ตอนที่ 35 คิดคำนวณ
เพราะคำพูดของผู้เป็นแม่ สีหน้าของจางฉุ้ยจวินจึงเริ่มแย่ลง หนังสือเรียนที่เขาอุตส่าห์บากหน้าวิ่งไปยืมมานั้นได้สร้างความขบขันให้กับเพื่อน ๆ ของเขาไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ไม่มีแม้แต่คำพูดให้กำลังใจ อีกทั้งแม่ยังมาพูดกับเขาแบบนี้อีก จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไรกัน!
จางฉุ้ยเหลียนเดินกลับเข้ามาในห้องนอนของตัวเองด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย เธอเก็บของไปพลางถอนหายใจไปพลาง มีแค่แม่ของเธอคนเดียวเท่านั้นแหละที่ไม่สนใจอนาคตของลูก เพราะหล่อนไม่เชื่อว่าความรู้จะสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้
จางฉุ้ยจวินก็เหมือนหม้อที่แตกร้าว หม้อที่แตกร้าวไปแล้วถึงยังไงมันก็ไม่สามารถประสานรอยร้าวให้กับมาเป็นเหมือนเดิมได้หรอก ในตอนนั้นเองเช่าหวาก็เอาเรื่องเสื้อผ้าและรองเท้าราคา 50 กว่าหยวน มาหลอกล่อเพื่อให้นิสัยของจางฉุ้ยจวินกลับไปเป็นเหมือนเดิม
จางฉุ้ยเหลียนไปที่โรงพยาบาลเพื่อที่จะถามพวกเขาว่ายังรับจ้างคนปะติดกล่องลังอยู่ไหม หลังจากที่ได้รับคำตอบว่าพวกเขายังรับจางคนปะติดกล่องลังอยู่ จางฉุ้ยเหลียนก็ขนกล่องลังจำนวนมากกลับมาที่บ้าน และในทุก ๆ วัน เธอก็จะดูทีวีกับพ่อแม่ไปด้วยและปะติดกล่องลังไปด้วย
เช่าหวาและจางกว่างฝูสองสามีภรรยาเป็นพวกลาขี้เกียจ ต้องมีคนคอยผลักดันพวกเขา พวกเขาถึงจะมีความก้าวหน้า แต่เมื่อผลักดันพวกเขาไปได้แค่สองวัน พวกเขาก็จะกลับมามีนิสัยเป็นอย่างเดิม หลังจากที่กินข้าวเช้าตอนเวลา 09.00 น.แล้ว สองสามีภรรยาก็จะหายตัวออกไปจากบ้าน แล้วก็จะกลับบ้านมากินข้าวเย็นอีกทีตอนเวลาประมาณ 15.30 น. ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าสองสามีภรรยาคู่นี้จะต้องออกไปเล่นไพ่อย่างแน่นอน เธอไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ว่าไอ้การพนันพวกนั้นมันน่าสนุกตรงไหนกัน
ก่อนหน้านี้จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าเธอสามารถผลักดันให้พ่อแม่ของเธอยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้แล้ว แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่เธอคิดเลยแม้แต่น้อย
เช่าหวาพูดขึ้นมาว่า “ทำซาลาเปาออกไปขายทั้งเหนื่อยทั้งปวดหลังปวดเอว แล้วก็ยังทำเงินได้แค่น้อยนิด สู้เอาเงินไปเล่นไพ่สักตาสองตาเสียยังดีกว่า !”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางเช่าหวาด้วยความรู้สึกที่เบื่อหน่าย เมื่อพวกเขาเห็นจางฉุ้ยเหลียนอยู่ในบ้าน พวกเขาต่างก็พากันส่งเสียงโวยวายออกมา เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นท่าทางแบบนั้นของพวกเขาแล้ว เธอก็คิดว่ามันไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ในห้องเรียนของเธอเลยที่ทุกคนต่างก็ไม่ตั้งใจเรียน มีเพียงเธอคนเดียวเท่านั้นที่ตั้งใจฟังในสิ่งที่คุณครูสอนและทำการบ้านจนเสร็จ เธอถูกเพื่อนทั้งห้องรุมประณามว่าสิ่งที่เธอทำนั้นไม่ถูกต้อง แต่แน่นอนว่าพวกเขารู้ว่าสิ่งที่เธอทำนั้นมันถูกต้อง แต่พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะทำมัน เพียงเพราะว่ามันแตกต่างจากคนอื่น
ดังนั้นในทุก ๆ วันจางฉุ้ยเหลียนจึงต้องลุกขึ้นมาทำความสะอาดบ้าน เก็บข้าวของให้เป็นระเบียบตั้งแต่เช้ามืด จากนั้นก็ไปทำอาหารเช้าและซักผ้า ช่วงบ่ายก็ต้องทำอาหารเย็นให้คนในบ้านกิน เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จ คนในบ้านต่างก็พากันออกไปเล่นไพ่ เธอจึงต้องทำความสะอาดอยู่ที่บ้านคนเดียว ถึงแม้ว่าเธอจะทำดีแค่ไหน แต่มันก็ทำให้คนในบ้านรู้สึกไม่พอใจอยู่ดี
แม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ มันก็ยังทำให้คนในบ้านเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาได้ หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนออกไปส่งกล่องลังที่โรงพยาบาลแล้ว เธอก็ไม่ได้ซื้ออาหารกลับมาที่บ้านแต่อย่างใด
“นี่เงิน 50 หยวน แม่เอาไว้ไปซื้อของมาฉลองปีใหม่แล้วกันนะ!” เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้า จางฉุ้ยเหลียนก็นำเงินทั้งหมด 50 หยวน ยื่นไปให้กับเช่าหวา
เช่าหวาตาลุกวาวขึ้นมาในทันที จากนั้นก็ยื่นมือออกมารับเงินจำนวนนั้นด้วยความดีใจ ก่อหน้านี้หล่อนคิดว่าหล่อนจะขอเงินจากจางฉุ้ยเหลียนในอีกสองวันข้างหน้า แต่หล่อนกลับนึกไม่ถึงเลยว่ายังไม่ทันที่หล่อนจะได้เอ่ยปากขอเงินจางฉุ้ยเหลียนออกไป จางฉุ้ยเหลียนก็เอาเงินมาให้หล่อนเองแบบนี้ ดีจริง ๆ เลย
“พี่ ฉันก็อยากได้เงินเหมือนกันนะ ! ” จางฉุ้ยจวินตาลุกวาวขึ้นมาทันที เมื่อมองเห็นเงินในมือของผู้เป็นแม่
“ถ้าแกไม่เล่นเกม แล้วก็มาทำงานกับฉัน แกก็จะมีเงินเหมือนฉันนี่แหละ แล้วมันก็เป็นเงินของแกเองด้วย” จางฉุ้ยเหลียนพูดสั่งสอนน้องชายออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นชา เพราะผลกระทบจากพ่อกับแม่ ความขยันในการเรียนของจางฉุ้ยจวินจึงยืนหยัดไปได้เพียงแค่ 2 วันเพียงเท่านั้น
ภายในระยะเวลาสองวันที่ผ่านมานี้ พ่อกับแม่ของเธอก็ตัดสินใจกันว่า พวกเขาจะไม่ส่งจางฉุ้ยจวินเรียนอีก พวกเขาอยากให้จางฉุ้ยจวินไปเรียนขับรถ จากนั้นก็ไปทำงานเป็นคนขับรถ เพราะพวกเขาได้ยินมาว่าคนขับรถบรรทุกนั้นได้เงินดี เมื่อจางฉุ้ยจวินได้ยินแบบนั้น เขาก็ตอบตกลงในทันที สำหรับเขาแล้วการขับรถในระยะทางไกล ๆ มันก็เหมือนได้ออกไปเที่ยวเล่นอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเอือมระอาของจางฉุ้ยเหลียน สีหน้าของจางฉุ้ยจวินก็แย่ลงไปในทันที จากนั้นเขาก็พูดออกไปว่า “หาเงินได้ไม่เท่าไหร่ ก็เชิดหน้าชูคอแล้วอย่างนั้นหรือ พี่คิดว่าพี่เป็นใคร แค่เงินจำนวน 50 หยวน พี่คิดว่าฉันจะหาไม่ได้รึไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หาเงินมาให้ได้ 50 หยวนก่อนเถอะ แล้วแกค่อยมาพูด อย่าลืมนะว่าเครื่องเล่นเกมที่แกเล่นอยู่ทุกวันนี้น่ะ มันก็เป็นเงินที่แกขโมยเงินของฉันไปซื้อ”
จางฉุ้ยจวินเหมือนกับถูกเหยียบหางอย่างไรอย่างนั้น เขาสะดุ้งตกใจขึ้นมาในทันที จากนั้นก็ชี้ไปที่หน้าของจางฉุ้ยเหลียน และพูดออกมาว่า “ใครเห็นล่ะ ? ก็ไม่มีใครเห็นนี่ ? เงินนั่นมันก็ไม่ได้เขียนชื่อพี่ติดเอาไว้สักหน่อย ? พี่มาใส่ความฉันแบบนี้ ฉันก็เสียหายสิ”
จางฉุ้ยเหลียนเบะปาก และรู้สึกขี้เกียจจะมานั่งทะเลาะกับจางฉุ้นจวิน เช่าหวาได้แต่ขมวดคิ้วแน่น แล้วพูดออกมาว่า “เรื่องมันก็ผ่านไปตั้งนานแล้ว แกจะไปรื้อฟื้นมันขึ้นมาอีกทำไม ? ”
“เรื่องมันผ่านไปแล้วอย่างนั้นหรือ ? งั้นถ้าหนูอยากจะได้เงินคืน แม่ก็คิดว่ามันผ่านไปแล้วอย่างนั้นสิ เขาเป็นผู้ชาย แต่ทำไมเขาถึงได้ไร้สัจจะแบบนี้ ! ” จางฉุ้ยจวินโกรธจนตัวสั่น เขาอยากจะยื่นมือออกไปตบหน้าของอีกฝ่ายจริง ๆ แต่เมื่อเขาคิดถึงภาพเหตุการณ์ที่จางฉุ้ยเหลียนถือมีดตามไล่ฆ่าเขาเมื่อหลายเดือนก่อนหน้านั้น มันเขาก็ทำให้ไม่กล้า
“เหอะ ! ถ้าพี่เก่งมากขนาดนั้น ฉันจะรอดูว่า พี่จะหาเงินก้อนใหญ่ได้ไหม !” จางฉุ้ยจวินพูดออกไปพร้อมกับเตะเก้าอี้เพื่อเป็นการระบายอารมณ์โกธรของตัวเอง เมื่อพูดจบเขาก็หันไปหยิบเสื้อกันหนาวและวิ่งออกไปจากบ้านไปทันที
เช่าหวาตะโกนตามหลังลูกชาย แต่ก็ไม่สามารถรั้งลูกชายที่กำลังโกรธเป็นฟื้นเป็นไฟเอาไว้ได้ เมื่อหล่อนเดินกลับเข้ามาในบ้าน หล่อนก็เห็นจางฉุ้ยเหลียนทำสีหน้าที่นิ่งเฉย หล่อนรู้สึกโกรธขึ้นมา หล่อนโยนเงินที่อยู่ในมือออกไปพร้อมกับพูดออกไปว่า “เงิน 50 หยวนมันจะไปพอฉลองปีใหม่ได้ยังไง ? แกทำงานได้เงินเยอะกว่า 80 หยวนอีกไม่ใช่หรือ แกเอามาให้ฉันสิ !”
จางฉุ้ยเหลียนเลิกคิ้วขึ้นสูง “ให้หนูเอาเงินทั้งหมดให้แม่อย่างนั้นหรือ ? แล้วถ้าเปิดเทอมหนูจะเอาเงินที่ไหนใช้ล่ะ ? แม่จะให้เงินหนูรึไง ? ”
เช่าหวาถลึงตาใส่ “ไอ้เซี่ยจวินมันก็เอาเงินให้แกไม่ใช่รึไง ? เป็นห่วงเป็นใยกันนักก็ไปเอาจากมันสิ !”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “หนูจะไม่เป็นห่วงเป็นใยเขาได้ยังไงล่ะ ! เขาเป็นคนส่งหนูเรียน อย่างไรแล้วหนูก็ต้องดูแลเขายามแก่เฒ่า”
เช่าหวาโบกมือไปมาด้วยความโมโห “แกไสหัวออกไปเลยไป แกไปดูแลมันตอนนี้เลยสิ แล้วหลังจากนี้แกก็ไม่ต้องมาสนใจฉันอีก ซวยจริง ๆ เลย ที่ให้กำเนิดสัตว์เดรัจฉานอย่างแกออกมา !”
“แกรีบไสหัวออกไปจากบ้านของฉันเดี๋ยวนี้เลยนะ แล้วอย่ามาเดินเพ่นพ่านในบ้านของฉันอีก !” เช่าหวากัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชังและด่าทอจางฉุ้ยเหลียนออกไปอย่างไม่ลดละ
จางฉุ้ยเหลียนก็อยากจะออกไปจากบ้านหลังนี้เช่นกัน เธอจึงลุกขึ้น จากนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “หนูไปก็ได้ !”
เมื่อพูดจบเธอก็กลับเข้าไปในห้องของตัวเอง จากนั้นเธอก็เดินไปเก็บหนังสือ ของใช้ และเสื้อผ้ายัดใส่ลงในกระเป๋าสะพานของตัวเอง และเดินออกจากบ้านไป
“ฉันขอบอกแกไว้เลยนะว่า ถ้าแกจะไป แกก็ไปแต่ตัวห้ามเอาของในบ้านฉันติดตัวไปด้วยเด็ดขาด ! ” ที่เช่าหวาพูดออกไปแบบนั้น ก็เพราะหล่อนกลัวว่าจางฉุ้ยเหลียนจะเอาเป็ดที่หล่อนต้มไว้หลังบ้านไป
จางฉุ้ยเหลียนคิดในใจว่า ถึงอย่างไรเธอก็โตแล้ว อีกทั้งเธอยังมีอนาคตที่สดใส เธออยากจะตัดขาดกับแม่ของเธอ เพราะการที่เธอยังมีความสัมพันธ์กับแม่ของเธออยู่นั้น มันก็ไม่ได้มีผลดีอะไรกับเธอเลย
“หนูไม่ได้เอาอะไรของแม่ไปสักอย่าง แม่จะเอากระเป๋าของหนูไปตรวจดูเลยไหมล่ะ ? ” ใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียนแสดงความรำคาญออกมาอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นดังนั้นเช่าหวาก็ได้สติกลับมาทันที
หล่อนเดินเข้ามาหาจางฉุ้ยเหลียนพร้อมกับรอยยิ้ม จากนั้นจึงพูดออกไปว่า “ฉันก็แค่ล้อแกเล่นเท่านั้นเอง แกจะโกรธอะไรขนาดนั้นล่ะ แกเป็นเสือรึไงถึงได้ดุขนาดนี้ หา !”
เมื่อเช่าหวาพูดจบ หล่อนก็ดึงเงินที่อยู่ในมือออกมาสองใบ จากนั้นก็ยื่นมันไปให้กับจางฉุ้ยเหลียน แล้วพูดว่า “นี่ก็จะปีใหม่แล้ว แกก็น่าจะไปดูแลตระกูลเซี่ยหน่อยนะ เงิน 20 หยวนนี่ ฉันให้แก แกจะได้เอาไปซื้อของฝากให้พวกเขาไง จะได้ไม่ไปเยี่ยมพวกเขามือเปล่า แล้วอีกอย่างในชนบทบ้านนอกแบบนั้นก็ไม่มีอะไรขายด้วย แกก็ซื้อส้มติดไม้ติดมือไปนิด ๆ หน่อย ๆ ด้วยแล้วกันนะ ในชนบทแบบนั้นก็คงจะมีแค่สาลี่แช่แข็งกับลูกพลับแช่แข็งเท่านั้นแหละ”
จางฉุ้ยเหลียนรับเงินนั้นมาอย่างไม่มีความรู้สึกเกรงใจแต่อย่างใด จากนั้นก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “งั้นหนูไปก่อนนะคะ ! ” เมื่อพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไปทันที
เดิมทีแล้วเช่าหวาอยากจะบอกกับจางฉุ้ยเหลียนว่าให้เธอกลับบ้านมาก่อนปีใหม่ แต่หล่อนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หล่อนจึงพูดออกไปว่า “ระวังตัวด้วยล่ะ เดินทางปลอดภัยนะ !”
จางฉุ้ยเหลียนเดินออกไปรอรถที่ป้ายรถประจำทาง ตอนที่เธอเดินออกมาจากบ้านเธอคลาดกับจางกว่างฝู หลังจากที่จางกว่างฝูกลับมาถึงบ้านเขาก็พบว่าจางฉุ้ยหลียนนั้นออกไปแล้ว เขาจึงถามขึ้นด้วยสงสัยว่า “จางฉุ้ยเหลียนจะกลับมาฉลองปีใหม่ที่บ้านไหม ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้นเช่าหวาที่กำลังแงะเมล็ดทานตะวันอยู่ ก็ตอบสามีของหล่อนกลับไปด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่ายว่า “จะกลับมาทำไมล่ะ ? กลับมาก็มีคนกินเนื้อเพิ่มมาอีกคนน่ะสิ คุณยอมรึไง ? ”
เมื่อได้ยินดังนั้นจางกว่างฝูก็คิดว่าสิ่งที่ภรรยาของเขาพูดมานั้นมันก็ถูก แต่เมื่อนึกไปถึงเซี่ยจวิน เขาก็ขมวดคิ้วและพูดออกมาว่า “แต่ถ้าจางฉุ้ยเหลียนกลับมา หล่อนก็ไม่มีทางที่จะกลับมามือเปล่าแน่ ดูอย่างปีที่แล้วสิ สองสามีภรรยาคู่นั้นให้อาหารกับผลไม้จางฉุ้ยเหลียนมาเยอะแยะ แล้วครอบครัวของเราก็ไม่ต้องใช้เงินซื้อของเพื่อเอามาฉลองวันปีใหม่เลยแม้แต่หยวนเดียว”
เช่าหวากลอกตาไปมา “ทำไมคุณถึงได้โง่ขนาดนี้นะ หล่อนจะไปเอาเนื้อหมู เห็ด เป็ด ไก่กลับมาที่บ้านเราทำไมล่ะ กลับมาได้แค่สองวันหล่อนก็ต้องกลับไปเรียนแล้ว”
เมื่อจางกว่างฝูได้ยินน้ำเสียงของภรรยา เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าหล่อนจะต้องโกรธจางฉุ้ยเหลียนอีกแล้วแน่ ๆ เขาจึงละสายตาจากโทรทัศน์ และเริ่มพูดโน้มน้าวภรรยาของตัวเองด้วยความใจเย็นว่า “เธอควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้ แต่ก็ไม่ควรเอาลงกับหล่อนนะ ? เธอเอาชนะหล่อนแบบนี้ สุดท้ายแล้วฝ่ายที่เสียเปรียบก็คือครอบครัวของเรานะ เรื่องนี้ทำไมเธอถึงไม่เข้าใจ ! ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เช่าหวาก็พูดขึ้นมาอย่างไม่ยอมว่า “หล่อนทำตัวหยิ่งยโสจะตายไป ทำอย่างกับว่ามีใครติดหนี้หล่อนอย่างนั้นแหละ วันนี้หล่อนให้เงินฉัน เสี่ยวจวินเห็นอย่างนั้น เขาก็เลยอยากจะได้เงินหมือนกัน หล่อนเป็นพี่สาว หล่อนจะไม่ให้ก็เรื่องของหล่อนสิ แต่ทำไมหล่อนต้องปากพล่อยแบบนั้นด้วย ใครที่ไหนจะไปทนได้ล่ะ! ”
จางกว่างฝูพูดออกมาด้วยความเข้าใจว่า “หลังจากนั้นเธอก็เลยไล่ให้หล่อนไปหาตระกูลเซี่ยอย่างนั้นหรือ ? เธอรู้รึเปล่า ตอนนี้หล่อนก็อาจจะกำลังดีใจอยู่ก็ได้ ที่ความสัมพันธ์ของหล่อนกับครอบครัวของเราจะเริ่มห่างกันออกไปเรื่อย ๆ แบบนี้”
เช่าหวาพูดอย่างไม่เห็นด้วยว่า “ห่างก็ห่างสิ ถึงอย่างไรฉันก็เป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของหล่อน ถ้าไม่ใช่เพราะฉันเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดของหล่อนล่ะก็ ฉันก็คงจะลาขาดจากหล่อนไปนานแล้วล่ะ เหอะ !”
จางกว่างฝูชำเลืองตามองไปทางภรรยาของตัวเองด้วยความเกลียดชัง “เธอจะทำตัวเก่งเกินไปแล้วนะ ! เธอไม่มีเรื่องตระกูลเซี่ยอยู่ในหัวสมองเลยรึไง ตอนนี้ฉุ้ยเหลียนกำลังมีชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งอาหารการกิน ทั้งเสื้อผ้าที่หล่อนใส่มันก็มาจากตระกูลเซี่ยทั้งนั้น เธอไม่เห็นเหรอว่าหล่อนมีเงินเยอะมากขนาดไหน”
เช่าหวาหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “เงินเยอะบ้าบออะไรกันล่ะ ฉันยังเห็นหล่อนนั่งปะติดกล่องลังอยู่เลย!”
“แล้วทำไมเมื่อก่อนหล่อนถึงไม่ให้เงินเธอล่ะ ? ” จางกว่างฝูพูดเตือนสติเช่าหวา ใช่แล้ว ถ้าจางฉุ้ยเหลียนใจกว้างมากขนาดนี้ก็แสดงว่าเธอจะต้องมีเงินอยู่ในมืออย่างแน่นอน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จางกว่างฝูก็ตีมือลงไปบนต้นขาของเช่าหวาด้วยความโมโห จากนั้นเช่าหวาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเกลียดชังว่า “คุณก็รู้ว่าเวลาที่คนหน้าไม่อายอย่างหล่อนมีเงินมีทองขึ้นมา หล่อนก็มักจะซ่อนเงินจากฉันตลอด ฉันจะไปรู้ได้ยังไงล่ะว่าหล่อนมีเงิน !”
จางกว่างฝูพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ตระกูลเซี่ยมีเงินมากมายขนาดนั้น และยังรักจางฉุ้ยเหลียนราวกับไข่มุกน้ำดีอีก แล้วเงินที่เราได้มาทั้งหมดมันก็มาจากสองสามีภรรยาคู่นั้นไม่ใช่รึไง ? แล้วคุณจะไปรังแกหล่อนให้เสียผลประโยชน์ทำไม ? ”
เช่าหวาเข้าใจความหมายของสามีในทันที แต่หล่อนก็ยังตีสีหน้าเรียบเฉยต่อไป “ฉันก็แค่ไม่พอใจที่หล่อนเที่ยวมาสั่งสอนคนอื่น! ”
“ก็ใช่ว่าเธอจะควบคุมอารมณ์ของตัวเองทำไม่ได้สักหน่อย ถ้าหากว่าเธอควบคุมอารมณ์ของตัวเองไม่อยู่ เธอก็แค่หันไปด่าเสี่ยวจวินก็แค่นั้นเอง ที่ผ่านมาเราอาจจะทำผิดพลาด แต่ถ้าหากว่าเปลี่ยนคนอื่นมาเป็นจางฉุ้ยเหลียน ป่านนี้ก็คงจะหนีออกจากบ้านไม่กลับมาแล้ว !” เมื่อได้ยินคำพูดของสามี เช่าหวาจึงได้สติกลับมาอีกครั้ง
“ตระกูลเซี่ยรวยจะตาย ฉันได้ยินมาว่าพวกเขาเลี้ยงไก่ไว้ตั้ง 40 กว่าตัว แล้วยังมีแม่หมูอีกตั้ง 2 ตัวที่เลี้ยงไว้เป็นอาหาร อีกทั้งพวกเขายังไม่ต้องเสียเงินออกไปซื้อของข้างนอกเลยด้วย ถ้าเราสองคนส่งจางฉุ้ยเหลียนให้ไปสนิทกับพวกเขา ในวันปีใหม่หลังจากนี้พวกเราก็จะได้ของมาฉลองปีใหม่จากพวกเขาไม่ใช่หรือ ? ”
ที่แท้จางกว่างฝูก็เป็นกังวลเรื่องนี้ : “ถ้าเราทั้งสองครอบครัวได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น หลังจากนี้ถ้าเสี่ยวจวินต้องแต่งงานออกไป เขาก็ต้องสร้างบ้านเป็นของตัวเอง ถึงยังไงตอนนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็คงเอ่ยปากยืมเงินจากพวกเขามาให้เราได้แน่ ? ”
เช่าหวาดวงตาลุกวาวขึ้นมาในทันที “ไอ้หยา ทำไมฉันถึงคิดไม่ได้นะ จริงสิ ! ถึงตอนนั้นถ้าให้ฉุ้ยเหลียนไปยืมเงิน ยังไงตระกูลเซี่ยก็ต้องให้เงินหล่อนอยู่แล้ว”
จางกว่างฝูคิดว่าความคิดของตัวเองนั้นยอดเยี่ยมมากเลยทีเดียว เขาพูดขึ้นด้วยความภูมิใจว่า “ผู้หญิงส่วนใหญ่ภายนอกอาจจะดูสวยสง่า แต่ความจริงแล้วก็มีความรู้เพียงน้อยนิดนัก หลังจากที่ฉุ้ยเหลียนแต่งงานไปแล้ว เงินสินเดิมของฝ่ายหญิงใครจะเป็นคนออกล่ะ ? ครอบครัวทางฝ่ายหญิงมีเงินรึเปล่า ? ทางฝ่ายชายก็ต้องดูสถานะสินเดิมของฝ่ายหญิงอยู่แล้ว ว่าพวกเขาจะต้องออกเงินค่าสินสอดเท่าไหร่ ? ”
เช่าหวาเข้าใจเรื่องนี้ดี พวกเขาต้องการเงินสินสอด เรื่องที่ตระกูลเซี่ยต้องเป็นฝ่ายออกสินเดิมให้ฝ่ายหญิงนั้น เรื่องนี้ไม่เลวเลยทีเดียว สามีของหล่อนฉลาดล่ำเลิศยิ่งกว่าใครเลยจริง ๆ
เมื่อได้ยินดังนั้น หล่อนก็อดที่จะคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้ จากนั้นก็หันไปพูดกับจางกว่าฝูว่า “ดี ! หลังจากนี้ฉันจะฟังคุณ!”