px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 44 หยั่งเชิง


ตอนที่ 44 หยั่งเชิง

 

อีกด้านหนึ่งที่บ้านตระกูลจาง การฉลองปีใหม่ในครั้งนี้พวกเขาก็ไม่ได้จัดกันอย่างยิ่งใหญ่เหมือนกับทุกปี ที่มันเป็นอย่างนี้มันก็เป็นเพราะว่าเช่าหวานั้นเป็นคนขี้เกียจสันหลังยาว ในวันฉลองปีใหม่นั้นมีงานหลายอย่างที่จะต้องทำ แต่เมื่อหล่อนเริ่มทำไปได้เพียงนิดเดียว หล่อนก็เลิกทำไปเสียอย่างนั้น

 

ในขณะที่นั่งกินมื้อเที่ยงกันอยู่ในบ้าน ย่าของจางฉุ้ยเหลียนก็พูดออกมาอย่างเลี่ยงไม่ได้

 

“ผ้าม่านก็เลอะฝุ่นไปหมด ตอนเช็ดกระจกด้านหลังได้ซักผ้าม่านด้วยไหม ? ”

 

“แล้วได้นึ่งหมั่นโถวรูปดอกไม้กับหมั่นโถวรูปสามเหลี่ยม แล้วก็เกี๊ยวแล้วรึยัง ? ”

 

“ไม่ได้ซื้อผักเข้าบ้านหรือ ? ปีที่แล้วก็ทำอาหารแค่สองอย่างนี้ อย่างนั้นหรือ ? เสี่ยวหวา ปีนี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมมันถึงได้เป็นอย่างนี้ ? ”

 

เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ ทุกคนในบ้านต่างก็รู้ว่าที่วันฉลองปีใหม่ในครั้งนี้มันเป็นอย่างนี้สาเหตุมันเกิดจากอะไร เพราะไม่มีจางฉุ้ยเหลียนมาคอยทำความสะอาดหรือทำอาหารให้ วันฉลองปีใหม่ในครั้งนี้มันถึงได้เป็นเช่นนี้ ตามประเพณีเมื่อใกล้ถึงวันปีใหม่ สิ่งแรกที่จะต้องทำก็คือการทำความสะอาดบ้าน เช็ดกระจก ซักเสื้อผ้า ซักม่านหน้าต่าง และซักผ้าปูโต๊ะ แต่เมื่อไม่มีคนคอยทำให้ บ้านมันจะไปสะอาดได้ยังไงล่ะ

 

เมื่อได้ยินดังนั้นเช่าหวาก็พูดแก้ตัวออกไปว่า “หนูนั่งปะติดกล่องลังอยู่ในบ้านทุกวัน หนูจะเอาเวลาที่ไหนไปทำงานบ้านได้ล่ะคะ”

 

ย่าของจางฉุ้ยเหลียนไม่อยากจะฟังคำพูดแก้ตัวของเช่าหวาอีกต่อไป หล่อนจึงได้ทำได้เพียงแค่กวาดสายตามองไปรอบ ๆ บ้านเท่านั้น เมื่อเห็นดังนั้น เช่าหวาก็รู้สึกเกลียดจนอยากจะพ่นคำด่าออกไป แต่หล่อนก็ทำแบบนั้นไม่ได้

 

อาหารมื้อค่ำของตระกูลจางนั้นแตกต่างกับตระกูลเซี่ยราวฟ้ากับเหว เพราะที่บ้านพวกเขามีแค่ผักกาดขาวผัดมันฝรั่ง ปลานึ่งวุ้นเส้น หมูผัด ไก่ตุ๋นมันฝรั่ง มันฝรั่งเส้นฝอยผัดน้ำมัน สาหร่ายตุ๋นเต้าหู้ แล้วก็อาหารเรียกน้ำย่อยจำพวกผัดกาดขาวและเต้าหู้แห้ง

 

จางกว่างฝูไม่ได้รู้สึกเสียหน้าแต่อย่างใด เขากวักมือเรียกทุกคนมากินข้าวด้วยกัน เมื่อเข้ามานั่งร่วมวงกินข้าวแล้ว ทั้งสามคนยื่นก็ตะเกียบออกไปคีบเนื้อไก่ เนื้อปลา และหมูผัดมากินกันคนละคำ

 

จางกว่างโหยว รวมทั้งปู่และย่าของจางฉุ้ยเหลียนต่างก็กินได้แค่ผัดกาดขาวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เมื่อมองไปยังอาหารอันน้อยนิดที่วางอยู่บนโต๊ะ ทุกคนต่างก็ไม่มีใครกล้ากินอะไรเลย ราวกับว่าถ้าตนกินเยอะไป คนอื่นอาจจะไม่ได้กินอย่างไรอย่างนั้น

 

“ไอ้หยา ทำไมพี่สะใภ้ไม่กินล่ะ ? หรืออาหารบ้านเราไม่ถูกปากพี่อย่างนั้นหรือ ? ไอ้หยา พี่สะใภ้ก็รู้ว่าฐานะบ้านเรามันยากจนมากแค่ไหน บ้านเราก็มีแค่หัวไชเท้า ผักกาดขาว และมันฝรั่งเท่านั้นแหละ พี่สะใภ้ก็ทน ๆ กินเข้าหน่อยแล้วกัน แล้วอีกอย่างพี่สะใภ้ก็เห็นว่าลูกชายของฉันกินอย่างเอร็ดอร่อยมากแค่ไหน

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเช่าหวา ทุกคนก็ยิ่งไม่กล้ากินเข้าไปใหญ่ ย่าของจางฉุ้ยเหลียนนั้นรู้สึกปวดใจเป็นอย่างมาก หล่อนจึงพูดออกไปว่า “เสี่ยวหวา เธอก็เริ่มเลี้ยงหมูตั้งแต่ต้นฤดูใบไหม้ผลินี้เลยสิ พอเธอเลี้ยงจนครบหนึ่งปี ปีใหม่ครั้งหน้าเธอก็จะได้กินเนื้อหมูพอดี”

 

เช่าหวาแสยะยิ้มและพูดออกมาว่า “เราทำอย่างที่คุณแม่พูดไม่ได้หรอกค่ะ บ้านเรายากจนขนาดนี้ เราจะเอาอาหารที่ไหนให้หมูกินล่ะคะ

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเช่าหวา หลิวกุ้ยเฟินก็อดที่จะพูดออกไปไม่ได้ว่า “ทำไมจะไม่มีล่ะ เธอก็แค่ซื้อรำข้าวมาก็พอแล้ว อีกอย่างตอนที่ฉันออกไปหาหญ้ามาให้หมู เธอก็ไปกับฉันไง”

 

เช่าหวาเบะปาก จากนั้นก็พูดออกไปว่า “คำพูดของพี่สะใภ้มันฟังดูง่ายจังเลยนะคะ แต่ถ้าเลี้ยงหมูมันง่ายขนาดนั้น ทำไมพี่ไม่เคยทำอาหารให้หลานชายของพี่กินเลยล่ะ”

 

หลิวกุ้ยเฟินพยายามอดกลั้นความโกรธเอาไว้ แต่กลับเป็นย่าของจางฉุ้ยเหลียนที่โกรธขึ้นมาแทน “หล่อนไม่ได้ทำอาหารให้พวกเธอกินอย่างนั้นหรือ ถ้าหล่อนไม่ได้ทำอาหารให้พวกเธอกินแล้วกับข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะตอนนี้ล่ะ มันหมายความว่ายังไง ? ตัวเองไม่ทำการทำงานอะไรสักอย่าง แล้วยังมีหน้ามาว่าคนอื่นอีกอย่างนั้นหรือ ? ”

 

เช่าหวาโยนถ้วยที่ถืออยู่ในมือลงไปบนโต๊ะทันที จากนั้นหล่อนก็ตะโกนออกไปเสียงแหลมว่า “เราไม่ทำการทำงานตรงไหนกัน ถ้าคุณแม่เอาเวลามาดูแลลูก ๆ  ให้เรา เราก็มีเวลาออกไปทำงานหาเงินแล้วล่ะค่ะ และตอนนี้เราก็คงจะมีเงินมีทองเยอะแล้วด้วย”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น ย่าของจางฉุ้ยเหลียนก็ถึงกับตัวสั่นขึ้นมาด้วยความโกรธในทันที จากนั้นหล่อนก็กัดฟันกรอดและพูดออกไปว่า “เธอว่ายังไงนะ ? ”

 

แต่หลิวกุ้ยเฟินกลับไม่ได้รู้สึกโกรธแต่อย่างใด นอกจากจะพูดกับเช่าหวาออกไปว่า “เธอบอกว่าที่เธอจนอยู่แบบนี้ มันเป็นเพราะคุณแม่ไม่ได้ไปดูแลลูก ๆ ให้เธออย่างนั้นหรือ ว่าแต่เธอมีลูกด้วยหรือ ? ตอนนั้นฉันจำได้นะว่าตอนที่เธอคลอดจางฉุ้ยเหลียนออกมา เธอก็ส่งหล่อนไปให้คนอื่นเลี้ยงแล้ว และตอนที่เธอคลอดลูกคนที่สอง คุณแม่ก็ขาหักนอนติดเตียงอยู่ตั้งครึ่งปี คุณแม่จะไปช่วยเธอดูแลลูกได้อย่างไรล่ะ ? ”

 

จางฉุ้ยหลินก็ทนฟังไม่ได้อีกต่อไป เขาจึงพูดออกไปว่า “คุณอาสะใภ้รองก็มักจะพูดแบบนี้เสมอ อย่าว่าแต่เมื่อก่อนเลยครับ ปีที่แล้วจางฉุ้ยเหลียนก็เป็นคนออกไปหาเงินด้วยการรับปะติดกล่องลังตั้งเดือนหนึ่ง จนได้เงินมา 100 หยวนด้วยตัวเอง แต่อาสะใภ้รองก็เอาแต่ออกไปเล่นไพ่นอกบ้านทุกวัน แล้วอย่างนี้คุณอาสะใภ้รองจะเอาเวลาที่ไหนไปทำงานล่ะครับ”

 

เมื่อย่าของจางฉุ้ยเหลียนได้ยินดังนั้น หล่อนก็ยิ่งฉุนเฉียวมากขึ้นไปอีก จากนั้นก็เริ่มโพล่งด่าจางกว่างฝูออกไปว่า “แกมันก็ไร้ค่า หาแต่เรื่องไม่เว้นแต่ละวัน แกลองมองดูชีวิตที่ผ่านมาแต่ละวันของแกสิ ขนาดแค่วันฉลองปีใหม่ เจ้าโง่หวังมันยังทำได้ดีกว่าแกเลย”

 

ความหมายที่ย่าของจางฉุ้ยเหลียนต้องการจะสื่อก็คือ ความจริงแล้วเจ้าโง่หวังไม่ได้เป็นคนโง่แต่อย่างใด เพราะหลังจากที่ภรรยาของเขาเสียไป เขาก็พาลูกสาวทั้งสองคนและลูกชายอีกหนึ่งคนออกไปทำงานด้วยการเก็บปุ๋ยหมักตามบ้าน นานวันเข้าก็ถูกคนประณามว่าเป็นคนโง่

 

สุดท้ายแล้วมื้ออาหารในวันฉลองปีใหม่ก็ดำเนินไปอย่างวุ่นวาย พวกเขาสองสามีภรรยาก็ถูกด่าอยู่ตั้งครึ่งค่อนวัน จางกว่างฝูนั้นโกรธจนแทบจะเป็นบ้า ส่วนเช่าหวาก็เอาแต่ร้องไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตา

 

“ว่าแต่เธอเถอะ ทำไมถึงไม่ทำความสะอาดบ้านให้ดี ทำไมต้องให้แม่มาคอยด่าสั่งสอนแบบนี้ด้วย เธอเห็นไหมว่าแม่ด่ามาถึงฉันเลยเนี่ย ” จางกว่างฝูอดที่จะบ่นภรรยาของตัวเองออกไปไม่ได้

 

เช่าหวาปาดน้ำตาเล็กน้อยแล้วพูดออกไปว่า “แล้วทำไมคุณไม่ทำเองล่ะ?  ฉันว่าที่แม่ของคุณด่าพวกเรามันก็คงจะเป็นเพราะว่าหล่อนไม่ชอบอาหารของเรา และก็คงจะรังเกียจเราด้วยที่เรายากจน ลองให้พี่สะใภ้ของคุณทำผัดกาดขาวผัดมันฝรั่งเหมือนกับเราสิ ถึงอย่างไรแม่ของคุณก็ต้องบอกว่าหล่อนมีชีวิตที่ดีอย่างแน่นอน

 

สองสามีภรรยาเริ่มมีปากเสียงกัน พวกเขาไม่ได้ให้เกียรติวันฉลองปีใหม่เลยแม้แต่น้อย อีกด้านหนึ่ง จางฉุ้ยจวินเด็กเกเรก็กำลังแอบย่องออกไปจากบ้าน เขาแอบวิ่งไปเล่นที่บ้านของหลี่หยวนเหอ เขากับหลี่หยวนเหอและหลี่หยวนเจียงพี่ชายของหลี่หยวนเหอนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน พวกเขาทั้งสามคนยังเด็กจึงไม่ได้สนใจเรื่องราวก่อนหน้านี้ที่ครอบครัวของพวกเขารู้สึกอึดอัดใจต่อกันเลยแม้แต่น้อย

 

หลังจากที่ทำความสะอาดบ้านแล้ว จางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวาก็เข้าไปพักผ่อนในห้องของตัวเอง เมื่อพักผ่อนจนมีแรงแล้ว พวกเธอก็ช่วยกันเตรียมมื้อค่ำ และมันก็เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในวันฉลองปีใหม่

 

ขาหมูตุ๋นผัดซอส มันฝรั่งผัดเนื้อสับ ปลาราดซอส ซี่โครงหมูตุ๋น ตีนเป็ดต้มพะโล้ ไก่ต้มซีอิ๊ว ยำสามกรอบ ผัดผัก 5 สี  ต้นหอมผัดไข่ ผัดถั่วงอก ลูกพีชเชื่อม หมูก้อนหมักซอส อาหารทั้ง 12 อย่าง ได้ถูกเขียนลงบนกระดาษและถูกแปะติดไว้บนหน้าต่างห้องครัวเป็นที่เรียบร้อย

 

“ฉุ้ยเหลียน รีบมาดูโทรทัศน์เร็ว การแสดงจะเริ่มแล้วนะ ” เซี่ยจวินเคาะหน้าต่างเรียกจางฉุ้ยเหลียนให้ออกมาดูโทรทัศน์ด้วยกัน

“ไอ้หยา มาแล้ว” จางฉุ้ยเหลียนอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น

 

ในเวลานี้ จางฉุ้ยเหลียนก็ทำการตุ๋นซี่โครงหมูและขาหมูตุ๋นผัดซอสไว้อย่างละหม้อ และทำการต้มตีนเป็ดพะโล้แยกไว้บนเตาเล็ก ๆ อีกเตาหนึ่งด้วย

 

เมื่อคำนวณเวลาที่ต้องการจะตุ๋นเรียบร้อยแล้ว จางฉุ้ยเหลียนจึงรีบเช็ดมือและเดินกลับเข้าไปในบ้านทันที

 

งานแสดงในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1989 ได้เริ่มขึ้นแล้ว หลังจากที่ได้ดูการแสดงแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็พบว่ามันน่าสนใจมากเลยทีเดียว ด้วยความที่ชาติที่แล้วเธอได้เห็นการแสดงที่ยอดเยี่ยมมามากมาย เธอจึงไม่ได้ใส่ใจกับการแสดงอะไรอีก แต่เมื่อได้กลับมาดูการแสดงในครั้งนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกว่ามันน่าสนใจมากจริง ๆ

 

ตงลี่หวามองดูการแสดงการดนตรีในโทรทัศน์ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นตาตื่นใจ

 

ในตอนที่ดูการแสดงสุดคลาสสิกเรื่องวันแม่ผู้เป็นวีรสตรีนั้น สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยต่างก็พากันเอ่ยปากชมการแสดงของอาจารย์จาวลี่หลงกันอย่างไม่ขาดปาก จางฉุ้ยเหลียนก็เพิ่งจะได้สัมผัสกับศิลปะการแสดงของคนรุ่นเก่าเป็นครั้งแรก ในทุก ๆ วันปีใหม่ในชาติที่แล้วของจางฉุ้ยเหลียน ละครเวทีสุดคลาสสิกแบบนี้ก็ได้นำกลับมาฉายซ้ำทางโทรทัศน์ทุกปีเช่นเดียวกัน เมื่อได้ดูหลาย ๆ ครั้งติดต่อกัน มันจึงทำให้เธอเริ่มสนใจการแสดงเหล่านี้ขึ้นมา

 

การดูโทรทัศน์ของจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ทำให้งานบ้านของเธอล่าช้าแต่อย่างใด เธอนำกะละมังใบหนึ่งมาวางไว้ด้านหน้าของเธอ จากนั้นก็เอาแผ่นไม้มาวาง จางฉุ้ยเหลียนห่อเกี๊ยวไปพลาง และดูโทรทัศน์ไปพลาง

 

ตงลี่หวากำลังจะยื่นมือเข้ามาช่วย แต่จางฉุ้ยเหลียนก็พูดห้ามออกไปก่อนว่า “เกี๊ยวแค่ไม่กี่จานเอง แม่ไม่ต้องช่วยหนูห่อหรอกค่ะ แม่นั่งกินเมล็ดแตงโมพร้อมกับดูโทรทัศน์สบาย ๆ ไปดีกว่าค่ะ”

 

สองสามีภรรยาต่างก็หันมามองหน้ากัน จากนั้นตงลี่หวาก็คลี่ยิ้มออกมา และพูดออกไปว่า “แม่ยังไม่แก่ขนาดนั้นเสียหน่อย รอให้แม่แก่จนเป็นแม่เฒ่าก่อนเถอะ ถึงตอนนั้นแม่จะนอนเฉย ๆ ไม่ทำอะไรเลย

 

เซี่ยจวินเองก็พูดขึ้นมาอย่างภาคภูมิใจว่า “ก็จริง ตอนนี้เรายังเลี้ยงลูกสาวของเราได้ ถึงแม้ว่าอนาคตลูกจะกลายเป็นลูกสะใภ้บ้านอื่นแล้ว เราก็จะเลี้ยงลูกต่อไปอยู่ดี

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้เลยว่า ความจริงแล้วเรื่องราวสุดคลาสสิกมากมายในยุคสมัยใหม่มันก็มีความแตกต่างกับในยุคสมัยนี้เป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น บทเพลงสุดคลาสสิก “การอุทิศเพื่อความรัก” หรือไม่ก็ท่าเต้น “นกยูง” ของหยางลี่ผิงก็แตกต่างกับการแสดงในยุคสมัยใหม่มากเลยทีเดียว

อาหารทั้งหมดถูกรังสรรค์ขึ้นมาพร้อมเสิร์ฟ แม้แต่เกี๊ยวก็ถูกยกมาวางบนโต๊ะอาหารเช่นกัน ในโทรทัศน์ขณะนี้ซ่งตานตานก็กำลังแสดงละครเรื่อง “การดูตัวแบบฉบับคนขี้เกียจ” อยู่ และประโยคยอดนิยมของเรื่องนี้ที่บอกว่า : “แม่บอกแล้ว” “แม่บอกแล้ว” ความจริงแล้วก็ถือว่าเป็นการล้างสมองอย่างหนึ่ง

 

ตงหลี่หวาอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “ถ้าไม่ใช่เพราะสายตาไม่ดี ก็คงจะไม่เห็นว่ากล่องกระดาษเป็นโทรทัศน์หรอก ฮ่าฮ่า ฮ่า ฮ่า ของใช้เพียงอย่างเดียวที่มี ก็คือกระติกเก็บน้ำร้อนอย่างนั้นหรือ ทำไมมันตลกแบบนี้นะ

 

เซี่ยจวินดันหลังตงหลี่หวาออกไปเล็กน้อย “หยุดขำได้แล้ว กินข้าวก่อนเถอะ อย่ามัวแต่หัวเราะ” ตอนนี้อาหารทุกอย่างก็ได้จัดไว้จนเต็มโต๊ะแล้ว และหน้าตาของอาหารก็ดูดีมากเลยทีเดียว

 

“ไอ้หยา อาหารมากมายขนาดนี้ กินไปจนถึงเดือนห้า เราก็ยังกินกันไม่หมดเลย ” เซี่ยจวินถูมือไปมา ถึงแม้ว่าเขาจะพูดออกไปแบบนั้น แต่เขาก็ไม่ได้แสดงสีหน้าโกธรเคืองออกมาแต่อย่างใด

 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ อาหารทุกจานที่หนูทำ มันก็แสดงถึงความเหลือกินเหลือใช้ทุก ๆ ปีของเราไงคะ !” จางฉุ้ยเหลียนกระพริบตาปริบ ๆ เมื่อได้ยินดังนั้นสองสามีตระกูลเซี่ยก็หัวเราะเสียงดังออกมาทันที

 

นี่เป็นการฉลองปีใหม่ครั้งแรกของจางฉุ้ยเหลียนหลังจากที่เธอกลับชาติมาเกิดใหม่ และก็เป็นวันแรกที่สามีภรรยาตระกูลเซี่ยมีความสุขแบบนี้ เพราะพวกเขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าพวกเขาจะมีวันนี้อีก หลังจากที่พวกเขาไม่ได้เจอกับจางฉุ้ยเหลียนมานาน

 

“มา มา ดื่มกันสักหน่อย ” เซี่ยจวินพูดออกมา จางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวาต่างก็พยักหน้าเป็นการตอบตอบรับ จากนั้นทั้งสามคนก็ยกเหล้าขึ้นดื่มพร้อมกัน เมื่อยกดื่นจนหมดแก้วแล้ว พวกเขาก็ร่วมกินอาหารฉลองวันปีใหม่กันอย่างมีความสุข

 

สองสามีภรรยากินไปพลางและดูโทรทัศน์ไปพลาง ส่วนทางด้านจางฉุ้ยเหลียน เธอก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมา จากนั้นก็พูดออกไปเบา ๆ ว่า “กู้จื้อเฉิง สุขสันต์วันปีใหม่นะ

 

อีกด้านหนึ่ง กู้จื้อเฉิงที่กำลังกินเลี้ยงเฉลิมฉลองวันปีใหม่กับเพื่อน ๆ ทหารของเขาอย่างมีความสุขอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็จามออกมา

 

หลังจากที่กินเกี๊ยวแล้ว เขาก็กลับเข้าไปในห้องพักของตัวเอง และนอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียง หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่พักใหญ่ เขาก็ตัดสินใจเดินเข้าไปที่ห้องทำงาน และหยิบโทรศัพท์ในห้องทำงานขึ้นมา เพื่อโทรไปหาคนที่บ้าน

 

“ลูกรัก ลูกกินเกี๊ยวรึยัง ? ” เมื่อรับสาย อันหลงก็ถามขึ้นมาทันที

“กินแล้วครับ พ่อกับแม่ล่ะครับกินกันรึยัง ? ” กู้จื้อเฉิงยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำถามของผู้เป็นแม่ และเขาก็คิดว่าตอนนี้ครอบครัวของเขาก็คงจะกินเกี๊ยวกันแล้วเช่นกัน

 

“กินหมดตั้งนานแล้วล่ะ ตอนนี้พ่อของลูกกำลังนอนอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้อง ส่วนน้องสาวของลูกก็กำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ แล้วลูกล่ะได้ดูการแสดงในโทรทัศน์ไหม ? ” อันหลงกำลังนั่งปาดน้ำตาอยู่บนโซฟา พร้อมกับถามกู้จื้อเฉิงออกไป จากนั้นหล่อนก็พูดต่อไปอีกว่า “ลูกรัก ลูกไม่ได้กลับบ้านช่วงปีใหม่หลายปีแล้วนะ”

 

ในขณะนั้นเอง กู้จื้อเฉิงก็ได้ยินเสียงของกู้เต๋อไห่ลอยเข้ามาในสาย จากนั้นอันหลงก็รีบสูดลมหายใจเข้าและเปลี่ยนน้ำเสียงทันที

 

หล่อนยิ้มและพูดขึ้นว่า “ลูกรู้ไหม นิยายเรื่องสั้นของจางฉุ้ยเหลียนได้ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์แล้วนะ หล่อนเขียนในสิ่งที่ลูกบอกออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบมากเลยล่ะ เหอะ! ถ้าไม่ใช่เพราะข้อมูลของลูกนิยายของหล่อนก็ไม่ได้รับการตีพิมพ์หรอก

 

เมื่อได้ยินชื่อของจางฉุ้ยเหลียน นัยน์ตาของกู้จื้อเฉิงก็สะท้อนความอ่อนโยนออกมาทันที  จากนั้นเขาก็ตอบผู้เป็นแม่ออกไปเบา ๆ ว่า “ผมอ่านแล้วล่ะครับ เรื่องนี้เป็นเรื่องก่อนที่ผมจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องทหารกับเธอเสียอีก”

 

อันหลงทอดถอนหายใจออกมา “ก่อนปีใหม่ เธอก็มาบ้านเราครั้งหนึ่ง เธอถักผ้าพันคอมาให้น้องสาวกับพ่อของลูกน่ะ เธอบอกว่าเพื่อเป็นการขอบคุณที่ลูกช่วยเหลือเธอ ไอ้หยา เด็กคนนี้ไม่เลวเลยจริง ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะฐานะทางบ้านของเธอไม่ดี แม่ก็ให้ลูกแต่งงานกับเธอแล้วล่ะ

 

“แม่ครับ เธออายุห่างกับผมตั้งหลายปี

 

 เมื่ออันหลงได้ยินดังนั้น หล่อนก็ถลึงตาออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็พูดเสียงสูงขึ้นมาว่า : “อายุห่างกันแล้วยังไงล่ะ สมัยนี้ใคร ๆ เขาก็หาคู่ที่อายุน้อยกว่าตัวเองกันทั้งนั้นแหละ

 

กู้จื้อเฉิงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงว่า “แต่สิ่งสำคัญสุดก็คือเธอไม่ได้คิดกับผมแบบนั้นนะครับ แม่คิดูสิว่ากว่าเธอจะเรียนจบก็อีกตั้ง 3 ปี พอเธอเรียนจบแล้ว เธอก็จะได้ทำงานดี ๆ จากนั้นเธอก็ต้องหาคนที่มีงานดี ๆ ฐานะมั่นคงมาแต่งงานด้วยอยู่แล้ว แบบนั้นก็คงจะดีกว่าการที่เธอจะมาแต่งงานกับคนที่ไม่ค่อยได้อยู่บ้านแบบผม แม่หยุดคิดเรื่องนี้ไปเถอะ เพราะถึงอย่างไรคนอย่างเธอก็คงจะไม่ปรายตามามองคนอย่างผมหรอก”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น อันหลงก็พูดออกไปด้วยความร้อนใจว่า “ใครบอก แม่ไม่ได้คิดอย่างนั้นเสียหน่อย เด็กคนนี้ให้ความสำคัญกับความรู้สึกมาก ลูกก็เห็นว่าหล่อนมาบ้านเราตั้งหลายครั้ง เพื่อเป็นการขอบคุณลูก เธอก็ถักถุงมือมาให้ลูกด้วย”

 

แววตาของกู้จื้เฉิงลุกวาวขึ้นมาทันที “จริงหรือครับ? แต่ถึงแม้ว่าเธอจะถักถุงมือมาให้ผม แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะชอบผมนะครับ ผมไม่อยากให้ใครเข้าใจผิด แม่ครับ ลูกชายของแม่ก็ไม่ได้มีฐานะที่ดีแล้วก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรอีกด้วย ถ้าไปบอกใครต่อใครว่าผมหาภรรยาที่ทั้งสวย อีกทั้งยังมีความสามารถแบบนั้นได้ ใครเขาจะเชื่อกันล่ะครับ”

 

กู้จื้อเฉิงพูดออกไปอย่างยอมแพ้ว่า “แม่ลองคิดดูนะครับ เพื่อนทหารของพ่อ ก็ไม่มีใครที่ได้แต่งงานกับนักเขียนเลยแม้แต่คนเดียว คนที่ทั้งสวยและมีความสามารถแบบนั้น แล้วที่สำคัญเธอยังเข้ากับแม่ได้ดีอีก แต่แม่ครับ ถึงแม้ว่าแม่จะเข้ากับเธอได้ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแม่จะไปสู่ขอเธอได้นะครับ แล้วก็ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อนเลยด้วยว่าแม่สามีกับลูกสะใภ้สนิทกันมาก่อน แม่สามีเลยให้หล่อนแต่งงานกับลูกชายของตัวเอง เดี๋ยวแม่ก็คงอิจฉาครอบครัวอื่นที่แม่สามีกับลูกสะใภ้ที่ได้ทะเลาะกันทุกวี่ทุกวัน”

รีวิวผู้อ่าน