวมใส่เสื้อไหมพรมที่ถักด้วยตัวเอง ซึ่งรูปแบบการถักก็แค่ใช้เข็มทับกันไปมาเท่านั้น

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้ดีว่านิสัยของคนในยุคสมัยนี้เป็นเช่นไร อีกทั้งเธอยังรู้อีกด้วยว่าเธอควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อที่จะทำให้พวกเขาชื่นชอบในตัวเธอ จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าผู้ชายในยุคสมัยนี้มักจะดูผู้หญิงจากหน้าตาภายนอกก่อนเป็นอันดับแรก ดังนั้นการให้ความสำคัญกับเรื่องเสื้อผ้าหน้าตาจึงเป็นสิ่งสำคัญ

 

เธอมีความรู้เกี่ยวกับยุคสมัยใหม่จากชาติที่แล้วพอสมควร อีกทั้งเธอยังเคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิตมาอีกนับครั้งไม่ถ้วนอีกด้วย การถักเสื้อไหมพรมจึงไม่ใช่เรื่องที่ยากเย็นสำหรับเธอแต่อย่างใด และร้านที่ขายไหมพรมพวกนี้ก็มักจะมีหนังสือวิธีการถักไหมพรมขายด้วยอยู่แล้ว

 

จางฉุ้ยเหลียนซื้อไหมพรมสีดำกลับมา จากนั้นเธอก็เริ่มถักเสื้อไหมพรมแบบที่เธอชอบทันที และเธอก็ซื้อผ้าสีขาวเนื้อดีมาด้วยอีกผืนหนึ่ง เธอนำผ้าสีขาวผืนนี้มาเย็บเป็นปกคอเสื้อและปลายแขนเสื้อปลอม ๆ 

 

ไม่ว่าจะดูยังไง การแต่งตัวแบบนี้มันก็ดูไร้เดียงสาและน่ารักสมวัยเด็กสาววิทยาลัยเป็นอย่างมาก ยิ่งเธอไว้ผมหน้าม้าและมัดผมหางม้าด้วยแล้ว มันก็ยิ่งทำให้เธอดูน่ารักมากขึ้นไปอีก

 

ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนได้เข้ามาที่บ้านตระกูลกู้เป็นครั้งแรก เมื่อกู้จื้อชิวเห็นเธอแต่งตัวแบบนี้ หล่อนก็ถึงกับร้องออกมาเสียงหลงด้วยความตกตะลึงเลยทีเดียว จากนั้นอันหลงก็เดินไปหารองเท้าบูทที่เข้ากับชุดของจางฉุ้ยเหลียนมาให้เธอ และหล่อนยังบอกกับเธออีกว่า ผู้หญิงเซี่ยงไฮ้และปักกิ่งก็มักจะแต่งตัวแบบนี้เช่นเดียวกัน

 

หลังจากที่กู้จื้อชิวได้เห็นการแต่งตัวของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว หล่อนก็เริ่มหันมาสนใจเสื้อไหมพรมแบบเดียวกับที่จางฉุ้ยเหลียนใส่ แต่หล่อนกลับไม่รู้เลยว่ารูปแบบการถักเสื้อไหมพรมของจางฉุ้ยเหลียน เธอก็เอามาจากยุคสมัยใหม่เมื่อชาติที่แล้วของเธอทั้งนั้น 

 

แต่เสื้อผ้าที่กัวเจี้ยนจวินเห็นจางฉุ้ยเหลียนสวมใส่ในวันฉลองปีใหม่นั้น มันก็แตกต่างกับเสื้อผ้าที่เธอสวมใส่ในวันปกติโดยสิ้นเชิง เพราะเสื้อผ้าที่จางฉุ้ยเหลียนใส่ในวันฉลองปีใหม่ก็คือเสื้อผ้าที่เธออยากจะให้กู้จื้อเฉิงได้เห็น อีกทั้งเธอก็ยังไว้ผมหน้าม้าและมัดผมแบบหางม้าอีกด้วย การแต่งตัวแบบนี้รวมทั้งสีหน้าท่าทางในการพูดของเธอ ทำมำให้กัวเจี้ยนจวินรู้สึกประทับใจในตัวเธอไม่น้อย

 

ในวันฉลองปีใหม่จางฉุ้ยเหลียนสวมเสื้อไหมพรมสีแดง และเสื้อไหมพรมตัวนั้นมันก็เป็นเสื้อไหมพรมที่เธอเป็นคนถักเอง อีกทั้งคอปกเสื้อไหมพรมของเธอก็เย็บด้วยผ้าลายฉลุสีขาว ซึ่งผ้าลายฉลุสีขาวนี้ก็ได้มาจากผ้าที่ใช้คลุมวิทยุของเซี่ยจวินนั่นเอง  

 

มีอยู่วันหนึ่ง เซี่ยจวินกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่ในบ้าน แต่จู่ ๆ บุหรี่ของเขาก็ไปโดนผ้าลายฉลุสีขาวที่คลุมวิทยุอยู่จนเป็นรูกว้างอย่างไม่ได้ตั้งใจ ตงลี่หวานั้นรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก แต่เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้เห็นผ้าลายฉลุสีขาวผืนนี้แล้ว เธอก็เกิดแรงบันดาลใจขึ้นมา เธอคิดวิธีการดี ๆ ออก หลังจากที่เธอนำมันไปซักจนสะอาดแล้ว เธอก็นำมันมาตัดเป็นคอปกเสื้อตุ๊กตาและนำมันมาเย็บติดกับคอเสื้อไหมพรมสีแดงของเธอ

 

เสื้อไหมพรมคอปกตุ๊กตาสีแดงนั้นช่างเข้ากันดีกับกระโปรงสั้นทรงเอสีเทามากจริง  ๆ ซึ่งกระโปรงทรงเอสั้นสีเทาตัวนี้ก็ได้มาจากกระโปรงยาวตัวเก่าของตงลี่หวาที่หล่อนไม่ได้ใส่แล้ว จางฉุ้นเหลี่ยนนำมาตัดและดัดแปลงให้มันเป็นกระโปรงทรงเอแบบสั้น  นอกจากนี้จางฉุ้ยเหลียนยังสวมใส่กางเกงเลกกิ้งรัดรูปสีดำที่กำลังเป็นที่นิยมในตอนนี้อีกด้วย ส่วนรองเท้าหนังสีแดงที่เธอสวมใส่อยู่นั้น ตงลี่หวาก็เป็นคนควักเงินซื้อมันให้กับเธอ

 

บวกกับผมที่ปล่อยสยายลงมาของเธอ มันช่างเข้ากันมากเลยจริง ๆ  ถึงแม้ว่าเธอจะติดกิ๊บสีดำที่ตงลี่หวาซื้อมาใช้ตอนที่หล่อนแต่งงานเมื่อนานมาแล้ว แต่เธอก็ใช้ไหมพรมสีแดงนำมาผูกเป็นโบว์ติดกับกิ๊บตัวนั้น นั่นจึงทำให้มันทันสมัยมากยิ่งขึ้น  เมื่อมองดูการแต่งตัวของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว มันก็ไม่เหลือสไตล์การแต่งตัวที่ทั้งเก่าและแก่เลยแต่อย่างใด

 

จางฉุ้ยเหลียนลุกขึ้นมาแต่งตัวตั้งแต่เช้า และตอนนี้เธอก็กำลังยืนชื่นชมตัวเองอยู่ที่หน้ากระจก อย่าว่าแต่ตงลี่หวาที่ตกตะลึงในความน่ารักจากการแต่งตัวของจางฉุ้ยเหลียนเลย เพราะแม้แต่จางฉุ้ยเหลียนเองก็ตกใจมากเช่นกัน เธอคิดว่าเธอเหมือนกับนางแบบในยุคสมัยใหม่เมื่อชาติที่แล้วที่เธอเคยให้ในนิตยสารมากเลยทีเดียว เธอมองดูเงาของตัวเองในกระจก ที่รูปร่างของเธอทั้งผอม อีกทั้งใบหน้าของเธอก็ดูสวยหวาน ราวกับว่าเธอนั้นเป็นเจ้าหญิงตัวน้อย ๆ อย่างไรอย่างนั้น

 

นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ว่าทำไมกัวเจี้ยนจวินถึงรีบนำจักรยานมาคืนเร็วนัก  เมื่อเขาได้เจอกับจางฉุ้ยเหลียนเป็นครั้งที่สอง เขาก็อดใจไม่ไหวที่จะสารภาพรักกับเธอออกไป เด็กสาวที่ยังโสดอีกทั้งยังสวยหวานทำให้ผู้คนต่างก็พากันใจเต้นได้มากขนาดนี้ จะมีใครจะยอมพลาดโอกาสดี ๆ แบบนี้ได้อย่างไรกันล่ะ

 

แต่ถ้านำมาเปรียบเเทียบกับเด็กสาวที่แต่งตัวล้าสมัยที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเขาตอนนี้แล้ว กัวเจี้ยวจวินจึงไม่ได้รู้สึกอะไรเลยแม้แต่น้อย เขาแสดงสีหน้าเย็นชาออกมาและไม่พูดอะไรสักคำ

 

“เด็กคนนี้นี่ มา มาชวนน้องคุยหน่อย ” แม่ของกัวเจี้ยนจวินดูออกว่าลูกชายของหล่อนนั้นไม่ค่อยพอใจเด็กสาวคนนี้สักเท่าไหร่ แต่เหล่าบรรดาพี่สะใภ้ของกัวเจี้ยนจวินก็รู้สาเหตุดีว่ามันเป็นเพราะอะไร

 

กัวเจี้ยนจวินขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะพูดกับหญิงสาวคนนั้นว่า  “ตอนนี้เธอยังอยู่ที่บ้านของเธอใช่ไหม ? แล้วหลังจากที่เธอแต่งงานล่ะ เธอวางแผนชีวิตไว้ว่ายังไงบ้าง

 

หญิงสาวคนนั้นตกตะลึงกับคำถามของกัวเจี้ยนจวินในทันที หล่อนมองไปทางคุณอาสะใภ้หลี่ด้วยใบหน้าที่แดงกร่ำและแสดงสีหน้างุนงงออกมาอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นคุณอาสะใภ้หลี่ก็พูดออกมาว่า “จะต้องวางแผนชีวิตอะไรล่ะ ก็ใช้ชีวิตเหมือนกับคู่แต่งงานคู่อื่นนั่นแหละ แต่งงานกัน หลังจากนั้นก็มีลูก เมื่อมีลูกแล้วก็ดูแลรับใช้สามีและลูกไง” 

 

เมื่อคุณอาสะใภ้หลี่พูดจบ ทุกคนที่นั่งอยู่ในห้องโถงต่างก็พากันหัวเราะเสียงดังออกมาทันที  กัวเจี้ยนจวินจึงแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างไม่ปิดบัง   เมื่อวานที่เขาได้ยินว่าบทความของจางฉุ้ยเหลียนนั้นได้รับการตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ประจำมณฑลแล้ว เขาก็รู้สึกนับถือและชื่นชมในตัวเธอไม่น้อย ยิ่งตอนที่เธอพูดว่าเธอจะมุ่งมั่นทำสิ่งต่าง ๆ ที่เธออยากทำอย่างไม่ย่อท้อด้วยแล้ว มันก็ยิ่งทำให้เขาประทับใจในตัวเธอมากขึ้นไปอีก เธอมีแนวทางเป็นของตัวเอง นี่สิที่เขาเรียกว่าผู้หญิงยุคใหม่

 

แต่เมื่อเขาได้เล่าเรื่องของจางฉุ้ยเหลียนให้กับแม่ของเขาฟัง แม่ของเขากลับไม่เข้าใจผู้หญิงยุคใหม่อย่างจางฉุ้ยเหลียนเลยแม้แต่น้อย เพราะหล่อนคนหัวโบราณ และเขาก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าผู้หญิงที่กำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขาในตอนนี้ จะเหมือนแม่ของเขามากขนาดนี้ ทั้งหัวโบราณ ทั้งล้าสมัย

 

กัวเจี้ยนจวินถอนหายใจออกมา จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “ฉันเป็นทหารประจำการ ถ้าเธอแต่งงานกับฉัน เธอก็ต้องเจอกับความยากลำบากอีกมากมาย”

 

ยังไม่ทันที่เขาจะพูดจบ  หญิงสาวคนนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้นว่า “ฉันรู้ ฉันทนความลำบากได้

 

กัวเจี้ยนจวินพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นเขาก็พูดต่อไปอีกว่า “ฉันไม่ได้หมายถึงร่างกาย  แต่ฉันหมายถึงสภาพจิตใจต่างหาก” ครั้งนี้กัวเจี้ยนจวินดูเอาจริงจังมาก จนทุกคนต่างก็ไม่กล้าที่จะพูดหยอกล้อสนุกสนานกันแต่อย่างใด

 

ทุกคนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องโถงในตอนนี้ต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรกันเลย มีเพียงเสียงของกัวเจี้ยนจวินเท่านั้นที่พูดออกมาว่า “อย่างแรกเธอต้องใช้ชีวิตด้วยตัวเองให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ฉันเข้ากรมทหารไปแล้ว มันไม่ใช่ว่าเมื่อผู้ชายไปทำงาน ลูกไปโรงเรียน แล้วเธอจะอยู่บ้านโดยที่เธอไม่ต้องทำงานอะไรเลยใช่ไหมล่ะ ? 1 ปี หรือ 2 ปีเธอก็ยังพอทนได้ แต่เธอจะยอมทนเป็นสะใภ้ของตระกูลนี้ตั้งแต่อายุ 20 ปีไปจนถึงอายุ 70 ปี รวม ๆ แล้วก็ 50 ปีได้อย่างนั้นหรือ ? ”

 

“คนที่จะมาเป็นภรรยาของทหาร ผู้หญิงคนนั้นจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ต้องมีนิสัยตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พูดจาฉะฉานทำงานคล่องแคล่ว ใจกว้าง  มีแนวคิดเป็นของตัวเอง มุมานะบากบั่น ต้องพึ่งพาตัวเองได้  เธอทำได้ไหม” ความจริงแล้วประโยคที่เขาพูดออกมาทั้งหมด เขาก็ตั้งใจพูดกับคนในบ้านต่างหาก

 

หญิงสาวคนนั้นกัดปากเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า “ นาย ที่นายพูดมาทั้งหมด ฉันไม่เข้าใจหรอก  ฉันรู้แค่ว่า  หลังจากนี้ ฉันต้องแต่งงาน เป็นคนของบ้านนาย และเชื่อฟังนายทุกอย่าง

 

เมื่อแม่ของกัวเจี้ยนจวินได้ยินดังนั้น หล่อนก็ถึงกับยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว  และคิดในใจว่าการที่มีลูกสะใภ้ที่เชื่อฟังหล่อนแบบนี้มันดีมากเลยจริง ๆ  แต่กัวเจี้ยนจวินกลับกระตุกยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า  “ดูเหมือนว่าเธอจะยังไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดนะ ฉันไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากภรรยาที่สามารถดูแลทั้งเรื่องในบ้านและนอกบ้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

 

เมื่อหญิงสาวได้ยินคำว่าภรรยา ใบหน้าของเธอก็แดงก่ำขึ้นมาในทันที จากนั้นหล่อนก็ก้มหน้าลงและไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาสบตากับใครอีกเลย

 

กัวเจี้ยนจวินขมวดคิ้ว จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “ งานของฉันมันเป็นงานที่พิเศษ ไม่เหมือนงานของคนอื่น ฉันไม่ค่อยได้อยู่บ้าน เธอบอกว่าเธอจะเชื่อฟังฉันทุกอย่าง แต่ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นตอนที่ฉันไม่อยู่บ้าน เธอจะทำยังไงล่ะ

 

แม่ของกัวเจี้ยนจวินรีบพูดแทรกขึ้นมาทันทีว่า “ไม่เป็นไรหรอก หล่อนยังมีแม่ ถ้ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้น แม่จะเป็นคนจัดการให้เอง

 

กัวเจี้ยนจวินหันไปถามแม่ของตัวเองว่า “แล้วถ้าผมย้ายไปอยู่กรมทหารอื่นล่ะครับ ? แม่จะยอมย้ายไปอยู่กับผมด้วยอย่างนั้นหรือ แม่คิดว่าเราแยกกันอยู่ไม่ดีกว่าหรือครับ ? เพราะถึงอย่างไรสักวันนกกระจอกก็ต้องบินด้วยตัวเอง

 

แม่ของกัวเจี้ยนจวินรู้สึกได้ลาง ๆ ว่ามีมันต้องบางอย่างไม่ชอบมาพากลอย่างแน่นอน หล่อนจึงยิ้มเจื่อน ๆ  และพูดว่า “ไอ้หยา วันเวลามันก็ผ่านไปเรื่อย ๆ เมื่อโตขึ้น หล่อนก็ทำได้เองแหละน่า

 

กัวเจี้ยนจวินหัวเราะเยาะออกมา “บ้านพวกเราก็มีรถจักรยานมาตั้งหลายปีแล้ว  แต่ตอนนี้แม่ก็ยังปั่นไม่เป็นเลย ถึงแม้ว่าเรื่องบางเรื่องพ่อกับแม่จะมองว่ามันไม่สำคัญ แต่สำหรับผมแล้ว มันสำคัญมากนะครับ ถ้าก่อนแต่งงานไม่คุยกันให้ชัดเจน ต่อไปถ้าเกิดปัญหาขึ้นแล้วต้องหย่ากัน มันก็ไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะครับ

 

เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็ไม่จำเป็นที่จะพูดอะไรออกมาอีก ตอนนี้สีหน้าของคุณอาสะใภ้หลี่ดูแย่มากจริง ๆ หล่อนฝืนยิ้มออกมา และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้างว่า “ใช่แล้วล่ะ  ใช่แล้ว งั้นฉันขอตัวกลับก่อนแล้วกันนี้  เพราะวันนี้เป็นวันแรกของปีใหม่ อีกอย่างเย็นนี้แม่ของหวังลี่ก็ต้องไปบ้านคุณยายของหล่อนด้วย งั้นฉันกลับก่อนล่ะ

 

กัวเจี้ยนจวินไม่อยากจะให้ตระกูลของเขาดูไม่ดี เขาจึงพูดออกไปว่า “คุณอาสะใภ้หลี่ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมเป็นคนตรงไปตรงมา ผมไม่ได้ไม่พอใจหล่อนหรอกครับ แต่การที่คน ๆ หนึ่งจะมาแต่งงานกับทหารมันก็เป็นเรื่องที่ยากลำบาก ถ้าหล่อนทนได้  ต่อไปในวันข้างหน้า เราจะได้ใช้ชีวิตกันได้อย่างมีความสุข แต่ถ้าทนไม่ได้ คนที่จะลำบากในวันข้างหน้าก็คือฝ่ายหญิงนะครับ

 

พอส่งแขกเสร็จ ก็เริ่มมีเสียงฮือฮาดังขึ้นในบ้าน เหล่าพี่ชายต่างก็ยกนิ้วให้กับกัวเจี้ยนจวิน “แกนี่มันแน่จริง ๆ ไม่ยอมแต่ง ก็ไม่ต้องแต่งสิ  ทำไมแกจะต้องไปพูดให้หล่อนตกใจกลัวขนาดนั้นด้วยล่ะ

 

เหล่าบรรดาพี่สะใภ้ที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องครัว ต่างก็พูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “หลังจากนี้กัวเจี้ยนจวินก็คงจะหาภรรยายากแล้วล่ะ

 

เมื่อแม่ของกัวเจี้ยนจวินเดินกลับเข้ามาในบ้าน หล่อนก็ระเบิดความโกรธออกมาทันที “ผู้หญิงคนนั้นไม่ดีตรงไหน ? เพราะคำพูดของลูก หล่อนถึงได้ตกใจกลัวจนหนีกลับไปแล้ว  ลูกมาดูตัวหรือลูกมาสอนวิชาสังคมและการเมืองกัน หา

 

กัวเจี้ยนจวินต้องการที่จะล้างสมองแม่ของเขา เขาจึงพูดออกไปว่า “แม่ครับ แม่จะมองคนแบบนี้ไม่ได้นะครับ  แม้แต่จะเดินออกไปนอกบ้านคนเดียวหล่อนก็ยังไม่กล้าเลย แม่คิดว่าผู้หญิงแบบนี้มันดีจริง ๆ หรือครับ ? ”

 

แม่ของกัวเจี้ยนจวินแบะปาก จากนั้นหล่อนก็พูดออกมาว่า “แล้วถ้าลูกไปคว้าเอาคนบ้าที่ไหนไม่รู้มา แล้วตอนที่ลูกอยู่บ้านลูกจะมีความสุขได้ยังไง ลูกไม่เห็นสะใภ้บ้านอื่นที่วัน ๆ เอาแต่แต่งตัวสวย ๆ ออกไปยั่วยวนคนอื่นรึไง ?  สุดท้ายลูกก็จะถูกสวมเขาโดยที่ลูกไม่รู้ตัวนะ

 

เมื่อเห็นแม่ของตัวเองโกรธเป็นฟืนเป็นไฟจนต้องถ่มน้ำลายออกมา กัวเจี้ยนจวินก็รู้สึกจนปัญญา

 

“แม่ครับ  แม่คิดให้ดี ๆ นะครับ ถ้าเกิดผมต้องอยู่ในกรมทหารตลอดชีวิตล่ะ  ถ้าภรรยาของผมเป็นคนขี้ขลาด อีกทั้งยังไม่กล้าไปเสียทุกอย่างแบบนี้ หล่อนจะไม่ทำให้ลูกของผมอดตายหรือครับ ?  ต่อไปถ้าได้แต่งงานกัน แค่คำอวยพรในวันปีใหม่ง่าย ๆ หล่อนก็ยังพูดไม่เป็นเลย แบบนี้มันใช้ได้หรือครับ” ที่กัวเจี้ยนจวินพูดมามันก็ดูสมเหตุสมผล  แม่ของเขาก็รู้สึกเห็นด้วยเช่นกัน

 

ในเวลานี้พ่อของกัวเจี้ยนจวินที่เอาแต่นั่งฟังบทสนทนาของลูกชายและภรรยาของตัวเองมาตลอด โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาก็เอ่ยปากพูดออกมาว่า “พ่อว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ผ่านหรอก  อยู่บ้านมาตั้งหลายปีแล้ว ยังไม่มีงานทำเลย รอแต่ให้คนที่บ้านจัดการให้เพียงอย่างเดียว แล้วจะไปทำอะไรได้ล่ะ ? แล้วอีกอย่าง  ลูกชายของเราก็มีงานดี ๆ ทำ หาลูกสะใภ้ที่เป็นครูก็ไม่เลวนะ  เปิดเป็นโรงเรียนอนุบาลก็ยังได้

 

เมื่อพ่อที่เป็นใหญ่ที่สุดในบ้านเอ่ยปากพูดออกมาแบบนั้น  เรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นอันสิ้นสุดลง  ทุกคนในบ้านต่างก็ปฏิเสธการดูตัวในครั้งนี้ กัวเจี้ยนจวินจึงได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

 

ตอนนี้เขาก็หวังเพียงแค่ว่า ก่อนที่เขาจะกลับเข้ากรม เขาจะต้องแต่งงานกับจางฉุ้ยเหลียนให้ได้ แม้ว่าเธอจะไม่เต็มใจก็ตาม ยังมีเวลาเหลืออีกตั้งสองสามปี กว่าเธอจะเรียนจบ   เขาจะต้องกลัวอะไรล่ะ

 

แต่กัวเจี้ยนจวินกลับไม่รู้เลยว่า ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็กำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้กับเซี่ยจวินฟังด้วยความโกธรอยู่

 

“ถ้าเขายังมาอีก พ่อก็บอกเขาไปเลยนะว่า หนูไม่เต็มใจและไม่มีวันเต็มใจด้วย

 

รีวิวผู้อ่าน