ตอนที่ 42 ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่
วันที่ 27 ตามปฏิทินจันทรคติ ตระกูลเซี่ยได้วางแผนเอาไว้ว่าวันนี้จะให้คนมาฆ่าหมูที่บ้าน
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ก้ายเหล่าหลิ่วก็เดินทางมาถึงบ้านตระกูลเซี่ย จากนั้นก็ตามมาด้วยอาสี่ อาห้า และเพื่อนบ้านของเซี่ยจวินอีก 2 คน เมื่อทุกคนเตรียมตัวพร้อมแล้ว เพื่อนบ้านทั้งสองคนก็เข้าไปต้อนหมูตัวโตออกมาจากคอก ส่วนคนที่เหลือที่รออยู่ด้านนนอกก็ช่วยกันมัดขาหมูทั้งสี่ขาเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มทำการตีขาหมู ยิ่งหมูดิ้นมากเท่าไหร่เชือกก็ยิ่งรัดแน่นมากขึ้นเท่านั้น
เหล่าบรรดาพี่น้องทั้งสามคนต่างก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยแม้แต่คนเดียว ยิ่งพูดอธิบายมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกอึดอัดใจมากขึ้นเท่านั้น
จางฉุ้ยเหลียนยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้านนอกผ่านหน้าต่างห้องนอนของตัวเอง ตอนนี้พวกเขากำลังฆ่าหมูอยู่ที่ลานหลังบ้าน เพราะในโรงซ่อมรถไม่มีพื้นที่ว่างพอสำหรับฆ่าหมู
ในเวลานี้เซี่ยวจวินก็กำลังถือกะละมังใบใหญ่อยู่ในมือ จากนั้นพวกเขาทั้งหมดก็ช่วยกันจับหมูมาวางแนบลงไปกับโต๊ะ ก้ายเหล่าหลิ่วถือมีดเดินเข้ามา จากนั้นก็ทำการแทงลงไปบนคอของหมูและลากลงมาถึงหัวใจ การลงมีดของเขาเพียงครั้งเดียวมันก็สามารถสยบเสียงร้องอันโหยหวนของหมูได้ในชั่วพริบตา
นี่แหละที่เขาเรียกกันว่า มีดขาวเข้า มีดแดงออกมา เลือดหมูแดงฉานไหลทะลักออกมาตามรอยมีด และสาดกระเซ็นลงไปในกะละมังใบใหญ่ที่เซี่ยจวินกำลังถืออยู่ จากระยะห่างหน้าต่างห้องของจางฉุ้ยเหลียน มันก็ทำให้เธอมองเห็นเลือดที่สาดกระเซ็นที่ลอยฟุ้งอยู่ในอากาศได้อย่างชัดเจน
ในช่วงนี้อากาศทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็ค่อนข้างที่จะหนาวเย็น เมื่อปัสสาวะของหมูที่ไหลลงมากระทบกับพื้นมันก็กลายเป็นน้ำแข็งในชั่วพริบตาเดียว
เลือดหมูก็เช่นกัน เซี่ยจวินนำไม้มากวนเลือดหมูอย่างต่อเนื่อง เพื่อไม่ให้มันจับตัวกันเพราะอากาศที่หนาวเย็น ถ้าหากว่ามันจับตัวกันแล้วมันจะไม่สามารถเอาไปทำเป็นไส้กรอกเลือดหมูได้
ในตอนนั้นเอง ตงลี่หวาก็ตะโกนออกมา : “น้ำเดือดแล้ว!”
ใช่แล้ว... ตอนนี้ทุกคนกำลังยุ่งอยู่กับการฆ่าหมูอยู่ที่ลานหลังบ้าน แต่จางฉุ้ยเหลียนนั้นรู้สึกกลัว เธอจึงหลบซ่อนตัวอยู่ภายในบ้าน เพราะแม้แต่แม่ไก่ที่ไม่ได้มีความผูกพันธุ์ต่อกัน ในชีวิตนี้เธอก็ไม่เคยฆ่ามันมาก่อน แล้วจู่ ๆ จะให้เธอไปร่วมฆ่าหมูกับพวกเขาด้วย เธอทำไม่ได้หรอก แค่เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดของมัน สติของเธอก็กระเจิดกระเจิงหมดแล้ว
ตอนนี้เธอเห็นเพียงแค่ก้ายเหล่าหลิ่วกำลังใช้มีดกรีดลงไปบนขาของหมูเป็นทางยาว จากนั้นเขาก็นำไม้ยาว ๆ แทงเข้าไปในรอยที่เขาใช้มีดกรีดก่อนหน้านี้ โดยการแทงเข้าไปที่ขาของหมูทั้งสองข้างซ้ายและขวา เมื่อดึงไม้ออก เลือดสีแดงสดก็ได้ไหลทะลักออกมาอย่างรวดเร็ว
จางฉุ้ยเหลียนมองไปยังปอดที่บวมขึ้นอย่างต่อเนื่องของหมู เธอจึงอดที่จะปรบมือและพูดออกไปไม่ได้ว่า “ความจุปอดของหมูตัวนี้ดีจริง ๆ !”
ทุกคนช่วยกันแบกหมูที่ตายแล้ว โยนลงไปในหม้อที่น้ำกำลังเดือดอยู่ จากนั้นก็พูดคุยล้อเลียนถึงสุภาษิตที่ว่า “หมูตายแล้วไม่กลัวน้ำร้อนลวก” กันอย่างสนุกสนานพร้อมกับช่วยกันถอนขนหมูกันอย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ถอนขนหมูเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ยกหมูตัวโตสีขาวซีดไปวางไว้บนเขียง และทำการตัดหัว ตัดขา และหางของหมูออก หลังจากนั้นก่ายเหล่าหลิ่วก็ลงมีดกรีดตั้งแต่ต้นคอของหมูลากยาวลงไปถึงด้านล่าง
หลังจากที่ผ่าท้องหมูแล้ว พวกเขาก็เอาเครื่องในของหมูออกมาใส่ไว้ในกะละมังที่เตรียมเอาไว้ก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นดังนั้น ตงลี่หวาก็รีบเปิดประตูด้านหลังบ้านและเดินเข้าไปในห้องครัวทันที
ในเวลานี้ทุกคนต่างก็ยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง อาสี่นำลำไส้ใหญ่ของหมูออกมา และนำมันมาล้างทำความสะอาดในบ้าน จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าคุณอาสี่เอาไส้หมูมาล้างทำความสะอาดในบ้านเพราะเธอได้กลิ่นอุจจาระของหมูบริเวณทางเดิน
อีกด้านหนึ่ง หลังจากที่ก้ายเหล่าหลิ่วได้จัดการกับหัวหมูด้วยความชำนาญจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็ทำการแยกส่วนไขมัน กระดูกซี่โครง และเนื้อซี่โครง มาล้างทำความสะอาด
พวกเขาช่วยกันยกหม้อขนาดใหญ่มาวางไว้ที่ลานหลังบ้าน เพราะตามกฎแล้วทุกครั้งที่มีการฆ่าหมู ที่บ้านก็จะต้องทำอาหารจากหมูที่ตัวเองฆ่าหนึ่งมื้อ
จางฉุ้ยเหลียนทนกลิ่นไส้หมูที่ส่งกลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้งในบ้านไม่ได้อีกต่อไป เธอจึงรีบวิ่งออกไปช่วยตงลี่หวาหั่นเนื้อหมูในครัว
ส่วนอาห้าและเซี่ยจวินก็กำลังช่วยกันรนหัวหมู ขาหมู และหางหมูบนเตาไฟอยู่ด้านนอกบ้าน
หลังจากที่ยุ่งอยู่กับการล้างไส้หมูมาเกือบ 2 ชั่วโมงเต็ม ในที่สุดคุณอาสี่ก็ทำความสะอาดไส้หมูเสร็จ ตงลี่หวารับไส้หมูที่ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วมาทำเป็นไส้กรอกเลือดหมู
ส่วนใหญ่แล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ทำแค่งานที่เธอทำได้เพียงเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น การทำอาหาร เธอจึงรับหน้าที่ทำปอดหมูผัดพริก ผัดตับหมู ผัดหมาล่าหัวใจหมู หมูสามชั้นผัดซอสแดง และหมูย่าง ถึงแม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะทำอาหารมากมาย แต่ที่ลานบ้านก็ยังมีเนื้อหมูที่เหลืออยู่อีกเยอะเลยทีเดียว
เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน วันนี้หลี่หงจึงไม่ได้มาที่บ้านตระกูลเซี่ย สุดท้ายตงลี่หวาจึงไม่มีทางเลือก หล่อนจึงทำได้เพียงแค่ปั่นจักรยานไปตามหลี่หงที่บ้าน แต่หลี่หงก็ยังยืนกรานที่จะไม่มา ตงลี่หวาจึงพาหลานชายทั้งสองคนของหล่อนมาแทน
หลี่หงมีลูกชายทั้งหมด 2 คน ลูกชายคนโตของหล่อนนั้นมีชื่อว่า เซี่ยหลี่ห้าว เขามีนิสัยเหมือนกับพ่อ ซึ่งค่อนข้างจะเป็นคนนิ่งเงียบและเย็นชา ส่วนลูกชายคนสุดท้องมีชื่อว่า เซี่ยหลี่เผิง นิสัยของเขาเหมือนกับแม่ราวกับถอดแบบกันมาอย่างไรอย่างนั้น เขามีนิสัยขี้โวยวาย ชอบการทะเลาะเป็นชีวิตจิตใจ แต่ว่ากันว่า เด็กที่ชอบร้องไห้นั้นก็มักจะมีนมให้ดื่มอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าเซี่ยหลี่เผิงจะมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองอยู่บ้าง แต่เขาก็ได้รับความรักจากพ่อและแม่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
ส่วนทางด้านคุณอาสี่ เขามาที่บ้านของเซี่ยจวินคนเดียว เพราะเขาบอกกับเซี่ยจวินว่าภรรยาของเขากลับไปเยี่ยมแม่ของหล่อนที่บ้าน เซี่ยจวินก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เพราะคุณอาสี่ก็ไปมาหาสู่กันทุกปีอยู่แล้ว
เมื่อถึงเวลาอาหารเที่ยง หม้อขนาดใหญ่ที่วางอยู่ตรงลานหลังบ้านก็เริ่มส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลไปทั่วทั้งบ้าน
ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็กำลังยืนมองหม้อขนาดใหญ่นั้นอยู่ เธอยืนมองไส้กรอกเลือดหมู กระเพาะหมู ตับหมู เนื้อหมู และก็ขึ้นฉ่ายที่อยู่ในหม้อ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากลิ่นของมันหอมมากแค่ไหน
คนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือในสมัยก่อนก็ชื่นชอบรสชาติอาหารแบบนี้เช่นเดียวกัน แต่พวกเขาไม่มีหม้อเหล็กขนาดใหญ่แบบนี้ นั่นจึงทำให้รสชาติอาหารแตกต่างกับสมัยนี้ เพียงแค่ใช้หม้อเหล็กรสชาติก็แตกต่างกันแล้ว ยิ่งปรุงอาหารท่ามกลางอากาศหนาวแบบนี้อีก รสชาติก็ยิ่งแตกต่างกันเข้าไปใหญ่
นั่งบนเตียงอุ่น ๆ กินอาหารจากหมูที่เพิ่งฆ่าหอม ๆ ดื่มเหล้าที่มีระดับแอลกอฮอล์ 60 เปอร์เซ็นต์ ไม่ต้องบอกเลยว่ามันจะฟินขนาดไหน ตอนนี้พวกเขามีชีวิตที่สุขสบายเสียยิ่งกว่าเหล่าเทวดาบนสวรรค์เสียอีก
พวกผู้ชายต่างก็นั่งกินเนื้อหมูและดื่มเหล้าคุยโม้โอ้อวดกันอยู่บนเตียงที่ห้องโถงด้านนอก ส่วนจางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวาก็พาลูกชายทั้งสองคนของหลี่หงมากินข้าวอีกห้องหนึ่ง
หลังจากที่กินข้าวกันเสร็จแล้ว ตงลี่หวาก็ให้เซี่ยหลี่ห้าวลูกชายคนโตของหลี่หวา เอาอาหารไปส่งให้กับแม่ของเขาที่บ้าน ส่วนลูกชายคนสุดท้องของหล่อนก็ยังคงนั่งกินอาหารอย่างตะกละตะกลามอยู่ที่บ้านของเซี่ยจวิน
เพราะเด็กนั้นเก็บความลับไม่เก่ง เมื่อไม่มีพี่ชายอยู่ตรงนี้ เซี่ยหลี่เผิงจึงเล่าเรื่องที่พ่อแม่ของเขาทะเลาะกันให้จางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวาฟัง เขาพูดไปเอามือปิดปากหัวเราะไป “เมื่อวานหลังจากที่กลับไปถึงบ้านแล้ว พ่อของผมก็ใช้วิชาเก้าอิมจินเอ็งทุบตีแม่ จนแม่ล้มลงไปกองกับพื้นเลยล่ะ !”
สงสัยเด็กคนนี้จะดูหนังกำลังภายในมากไปหน่อย ถึงได้คิดว่าพ่อกับแม่กำลังฝึกวิทยายุทธ์กันอยู่!
“แม่ของผมเริ่มด่ากราดออกไป จากนั้นก็ใช้วิชากรงเล็บกระดูกขาวเก้าอิมโต้กลับ พ่อของผมจึงใช้วิชาฝ่ามือพิชิตมังกรซ้ำไปอีกครั้ง ตึง ตึง ตึง หลังจากนั้นแม่ก็ร้องไห้โฮออกมาเลย!”
จางฉุ้ยเหลียนและตงลี่หวาต่างก็หันมามองหน้ากัน เป็นอย่างที่เซี่ยจวินพูดไว้ไม่มีผิด ถ้าทั้งสองคนกลับไปถึงบ้านแล้ว พวกเขาจะต้องทะเลาะกันถึงขั้นลงไม้ลงมือกันอย่างแน่นอน มิน่าล่ะวันนี้หลี่หงถึงไม่ยอมมาร่วมฉลองด้วยกัน
ตงลี่หวาถอนหายใจออกมาและพูดกับเซี่ยหลี่เผิงว่า : “เอาล่ะ พอแล้ว ไม่ต้องพูดแล้ว ถ้าเธอกลับไปที่บ้าน แล้วแม่ของเธอถามว่าไปที่บ้านคุณอาเป็นยังไงบ้าง เธอก็บอกแม่ของเธอไปนะว่า เธอได้สอนวิทยายุทธ์ของแม่กับพ่อให้พวกเราแล้ว ดูสิว่าแม่ของเธอจะว่ายังไง!”
เซี่ยจี้เผิงตื่นตัวขึ้นมาทันที และยังคงยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า : “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถ้าแม่จะตีผม ผมก็จะใช้วิชากบพองลม เดี๋ยวแม่ก็พ่ายแพ้ไปเอง!”
พวกเขาทั้งหมดต่างก็กินอาหารมื้อนี้กันจนถึงเวลา 15.00 น. กว่า ผู้ชายบางส่วนก็ดื่มกันจนเมามายไปแล้ว
ก่อนที่ทุกคนจะกลับ ตงลี่หวาก็ได้แจกจ่ายเครื่องในหมูและเนื้อหมูให้กับทุกคน และหล่อนก็ให้เงินกับก้ายเหล่าหลิ่วเพื่อเป็นค่าจ้างที่เขามาฆ่าหมูให้หล่อนที่บ้าน จากนั้นทุกคนต่างก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตัวเอง เพราะตอนนี้ตะวันเริ่มคล้อยแล้ว
ตงลี่หวากำลังทำความสะอาดพื้นในบ้าน ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็รับหน้าที่ล้างจานอยู่ในครัว เซี่ยจวินนอนหลับอยู่บนเตียง ถึงแม้ว่าทั้งสามคนจะไม่ได้พูดอะไรกัน แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่แสนอบอุ่นนี้ได้อย่างชัดเจน
เมื่อใกล้ถึงเวลานอนในตอนกลางคืน ตงลี่หวาก็รีบปิดประตูบ้านทันที เพราะเธอไม่อยากให้หลี่หงเข้ามาหาเธอในบ้านได้ เพราะเธอคิดว่าหลี่หงต้องมาหาเธอที่บ้านอย่างแน่นอน ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องที่ลูกชายของหล่อนเล่าให้เธอกับจางฉุ้ยเหลียนฟัง ก็คงจะเป็นเรื่องที่เซี่ยโหย๋วสามีของหล่อนซื้อเนื้อหมูจากเซี่ยจวินกลับไปที่บ้านอย่างแน่นอน
ในเช้าวันที่ 28 ตามปฏิทินจันทรคติ สองแม่ลูกก็พากันลุกจากเตียงตั้งแต่เช้าตรู่ ที่พวกเธอต้องตื่นกันตั้งแต่เช้า ก็เป็นเพราะเมื่อวานพวกเธอเหนื่อยกันมาก ตอนกลางคืนจึงไม่มีใครทำแป้งหมั่นโถวไว้เลย หลังจากที่นอนหลับกันมาทั้งคืนแบบเต็มอิ่มแล้ว ทั้งสองคนจึงได้ลุกจากเตียงมาทำงาน
โชคดีที่เตายังคงมีความร้อนอยู่ จางฉุ้ยเหลียนจึงใส่เบกกิ้งโซดาลงไปในแป้ง จากนั้นก็นวดให้เข้ากัน แล้วพักแป้งไว้ 2 ชั่วโมง พอครบเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว แป้งที่เธอพักไว้ก็พองจนเต็มกะละมังขนาดใหญ่
ครั้งนี้สองแม่ลูกไม่อยากให้ใครเข้ามากวนในบ้านอีก เซี่ยจวินจึงปิดประตูหลังบ้านเพื่อไม่ให้ใครเข้ามาได้ เขานั่งอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ส่วนสองแม่ลูกก็นั่งพูดคุยกันไปและปั้นหมั่นโถวกันไป
“แม่คะ เรามาปั้นหมั่นโถวเป็นรูปดอกไม้ และก็รูปสามเหลี่ยมกันเถอะค่ะ” จางฉุ้ยเหลียนเสนอความคิดเห็นออกมา เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ละเอียดอ่อนแบบนี้ ผู้หญิงด้วยกันเองย่อมเข้าใจกันดี
เมื่อพูดจบ จางฉุ้ยเหลียนก็เดินเข้าไปในครัวอย่างร่าเริง จากนั้นเธอก็หยิบเอาน้ำมันพืช ต้นหอมซอยและเกลือออกมา
หมั่นโถวรูปดอกไม้นั้น ค่อนข้างที่จะยุ่งยากกว่าหมั่นโถกลม ๆ แบบธรรมดาเล็กน้อย วิธีการทำก็คือ นวดแป้งให้เป็นเส้นยาว ๆ จากนั้นก็โรยเกลือและต้นหอมซอยลงไป ก่อนจะทาน้ำมันให้ทั่วทั้งเส้นแป้งนั้น จากนั้นก็ม้วนเข้าหากัน ใช้ตะเกียบกดลงไปตรงกลาง เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
ส่วนหมั่นโถวรูปสามเหลี่ยมนั้นทำง่ายมาก เพียงแค่คลึงแป้งให้เป็นแผ่น จากนั้นก็ใส่น้ำตาลแดงลงไป ใช้สองมือบีบแป้งเข้าหากันให้กลายเป็นรูปสามเหลี่ยม ซึ่งมันก็ง่ายกว่าการปั้นหมั่นโถวให้เป็นรูปดอกไม้มากเลยทีเดียว
สองแม่ลูกช่วยกันปั้นหมั่นโถวอย่างมีความสุข พวกเธอต้มน้ำและทำการนึ่งหมั่นโถรูปร่างกลมปกติก่อน เมื่อหมั่นโถสุกแล้ว พวกเธอก็ปั้นหมั่นโถวรูปดอกไม้และหมั่นโถวรูปร่างสามเหลี่ยมเสร็จพอดี
ส่วนน้ำในหม้อที่กำลังเดือด จางฉุ้ยเหลียนก็ใส่วุ้นเส้น ตามด้วยมันฝรั่งแผ่น หัวไชเท้า แล้วก็ลูกชิ้นเนื้อ จากนั้นก็โรยพริกหมาล่าลงไป ไม่ต้องบอกก็รู้ได้เลยว่ามันจะอร่อยมากแค่ไหน
เซี่ยจวินกินหมั่นโถวไปทั้งหมด 5 ลูกในคราวเดียว ตงลี่หวากินหมั่นโถวดอกไม้ไป 3 ลูก ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็กินหมั่นโถวรูปสามเหลี่ยม 2 ลูกและกินซุปหมาล่าไปอีก 2 ถ้วย แค่นี้พวกเขาทั้งสามคนก็รู้สึกอิ่มมากแล้ว
พวกเขาทั้งสามคนทำงานติดต่อกันมาหลายวัน ยังไม่ได้พักผ่อนจริง ๆ จัง ๆ กันสักวัน จางฉุ้ยเหลียนจึงให้ตงลี่หวานอนพักผ่อนในตอนกลางวัน ส่วนเธอก็กำลังกลายร่างเป็นหมอผ่าตัด โดยการแยกเนื้อไม่ติดมันออกจากเนื้อหมู
ตงลี่หวาถูกปลุกด้วยกลิ่นหอมของอาหาร หล่อนเหมือนหลุดเข้าไปในโลกแห่งความฝันอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อตื่นขึ้นมาหล่อนก็ได้กลิ่นหอมอันเย้ายวนใจ หล่อนจึงยิ้มจากนั้นก็ตะโกนออกไปว่า “ฉุ้ยเหลียน ลูกกำลังทำหมูทอดอยู่หรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มและพูดว่า “อ้อ ใช่ค่ะ หนูทำเสร็จพอดีเลย!”
ตงลี่หวารีบลุกขึ้นมานั่งบนเตียง จากนั้นก็พูดกับเซี่ยจวินที่กำลังนั่งดูโทรทัศน์ว่า “ฉันอารมณ์ดีมากเลย ที่ไม่ต้องทำงานบ้าน!”
จากนั้นเซี่ยวจวินก็ตอบกลับมาว่า “ตอนเช้าก็นึ่งหมั่นโถวไปแล้ว ทำไมบ่ายนี้ไม่ทำซาลาเปาด้วยล่ะ!”
ในตอนนั้นเองจางฉุ้ยเหลียนก็ได้ถือจานหมูทอดเดินเข้ามาในบ้านพอดี ตงลี่หวาจึงหันไปพูดกับจางฉุ้ยเหลียนเพื่อเป็นการหยอกล้อเซี่ยจวินว่า “พ่อของลูกตะกละมากจริง ๆ เขาถามแม่ว่าทำไมวันนี้เราถึงไม่ทำซาลาเปาไส้หมูทอดด้วยล่ะ!”
จางฉุ้ยเหลียนนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า : “ไว้พรุ่งนี้นะคะ วันนี้เตามันร้อนเกินไป!”
พรุ่งนี้ก็เป็นวันที่ 29 แล้ว ถึงแม้ว่าทุกคนในบ้านจะไม่มีงานให้ทำ แต่ก็ไม่ได้ว่างถึงขนาดจะมานั่งทำซาลาเปา เซี่ยจวินจึงยิ้มและพูดขึ้นว่า “อีกสองวันก็จะปีใหม่แล้ว เราหยุดกินกันได้แล้วล่ะ!”
ช่วงบ่ายของวันที่ 30 จางฉุ้ยเหลียนก็เริ่มทำไส้เกี๊ยว เธอทำไส้ทั้งหมด 2 ไส้ ไส้แรกก็คือไข่ผัดกุ้ยฉ่าย ส่วนอีกไส้หนึ่งก็คือผักดองหมูทอด เมื่อตงลี่หวาเห็นไส้เกี๊ยวทั้ง 2 ไส้แล้ว หล่อนก็หันไปถามเซี่ยจวินด้วยความอยากรู้ว่า “ลูกสาวได้มาถามคุณไหม ว่าคุณชอบเกี๊ยวไส้อะไร”
อาหารในวันฉลองปีใหม่ช่วง 15.00 น.เป็นสิ่งที่สำคัญมาก จางฉุ้ยเหลียนทำอาหารทั้งหมด 8 อย่าง ซึ่งมันก็ประกอบไปด้วย หมูสามชั้นผัดซอสแดง ซี่โครงหมูตุ๋นถั่วฝักยาว เนื้อหมูชุปแป้งทอดผัดซอส ผัดกุยช่าย ผัดถั่วงอก ปลานึ่ง ไก่ตุ๋นเห็ด แล้วก็เนื้อวัวผัดยี่หร่า
ในระหว่างที่พวกเขาทั้งสามคนกำลังกินมื้อเที่ยงกัน จู่ ๆ ก็มีคนมาเคาะประตูบ้าน พวกเขาทั้งสามคนจึงนิ่งอึ้งในทันที ตงลี่หวาวางตะเกียบลง จากนั้นก็พูดว่า “อย่าบอกนะว่าหลี่หงมาอีกแล้ว ถ้าเป็นหล่อนจริง ๆ ก็คงจะหน้าไม่อายไปหน่อยรึเปล่า! ”
เซี่ยจวินขมวดคิ้วจากนั้นก็เดินไปเปิดประตู ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็คอยปลอบใจแม่ของตัวเองอยู่ข้าง ๆ “ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูไปเอาตะเกียบมาให้แม่ใหม่นะคะ”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนพูดจบ ก็ได้ยินเสียงหัวเราะลอยเข้ามาในบ้าน ตงลี่หวาจึงอึ้งงันไปทันที จากนั้นก็โพล่งออกไปว่า “ไม่น่าจะใช่หลี่หงนะ น่าจะเป็นแขกมากกว่า ”
วันที่ 30 เป็นวันฉลองปีใหม่ ใครเขารับแขกกันล่ะ ? บ้ารึเปล่า!
จางฉุ้ยเหลียนบุ้ยปาก แต่เธอก็ยังยืนขึ้นตามตงลี่หวา ในตอนนั้นเองเซี่ยจวินก็หัวเพราะและเดินนำคน ๆ นั้นเข้ามาในบ้าน จากนั้นก็พูดกับตงลี่หวาว่า “เธอดูสิว่าใครมา ? ”
เมื่อตงลี่หวาเห็นคนที่มาเยือน หล่อนก็อดที่จะตกใจขึ้นมาไม่ได้ หล่อนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “ไอ้หยา จื้อกั๋วเองหรือ เข้ามาเร็ว เข้ามาก่อน”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางผู้ชายวัยกลางคนรูปร่างองอาจผ่าเผยที่กำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน ส่วนด้านหลังของผู้ชายคนนั้นก็มีชายคนหนึ่งที่ยังดูอ่อนเยาว์รูปร่างสูงใหญ่สวมใส่ชุดทหารเดินตามเข้ามา
“เจี้ยนจวิน เข้ามา ๆ! ” ชายวัยกลางคนเดินเข้ามาและหันไปพูดกับชายหนุ่มคนนั้น เซี่ยจวินดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นเขาก็เดินไปตบไหล่ชายหนุ่มคนนั้น และพูดออกไปว่า: “เข้ามาสิ เร็ว!”
จางฉุ้ยเหลียนออกไปเก็บจานชามของตัวเองที่ห้องครัว ในตอนที่เธอเดินกลับเข้ามาในบ้าน เธอก็เห็นพวกเขาทั้งสองคนเข้ามานั่งอยู่ในบ้านแล้ว อีกทั้งเธอยังเห็นเซี่ยจวินกำลังพูดคุยกับพวกเขาอย่างมีความสุขอีกด้วย