ตอนที่ 45 สารภาพรัก
ยิ่งอันหลงพูดเรื่องจางฉุ้ยเหลียนกับกู้จื้อเฉิงมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งทำให้กู้จื้อเฉิงยิ่งสนใจจางฉุ้ยเหลียนมากขึ้นเท่านั้น ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้หล่อนจะดูถูกพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของจางฉุ้ยเหลียน แต่ถึงอย่างไรจางฉุ้ยเหลียนก็เป็นคนมีความสามารถ อีกทั้งยังยอดเยี่ยมมากอีกด้วย
“แม่ครับ !แม่อย่าเพิ่งคิดไปไกลเลยครับ เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้หรอก” กู้จื้อเฉิงยิ้มออกมา จากนั้นก็พูดกับแม่ของเขาออกไปว่า “จริงสิ แม่พูดถึงถุงมือที่เธอถักให้ผม ยศของผมยังใช้ไม่ได้หรอก แม่เอาให้พ่อใช้เถอะ ยศของพ่อเขาอนุญาตให้ใส่ถุงมือสีขาวได้ แม่เอาให้พ่อใช้เถอะครับ”
อันหลงพูดขึ้นอย่างปวดใจว่า “จะทำอย่างนั้นได้ยังไงกันล่ะ ลูกเอาไปใช้เถอะ ถุงมือสีขาวของทหารมันป้องกันความหนาวเย็นไม่ได้หรอกนะ แล้วอีกอย่างถุงมือของจางฉุ้ยเหลียนที่ถักให้ลูกมันก็หนา อีกทั้งยังคลุมนิ้วทั้ง 5 นิ้วด้วย มันคงไม่ทำให้งานของลูกล่าช้ามากกว่าปกติเท่าไหร่หรอกมั้ง เดี๋ยวแม่จะฝากคนส่งไปให้ลูกนะ”
กู้จื้อเฉิงพูดอย่างปัด ๆ ออกไปว่า “ไม่ต้องหรอกครับ ให้พ่อใช้ไปเถอะ เดี๋ยวก็จะหมดฤดูหนาวแล้ว อีกอย่างผมก็ต้องกวาดหิมะ อีกทั้งยังต้องฝึกฝนร่างกายให้อุ่นอยู่ตลอดเวลาด้วย ผมคงไม่ได้ใส่ถุงมือหรอกครับ !”
อันหลงพูดออกมาอย่างร้อนใจว่า “ลูกนี่ไม่ดูแลร่างกายตัวเองเลยรึไง เดือนสี่หิมะก็ยังตกอยู่ มันจะหมดฤดูหนาวตอนไหนล่ะ อีกอย่างลมในช่วงฤดูใบไม้ผลิก็แรงมากด้วย ลูกยิ่งต้องใส่ถุงมือ ไอ้หยา ลูกเชื่อฟังแม่บ้างสิ ลูกไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เดี๋ยวแม่ส่งไปให้นะ!”
หลังจากที่วางสายแล้ว อันหลงก็เดินไปหาถุงมือที่จางฉุ้ยเหลียนเป็นคนถักให้ลุกชายของหล่อนในทันที เมื่อคิดไปคิดมาแล้ว หล่อนก็เดินไปหยิบซอสพริกมาอีกกระปุกหนึ่ง ซอสพริกกระปุกนี้ก็เป็นซอสพริกที่จางฉุ้ยเหลียนเป็นคนสอนให้หล่อนทำนั่นเอง
ถึงแม้จะพูดว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นคนสอนให้หล่อนทำ แต่ความเป็นจริงแล้วจางฉุ้ยเหลียนก็เป็นคนทำมันทั้งหมดเลยต่างหาก ตอนที่อันหลงกำลังห่อของอยู่นั้น หล่อนก็อดที่จะนึกถึงจางฉุ้ยเหลียนขึ้นมาไม่ได้
จางฉุ้ยเหลียนนั้นมีรูปร่างที่เล็กกะทัดรัดพอเหมาะ ถึงแม้ว่าจะผอมไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ถือว่าผอมแห้งจนเกินไป อีกอย่างหน้าตาของเธอก็ดี และที่สำคัญก็คือจางฉุ้ยเหลียนดูไม่เหมือนคนที่มาจากชนบทเลยแม้แต่นิดเดียว การพูดและการกระทำของเธอก็แสดงออกถึงความจริงใจ หากต้องเข้าสังคมก็ไม่มีทางที่จางฉุ้ยเหลียนจะทำให้หล่อนต้องขายหน้าอย่างแน่นอน
อันหลงคิดถึงครั้งแรกที่หล่อนได้เจอกับจางฉุ้ยเหลียน ในตอนนั้นหล่อนชงกาแฟให้จางฉุ้ยเหลียนดื่ม และปฏิกิริยาของจางฉุ้ยเหลียนมันก็ทำให้อันหลงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
เพราะก่อนหน้านี้ก็เคยมีเด็กสาวมาดูตัวกูจื้อเฉิงที่บ้านของหล่อนเช่นเดียวกัน ตอนที่หล่อนชงกาแฟให้กับเด็กสาวเหล่านั้นดื่ม ทุกคนต่างก็พากันแสดงสีหน้าขมขื่นออกมาหลังจากที่พวกเธอดื่มกาแฟเข้าไปเพียงแค่ครั้งเดียว เด็กสาวบางคนก็ถึงกับถามหล่อนออกมาว่า “ทำไมคุณป้าถึงเอายาให้หนูดื่มล่ะคะ”
มีเพียงเด็กสาวจากตระกูลหม่าเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ยังพอจะเก็บอาการได้อยู่บ้าง ใบหน้าขาว ๆ ของเธอก็พยายามเก็บอาการสุดฤทธิ์ แต่สุดท้ายเธอก็ขอเติมครีมเทียมลงไป 1 ช้อนเต็ม ๆ เพราะทนความขมของกาแฟไม่ไหว
แต่วันนั้นที่จางฉุ้ยเหลียนได้ดื่มกาแฟที่บ้านของหล่อน ปฏิกิริยาของเธอก็ทำให้หล่อนรู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
จางฉุ้ยเหลียนยกกาแฟขึ้นมาดมก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นเธอก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า “หอมมากเลยค่ะ !”
อันหลงจึงพยักหน้าตอบกลับด้วยรอยยิ้ม และพูดออกไปว่า “หนูลองชิมดูสิ มันเป็นกาแฟชนิดใหม่ ป้าก็ยังไม่เคยลองชิมเลยเหมือนกัน”
จางฉุ้ยเหลียนยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ ผ่านไปสักพัก เธอก็คลี่ยิ้มออกมาและพูดขึ้นว่า “พอดื่มเข้าไปแล้วในปากก็จะมีรสหวาน ถ้าลองชิมอย่างตั้งใจก็จะพบว่ากาแฟนี้มีรสชาติที่กลมกล่อมมากเลยค่ะ”
อันหลงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที จากนั้นหล่อนก็ถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปหลายครั้งด้วยความไม่เชื่อว่า “หนูเพิ่งจะเคยดื่มกาแฟเป็นครั้งแรกอย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นเธอก็พูดออกมาว่า “หนูไม่เคยดื่มกาแฟหรอกค่ะ แค่เคยได้ยินคนอื่นเขาพูดกัน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่หนูได้ดื่มกาแฟ หนูคิดว่าคุณป้าแตกต่างกับคนอื่นมากจริง ๆ เพราะคุณป้าเป็นคนมีรสนิยม อีกทั้งยังเป็นคนที่ประณีตมากอีกด้วย ”
เมื่อได้ยิมคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน อันหลงก็ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว หล่อนจึงถามออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “หนูพูดจริงหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนจึงพยักหน้าเป็นการตอบรับ “หนูสังเกตเห็นมานานแล้วล่ะค่ะ คุณป้าจำตอนที่หนูทำไข่ม้วนมาให้คุณป้าชิมได้ไหมคะ ? คนอื่น ๆ ที่ได้ชิมต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อยมาก แต่ที่พวกเขาบอกว่ามันอร่อยก็อาจจะเป็นเพราะวัตถุดิบที่หนูนำมาทำมันสดใหม่ก็ได้ แต่เมื่อหนูเห็นสีหน้าและท่าทางของคุณป้าตอนที่ได้ชิมไข่ม้วนของหนูแล้ว หนูก็รู้ได้ในทันทีเลยล่ะค่ะ ว่าคุณป้าจะต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำอาหารอย่างแน่นอน !”
อันหลงรู้สึกว่าตัวเองนั้นถูกจางฉุ้ยเหลียนชมจนตัวลอยเลยทีเดียว “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก ป้าก็แค่เคยเห็นผ่าน ๆ ตามาก็เท่านั้น ป้าไม่ได้เก่งอะไรมากหรอก”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าราวกับว่าเธอเป็นไก่จิกข้าวสารอย่างไรอย่างนั้น “เพราะอย่างนั้นหนูถึงได้บอกไงคะว่าคุณป้าไม่เหมือนกับคนอื่น ตอนที่คนอื่น ๆ ได้ชิมอาหารของหนู ทุกคนต่างก็ชิมไปอย่างนั้นโดยที่ไม่ได้คิดอะไร พวกเขาไม่ได้พิจารณาอาหารของหนูเลย นอกจากจะบอกว่ารสชาติของมันดี ซึ่งความคิดเห็นเรื่องรสชาติมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับหนูแม้แต่น้อย แต่คุณป้าไม่ได้เป็นอย่างนั้น เมื่อคุณป้าได้ชิมอาหารของหนู นอกจากความคิดเห็นเรื่องรสชาติแล้ว คุณป้าก็ยังให้ความคิดเห็นด้านอื่น ๆ กับหนูอีกด้วย เพราะคุณป้าเป็นคนละเอียดอ่อนแบบนี้ คุณป้าจึงวิเคราะห์รสชาติและความหอมของกาแฟชนิดต่าง ๆ ที่คนอื่นไม่สามารถวิเคราะห์ได้ไงคะ !”
คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนนั้นตรงใจอันหลงเป็นอย่างมาก หล่อนจึงพูดออกไปว่า “ที่เธอพูดมานั้นมันถูกต้องมากเลยล่ะ !หลายปีที่ผ่านมานี้ ภรรยาของเพื่อนทหารของสามีฉันต่างก็ไม่มีใครยอมกินกาแฟกับฉันเลย แล้วพวกหล่อนยังเอาฉันไปพูดลับหลังอีกว่าฉันชอบกินยาขมบ้างล่ะ ชอบกินฉี่แมวบ้างล่ะ !”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมา “มันก็เหมือนกับการกินข้าวนั่นแหละค่ะ ทุกคนต่างก็กินข้าวเพื่อที่ตัวเองจะได้อิ่มท้อง โดยที่พวกเขาไม่สนใจเลยว่าอาหารที่ตัวเองกินเข้าไปนั้นมันจะเป็นอย่างไร แต่คุณป้าไม่เหมือนกับคนพวกนั้น เพราะคุณป้ากินอาหารที่มีระดับ คนอื่นจึงไม่เข้าใจความมีระดับของคุณป้าไงคะ !”
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์นี้ อันหลงก็คิดว่าเด็กสาวอย่างจางฉุ้ยเหลียนนั้นหาได้ยากมากจริง ๆ เพราะความมีระดับของเธอนั้นก็ไม่ได้แตกต่างกับหล่อนมากนัก อีกทั้งจางฉุ้ยเหลียนยังให้ความเคารพหล่อนมากอีกด้วย เธอดีกว่าพวกเด็กผู้หญิงเหล่านั้นที่เคยมาดูตัวที่บ้านของหล่อนเสียอีก และอาจจะมีมากกว่าพวกเด็กผู้หญิงที่มาจากตระกูลที่สูงส่งเหล่านั้นอีกด้วย
ถ้าหลังจากนี้ลูกของหล่อนได้แต่งงานกับจางฉุ้ยเหลียนจริง ๆ ล่ะก็ เธอก็จะเชื่อฟังหล่อนอย่างแน่นอน ยิ่งคิดอันหลงก็ยิ่งรู้สึกดีมากขึ้นไปอีก หล่อนรู้สึกว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นเหมาะสมกับลูกชายสุดรักสุดหวงของหล่อนเป็นอย่างมาก
หลังจากที่วางสายจากผู้เป็นแม่แล้ว มุมปากของกู้จื้อเฉิงก็กระตุกยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ เขาเข้าใจความคิดแม่ของตัวเองดี ถ้าหากเขาพูดออกไปตรง ๆ ว่าเขาสนใจจางฉุ้ยเหลียน หล่อนจะต้องพูดข้อเสียของจางฉุ้ยเหลียนออกมาและพยายามกีดกันเขาไม่ให้คบกับจางฉุ้ยเหลียนอย่างแน่นอน ยิ่งแม่ของเขาที่เป็นคนที่มีฐานะทางสังคมสูงส่งแบบนั้นแล้ว หล่อนจะต้องปฏิเสธลูกสะใภ้อย่างจางฉุ้ยเหลียนอย่างแน่นอน
แม่ของเขาเป็นคนที่ถ้ามีใครมาดูถูกหล่อน คนที่หยิ่งยโสแบบหล่อนก็จะทนไม่ได้ แต่เมื่อหล่อนได้เห็นจางฉุ้ยเหลียนที่แตกต่างจากคนอื่น ยิ่งหล่อนได้ใกล้ชิดกับเธอมากเท่าไหร่ หล่อนก็จะยิ่งพอใจในตัวจางฉุ้ยเหลียนมากขึ้นเท่านั้น
เมื่อคิดได้ดังนั้น กู้จื้อเฉิงหยิบหนังสือพิมพ์ออกมาจากชั้นวางหนังสือพิมพ์ จากนั้นเขาก็รีบเดินตรงไปยังหอพักของเขาทันที
วันแรกของปีใหม่ ทุกคนต่างก็นอนหลับพักผ่อนกันด้วยความขี้เกียจ จนกระทั่งได้ยินเสียงประทัดจากด้านนอก เสียงของมันนั้นดังอึกทึกครึกโครมไปทั่ว จนทำให้ผู้คนต่างก็นอนต่อไปไม่ได้ เมื่อได้ยินเสียงประทัดจากด้านนอก จางฉุ้ยเหลียนจึงต้องคลานออกมาจากผ้าห่มด้วยความขี้เกียจ จากนั้นเธอก็ลุกจากเตียงมาใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยและเดินออกไปนอกห้องทันที
“เราต้องไปเยี่ยมญาติไหมคะ ? ” จางฉุ้ยหลียนขยี้ตาเล็กน้อย เธอยิ้มและถามตงลี่หวาออกไป
“พ่อของลูกออกไปตั้งแต่เช้าแล้วล่ะ เขาไปเคารพสุสานบรรพบุรุษกัน จากนั้นก็ไปเยี่ยมญาติอะไรกันนั่นแหละ ญาติพี่น้องของพ่อก็เริ่มจัดงานเลี้ยงฉลองแล้ว !” ตงลี่หวาไม่ได้เป็นคนที่ชอบงานเลี้ยงฉลองอะไรมากนัก เมื่อเห็นว่าลูกสาวตื่นแล้ว หล่อนก็เดินเข้าไปในครัว จากนั้นหล่อนก็เดินถือถ้วยบะหมี่ออกมาถ้วยหนึ่ง และยื่นมันไปให้กับจางฉุ้ยเหลียน เธอยื่นมือออกไปรับบะหมี่ถ้วยนั้นมา จากนั้นเธอก็พูดกับตงลี่หวาออกไปอย่างยิ้ม ๆ ว่า “งั้นวันนี้เราสองคนแม่ลูก ก็ได้หยุดพักแล้วสินะคะ ! ”
หลังจากที่กินบะหมี่ไปได้เพียงแค่สองสามคำ พวกเธอก็ได้ยินเสียงเคาะประตูที่หน้าบ้าน เมื่อตงลี่หวาเดินออกไปที่หน้าประตู หล่อนก็พบว่าคนที่มาเคาะประตูหน้าบ้านของหล่อนก็คือเพื่อนบ้านนั่นเอง เพื่อนบ้านคนนั้นพูดกับตงลี่หวาว่า “มีคนโทรศัพท์มาหาเธอน่ะ เธอไปรับสายหน่อยสิ !”
ตงลี่หวาพยักหน้าเป็นการตอบรับ จากนั้นหล่อนก็เดินตามเพื่อนบ้านคนนั้นออกไป ตงลี่หวาเดินออกไปไม่ถึง 1 นาที ก็มีคนมาเคาะประตูหน้าบ้านอีกครั้ง จากนั้นก็ได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดออกมาเบา ๆ ว่า “ลุงเซี่ย อยู่บ้านไหมครับ?”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินเสียงที่คุ้นหู เธอก็เอ่ยปากพูดออกไปว่า “พ่อออกไปข้างนอกค่ะ เข้ามารอข้างในก่อนสิคะ !”
จางฉุ้ยเหลียนที่กำลังเดินออกไปที่ประตูหน้าบ้าน ผู้ชายคนนั้นก็เดินเข้ามาในบ้านพอดี และเธอก็พบว่าคนที่มาบ้านของเธอก็คือ กัวเจี้ยนจวินที่เธอได้เจอเมื่อวานนั่นเอง
“ฉันเอาจักรยานมาคืนน่ะ” กัวเจี้ยนจวินยิ้มและพูดออกมา เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นหน้าของเขา เธอก็พบว่าเวลาที่เขาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ใบหน้าของเขาก็ยังคงมีสีแดงระเรื่อออกมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มไปเมื่อวานหลงเหลืออยู่เล็กน้อย
“อ้อ ความจริงแล้วไม่ต้องรีบเอามาคืนขนาดนั้นก็ได้นะคะ คุณเข้ามารอในบ้านก่อนเถอะค่ะ ! ” จางฉุ้ยเหลียนเพียงแค่พูดออกไปตามมารยาทเท่านั้น แต่เธอก็ไม่คิดเลยว่ากัวเจี้ยนจวินจะเดินเข้ามาในบ้านจริง ๆ
เขาถอดหมวกออกและปลดตะขอที่ติดปกเสื้อ จากนั้นก็นั่งลง “แม่ของเธอก็ไม่อยู่บ้านเหมือนกันหรือ ? ”
กัวเจี้ยวจวินเพิ่งจะรู้ว่าตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนอยู่บ้านคนเดียว
จางฉุ้ยเหลียนรินชาใส่แก้วและยื่นให้เขา จากนั้นก็พยักหน้าเป็นการตอบรับ “พ่อไปเคารพสุสานบรรพบุรุษน่ะค่ะ ส่วนแม่ก็ออกไปรับโทรศัพท์ที่ข้างบ้าน”
กัวเจี้ยนจวินพยักหน้า : “ดีเลย ฉันมีเรื่องอยากพูดกับเธออยู่พอดี”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกกดดันขึ้นมา ความจริงแล้วเธออยากจะเดินหนีออกไปเลยด้วยซ้ำ แต่กัวเจี้ยนจวินก็เป็นคนตรงไปตรงมา เมื่อมีโอกาสเขาจึงพูดกับจางฉุ้ยเหลียนอย่างไม่ลังเลในทันที
เขาเริ่มเอ่ยปากพูดออกมาว่า “ถึงแม้ว่าเราจะเจอกันครั้งแรกเมื่อวาน แต่ฉันก็ดูออกว่าเธอนั้นเป็นหญิงสาวที่ทันสมัยมากคนหนึ่ง และเธอก็ดูไม่เหมือนเด็กสาวที่มาจากชนบทเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งเธอยังไม่มีความคิดที่ล้าสมัยเหมือนกับผู้หญิงที่ไม่เคยผ่านโลกมาก่อนพวกนั้นอีกด้วย”
จางฉุ้ยเหลียนก้มหน้าลง เธอรู้ว่าผู้ชายคนนี้ต้องการที่จะพูดอะไรกับเธอ กัวเจี้ยนจวินวางมือลงไปบนโต๊ะกระจก จากนั้นเขาก็พูดต่อไปว่า “ความจริงแล้วฉันอยากจะมาพูดกับพ่อแม่ของเธอมากกว่า แต่ก็ดูเหมือนว่าวันนี้จะไม่มีโอกาส แต่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าคนเยอะเกินไป มันก็อาจจะรบกวนความคิดของเธอได้ ”
จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นและสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ : “ฉันเป็นคนเปิดกว้าง คุณพูดออกมาตรง ๆ เลยดีกว่าค่ะ”
กัวเจี้ยนจวินพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “ฉันรู้สึกว่าเธอเป็นคนดีมากคนหนึ่ง ฉันก็เลยอยากจะถามเธอว่า เธออยากจะคบกับฉันไหม !”
ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะเตรียมใจมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่เมื่อเอาเข้าจริง ๆ เธอก็อดที่จะหน้าแดงออกมาด้วยความเขินอายไม่ได้
เมื่อเห็นดังนั้น กัวเจี้ยนจวินก็ยิ้มออกมา จากนั้นเขาก็พูดต่อไปว่า: “เธอไม่ต้องอายหรอก มันก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ ฉันขอแนะนำตัวเองก่อนแล้วกัน ฉันชื่อกัวเจี้ยนจวิน เป็นทหารประจำการนายหนึ่ง ปีนี้ฉันอายุ 25 ปีแล้ว ฉันมีพี่ชาย 3 คนและพี่สาวอีก 2 คน ตอนนี้พวกเขาก็แต่งงานหมดแล้ว พ่อกับแม่ของฉันเป็นเกษตรกร พวกเขาไม่ได้มีอาชีพเสริมอะไร แต่ร่างกายของพวกเขาก็ยังแข็งแรงดีอยู่ ดังนั้นฉันจึงอยากจะถามเธอว่าเธอจะยอมตกลงคบกับฉันไหม ถ้าเธอยอมตกลงคบกับฉัน รอเธอเรียนจบ เราค่อยแต่งงานกันก็ได้”
จางฉุ้ยเหลียนถึงกับหมดคำพูดเลยทีเดียว นี่เป็นการสารภาพรักที่ตรงมากจริง ๆ เธอจะพูดกับเขายังไงดี และเธอจะตอบเขาไปว่ายังไงดีล่ะ ? คุณพระคุณเจ้า เมื่อไหร่แม่ของเธอจะกลับมาเนี่ย เธออึดอัดจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว
เมื่อกัวเจี้ยนจวินเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนเอาแต่ก้มหน้า ไม่ยอมพูดอะไรกลับมา เขาก็ไม่รู้เช่นกันว่าเธอจะยอมหรือไม่ยอมคบกับเขา หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เขาก็พูดออกไปเบา ๆ ว่า “หลังจากที่เราแต่งงานกันแล้ว ฉันก็จะให้อิสระกับเธอเต็มที่ เธออยากจะทำอะไรก็ได้ทั้งนั้นตามใจเธอเลย ฉันรู้ว่าเรื่องนี้มันกะทันหันไปหน่อย แต่เธอไม่ต้องรีบร้อนตัดสินใจหรอก เธอเอาเรื่องนี้กลับไปคิดดูก็ได้ กว่าฉันจะกลับเข้ากรมอีกทีก็เดือนห้าโน่น เธอยังมีเวลาคิดอีกเยอะ”
จางฉุ้ยเหลียนอยากจะพูดออกไปมากว่า : ไม่ต้องคิดหรอก ฉันไม่ยอมคบกับคุณอยู่แล้ว เพราะฉันมีคนในใจอยู่แล้ว ฉันจะรับรักคุณได้ยังไงล่ะ
แต่ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะได้พูดอะไรออกไป เธอก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูบ้านเข้ามาเสียก่อน สักพักก็ได้ยินเสียงของตงลี่หวาถามขึ้นมาว่า “ฉุ้ยเหลียน มีแขกมาอย่างนั้นหรือ ? ”
มีคนมาช่วยชีวิตเธอแล้ว จางฉุ้ยเหลียนจึงลุกขึ้นและตอบแม่ของเธอออกไปทันทีว่า “อื้อ เขาเอารถจักรยานมาคืนน่ะค่ะ!”
ตงลี่หวาเดินยิ้มเข้ามาในบ้าน “แม่ก็ว่า ทำไมถึงมีรถจักรยานจอดอยู่หน้าบ้าน เธอปั่นจักรยานมาพร้อมกันสองคันอย่างนั้นหรือ ? ”
กัวเจี้ยนจวินพยักหน้าเป็นการตอบรับ “ใช่ครับ เอาไว้ปั่นกลับบ้านน่ะครับ !”
จางฉุ้ยเหลียนถามแม่ของเธอออกไปราวกับว่าเมื่อสักครู่นี้ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น: “แม่ ใครโทรมาหรือคะ ? ”
ตงลี่หวายิ้มพร้อมกับส่ายหน้าว่าไม่มีอะไร ส่วนกัวเจี้ยนจวินนั้นเขาก็วางตัวดี เขาลุกขึ้นยืนและเตรียมที่จะกล่าวลา “คุณป้าครับ งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ คุณป้ากับฉุ้ยเหลียนจะได้ทำงานต่อ !”
ตงลี่หวายิ้มและเดินออกไปส่งกัวเจี้ยนจวินที่หน้าบ้าน “วันนี้คุณลุงไม่อยู่บ้าน ไม่อย่างนั้นป้าก็คงจะให้เขาดื่มเป็นเพื่อนเธอแล้วล่ะ”
กัวเจี้ยนจวินยิ้มและพูดขึ้นว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ วันหยุดของผมมันก็น้อย ผมก็อยากจะใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่ให้มากที่สุด!”
เมื่อเห็นกัวเจี้ยนจวินปั่นจักรยานออกไปแล้ว ตงลี่หวาก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน เมื่อเดินเข้ามาในบ้านแล้ว หล่อนก็ถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปทันทีว่า : “เขามาขอคบกับลูกใช่ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นเธอก็ถามผู้เป็นแม่ออกไปว่า “แม่ได้ยินด้วยหรือคะ ? ”
ตงลี่หวายิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย “แม่ไม่ได้ยินหรอก แม่แค่เดาเอาน่ะ ถ้าเขาไม่ได้มาขอลูกคบ เขาจะรีบเอาจักรยานมาคืนทำไมล่ะ จริงไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันที “แม่ไม่รู้สึกว่ามันดูไม่เหมาะสมหรือคะ ? ทั้ง ๆ ที่พ่อกับแม่ก็ไม่อยู่บ้าน แต่เขากลับเดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับพูดเรื่องนี้กับหนู !”
ตงลี่หวาหัวเราะออกมา เมื่อได้ฟังความคิดของลูกสาว “ทำไมลูกถึงได้หัวโบราณแบบนี้ล่ะ เหมือนแม่เฒ่าไม่มีผิด !”
จางฉุ้ยเหลียนตอบกลับไปว่า “หนูรู้สึกว่ามันดูไม่ดีน่ะค่ะ อีกอย่างเราก็เพิ่งจะเคยเจอกันครั้งแรกเมื่อวาน แล้วเราก็ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลยด้วย แต่เขาก็ยังเข้ามาคุยเรื่องนี้กับหนูในบ้าน ทั้ง ๆ ที่หนูอยู่บ้านคนเดียว !”
ตงลี่หวาเงยหน้าหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นก็ถามกลับไปว่า “ตอนนี้มันก็ยังกลางวันอยู่เลย แล้วพวกลูกก็นั่งไกลกันซะขนาดนั้น เขาจะทำอะไรลูกได้ล่ะ ? แต่จะว่าไปเด็กคนนี้ก็สารภาพออกมาตรงมากจริง ๆ ”
เมื่อพูดจบตงลี่หวาก็ถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปอีกครั้งว่ากัวเจี้ยนจวินพูดอะไรกับเธอกันแน่
จางฉุ้ยเหลียนเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ให้แม่ของเธอฟังด้วยความรู้สึกอึดอัดใจ “เขามาถามหนูว่าหนูจะยอมตกลงคบกับเขาได้ไหม เขาให้เวลาหนูคิดก่อนที่เขาจะกลับเข้ากรม แต่ยังไม่ทันที่หนูจะได้พูดปฏิเสธเขาออกไปตรง ๆ แม่ก็กลับเข้ามาเสียก่อน เดี๋ยวหนูจะรอให้พ่อกลับมาที่บ้าน แล้วหนูจะให้พ่อเป็นคนไปบอกเขาค่ะว่า หนูไม่ยอมตกลงคบกับเขา !”