px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 34  ปิดเทอม


ตอนที่ 34  ปิดเทอม

 

หลังจากที่ผ่านพ้นช่วงสอบก่อนวันปีใหม่ไปแล้ว ทางวิทยาลัยก็ได้ปิดเทอมอย่างเป็นทางการ จางฉุ้ยเหลียนสะพายกระเป๋าหนังสือใบใหญ่ของเธอไว้บนหลัง จากนั้นก็แวะไปซื้อของขวัญก่อนจะตรงกลับไปที่บ้านตระกูลจางในทันที

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเดินมาถึงหน้าบ้าน เธอก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันระหว่างเช่าหวากับจางฉุ้ยจวินน้องชายของเธอดังออกมาจากในบ้าน

 

พวกเขาทั้งสองคนกำลังทะเลาะกันเรื่องดูละคร เช่าหวาอยากจะดูละครเรื่องความรักในหอแดง แต่จางฉุ้ยจวินอยากจะดูเรื่องไซอิ๋วที่ฉายอยู่อีกช่องหนึ่ง พวกเขาทั้งสองคนต่างก็แย่งรีโมทกันไปมา ต่างฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมใคร

 

เมื่อเห็นแบบนั้นแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็นึกขึ้นมาได้ว่า ชาติที่แล้วในปี 2010 ก่อนที่เธอจะฆ่าตัวตาย ละครอมตะที่มีชื่อเสียงทั้งสองเรื่องที่แม่และน้องชายของเธอกำลังแย่งกันดูอยู่นี้ พวกเขาก็เอากลับมาฉายซ้ำทุกปี ๆ ไม่มีเหตุผลเลยที่แม่กับน้องชายของเธอจะต้องมาแย่งกันดูแบบนี้

 

“แม่ หนูกลับมาแล้ว ! ” จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในบ้าน

 

เช่าหวาหันไปมองและพูดขึ้นมาว่า : “แกเองหรือ ฉันนึกว่าพ่อแกกลับมาบ้านเสียอีก แกปิดเทอมแล้วอย่างนั้นหรือ ? ”

 

บางทีอาจจะเป็นเพราะความรู้สึกผิดที่อยู่ในใจ เมื่อจางฉุ้ยจวินเห็นพี่สาวของเขาเดินเข้ามาในบ้าน เขาจึงได้ทำตัวสงบเสงี่ยมแบบนี้  เขานั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์อยู่ข้าง ๆ พร้อมกับหดคอเหมือนเต่าอย่างไรอย่างนั้น

 

จางฉุ้ยเหลียนคิดว่า ถึงอย่างไรเธอกับเขาก็ยังเป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน และตอนที่เธออยู่ที่วิทยาลัย เธอก็ได้ทบทวนเรื่องราวต่าง ๆ ที่ผ่านมาหลายต่อหลายครั้ง เธอคิดว่าคนในบ้านของเธอก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงนิสัยได้ภายในวันสองวันหรอก แล้วสิ่งที่เธอทำตอนนั้น เธอก็คิดว่าเธอทำเกินไปเช่นกัน

 

ในเมื่อตอนนี้เธอก็สามารถเปลี่ยนโชคชะตาของตัวเองได้แล้ว แล้วทำไมเธอถึงจะอดทนเพื่อที่จะรักษาความสัมพันธ์พี่น้องของตัวเองไม่ได้ล่ะ ?

จางฉุ้ยเหลียนล้วงมือเข้าไปหยิบของขวัญที่เธอซื้อมาออกมาจากกระเป๋า จากนั้นก็ยื่นมันไปให้กับแม่และน้องชายของเธอ ของขวัญที่เธอซื้อให้เช่าหวาคือกิ๊บติดผมที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงามชิ้นหนึ่ง ส่วนของขวัญที่เธอซื้อให้กับจางกว่างฝูคือใบชาชั้นดี และของขวัญที่เธอซื้อให้จางฉุ้ยจวินคือชุดเครื่องเขียนที่ดูดีมีราคาชุดหนึ่ง

 

เช่าหวารับของขวัญมาจากลูกสาวด้วยความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ หล่อนรีบวิ่งไปที่หน้ากระจกทันที จากนั้นก็ติดกิ๊บบนผมของตัวเอง และยืนมองเงาของตัวเองที่สะท้อนอยู่ในกระจก

 

เมื่อเห็นใบชาที่พี่สาวซื้อมาให้พ่อ จางฉุ้ยจวินก็ยื่นหน้าเข้าไปดูของขวัญที่พี่สาวซื้อมาให้ตนเองด้วยความอยากรู้อยากเห็นในทันที จากนั้นจึงได้เอ่ยปากถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่าเธอซื้ออะไรมาให้เขาอย่างไม่มีความเกรงใจในทันที

 

แต่เมื่อเห็นว่าของที่ตัวเองได้รับนั้น เป็นชุดเครื่องเขียนที่ดูไร้ประโยชน์แต่ก็ดูดีมีราคาชุดหนึ่ง เขาก็อดที่จะทำสีหน้าผิดหวังออกมาไม่ได้ แต่ก็ต้องจำใจรับมันไว้ เมื่อเขานึกไปถึงชุดเครื่องเขียนห่วย ๆ ของเพื่อนในห้อง

 

“ไอ้หยา ทำไมแกถึงได้ซื้อชุดเครื่องเขียนราคาแพงแบบนี้ให้เสี่ยวจวินล่ะ” เมื่อเช่าหวาเห็นชุดเครื่องเขียนของลูกชาย หล่อนก็ตกใจขึ้นมาทันที มันเป็นกล่องใส่เครื่องเขียนแบบแม่เหล็กพับได้สีขาว ซึ่งในกล่องนั้นมันก็อัดแน่นไปด้วยดินสอ ปากกา ยางลบ ไม้บรรทัด และวงเวียนเรขาคณิตต่าง ๆ

 

“ชุดเครื่องเขียนนี่ราคาก็น่าจะประมาณ 10 หยวนเห็นจะได้ ? ทำไมแกถึงต้องเอาเงินไปซื้อของที่ไม่มีประโยชน์แบบนี้ด้วยล่ะ ? ” เช่าหวาถลึงตาและถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปด้วยความไม่พอใจ

 

เมื่อได้ยินผู้เป็นแม่พูดแบบนี้ สีหน้าของจางฉุ้ยจวินก็แสดงออกมาถึงความไม่พอใจในทันที จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับตะโกนออกไปด้วยความโกรธว่า “อะไรกัน ของขวัญของผมมันไร้ประโยชน์อย่างนั้นหรือ ? แล้วของแม่ล่ะมันมีประโยน์ตรงไหนกัน  ติดกิ๊บแบบนั้นออกไปข้างนอกน่าเกลียดจะตายไป อย่างกับแม่หมูแก่ที่บ้านคุณลุงอย่างไรอย่างนั้น ! ”

 

เมื่อเช่าหวาได้ยินคำพูดของลูกชาย หล่อนก็รู้สึกร้อนใจและรู้สึกโกธร เมื่อรู้สึกว่าตนเองนั้นไม่ได้รับความเป็นธรรม สุดท้ายหล่อนก็เอาความโกธรที่มีต่อลูกชายไปโยนให้กับจางฉุ้ยเหลียน “แกใช้เงินสรุ่ยสุร่ายแบบนี้ได้ยังไง แบบนี้มีเงินเท่าไหร่แกก็ใช้หมด

 

จางฉุ้ยเหลียนหมดคำพูดขึ้นมาในทันที เธอใช้มือลูบไปบนศีรษะของจางฉุ้ยจวินอย่างปลอบโยน พร้อมกับพูดอธิบายออกมาว่า “ที่เสี่ยวจวินเรียนไม่เก่ง มันก็เป็นเพราะคนในบ้านไม่เชื่อในตัวเขาต่างหาก ความจริงแล้วเขาฉลาดกว่าหนูเสียอีก เราแค่ต้องให้กำลังใจเขาเท่านั้นเอง หนูเชื่อว่าเขาต้องสอบได้คะแนนสูงแน่ ๆ  ขนาดเครื่องเล่นเกมราคา 100 กว่าหยวน เขายังซื้อมันได้เลย แต่เครื่องเขียนราคาแค่ไม่กี่สิบหยวน เขาจะไม่อยากได้มันเลยอย่างนั้นหรือ มันไม่สมเหตุสมผลเลยนะ ? ”

 

เช่าหวาถึงกับสะอึกจากคำพูดของลูกสาวจนพูดออะไรไม่ออก ทางด้านจางฉุ้ยจวินก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่พี่สาวของเขากำลังพูด

 

จางฉุ้ยเหลียนก้มหน้าไปมองจางฉุ้ยจวินและพูดขึ้นมาว่า : “เมื่อก่อนฉันก็ไม่เข้าใจแกหรอกนะ แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจความคิดของแกแล้ว”

 

เธอเงยหน้าขึ้นและพูดกับเช่าหวาว่า  : “เสี่ยวจวินฉลาดกว่าเด็กอันธพาลพวกนั้นเสียอีก แต่ทำไมเขาถึงสอบได้คะแนนไม่ดีล่ะ ? ข้อแรกเลย เป็นเพราะคนในบ้านไม่ควบคุมดูแลเอาใจใส่เขา ไม่มีใครสนใจเรื่องการเรียนของเขา ส่วนข้อที่สอง ถึงแม้ว่าเขาจะเรียนไม่ดีหรือไม่ตั้งใจเรียน พ่อกับแม่ก็ไม่เคยโกรธเขา แต่กลับเอาเรื่องของเขาไปพูดให้คนอื่นฟังเหมือนเป็นเรื่องตลก แม่ลองคิดดูสิว่าเวลาที่พวกเรากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากัน นอกจากแม่จะพูดเรื่องที่แม่ไม่พอใจเราแล้ว แม่ก็ยังพูดเรื่องที่เสี่ยวจวินสอบได้ศูนย์คะแนนเป็นเรื่องตลกด้วยไม่ใช่หรือ ? เด็กที่สอบได้ศูนย์คะแนนเป็นคนไม่ดีขนาดนั้นเลยหรือ ทำไมแม่ต้องปิดกั้นการเรียนของเขาด้วยล่ะ ? ถ้าคนใกล้ตัวของเขาไม่เชื่อมั่นในตัวเขา แล้วเขาจะเชื่อมั่นในตัวเองได้อย่างไรกัน ? ”

 

เมื่อเช่าหวาได้ยินดังนั้น หล่อนก็ตระหนักขึ้นมาได้ในทันที แต่หล่อนก็ไม่เคยโทษตัวเองมาก่อน โดยเฉพาะกับลูกสาวของหล่อนที่เพิ่งจะกลับเข้าบ้านมาก็มาสั่งสอนหล่อนแบบนี้ หล่อนไม่อยากฟังเลยจริง ๆ

 

“เหลวไหลสิ้นดี ฉันไม่สนสิ่งที่แกพูดหรอกนะ ฉันก็ไม่ได้สนใจการเรียนของแก แล้วทำไมแกถึงยังเรียนดีได้ล่ะ ? เรื่องนี้มันอยู่ที่ตัวบุคคลเสียมากกว่า แกจะมาโทษพ่อแม่ไม่ได้ ทุกวันนี้ฉันกับพ่อแกก็เหนื่อยสายตัวแทบขาดแล้ว จะเอาเวลาไหนไปดูแลแกสองคน ?  ” เช่าหวาที่นั่งอยู่บนเตียงบ่นออกมาอย่างหงุดหงิด

 

“หนูไม่โทษพ่อกับแม่หรอกค่ะ แต่ที่หนูพูดแบบนี้ก็เพราะแม่กำลังรักเสี่ยวจวินในทางที่ผิด แม่ให้ท้ายเขา รักเขา แต่แม่ไม่ได้สนใจเลยว่าเขาจะคิดยังไง แม่คิดแค่ว่าให้เขาได้กินอิ่มใส่เสื้อผ้าอุ่น ๆ ก็เพียงพอแล้ว แต่แม่กลับไม่สนใจเลยว่าอนาคตเขาจะเป็นยังไง หรือแม่อยากจะให้เขาเป็นเหมือนกับพี่ฉุ้ยหลินที่ทำไร่ไถนาไปวัน ๆ แบบนั้นหรือคะ ?  ”จางฉุ้ยเหลียนพูดขึ้น แต่มือของเธอนั้นก็ยังคงลูบศีรษะของจางฉุ้ยจวินอย่างอ่อนโยน

 

นิสัยของจางฉุ้ยจวินตอนนี้ก็เหมือนกับอันธพาล เพียงแต่เขายังสามารถกลับตัวกลับใจได้ เธอจำได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่จางฉุ้ยจวินทะเลาะกับเธอ จากนั้นเขาเริ่มบ่นถึงความไม่เอาไหนของพ่อกับแม่  ซึ่งในตอนนั้นเช่าหวาก็รู้สึกผิดจนไม่ยอมลุกขึ้นมาจากเตียงหลายวัน และนั่นมันก็ทำให้เธอรู้ว่า ความจริงแล้วไม่ใช่ว่าจางฉุ้ยจวินจะไม่เข้าใจอะไรเลย แต่มันเป็นเพราะเขาไม่เคยได้รับแรงกระตุ้นเลยตั้งแต่เกิด เขาจึงกลายเป็นเด็กนิสัยไม่ดี อีกทั้งยังไม่เอาการเอางานแบบนี้ เขาเพียงแค่ถูกตามใจในทางที่ผิด และเอาแต่หวังพึ่งพ่อกับแม่เท่านั้น

 

“ทุกคนมีชะตากรรมเป็นของตัวเอง ชะตากรรมของเขาก็ไม่มีใครสามารถเข้าไปขวางได้ ” เช่าหวาแสดงสีหน้าเย็นชาออกมา ทำให้จางฉุ้ยจวินรู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งหัวใจ

 

จางฉุ้ยเหลียนได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา “ช่างเถอะค่ะ หนูไม่พูดเรื่องนี้แล้วก็ได้ แล้วเรื่องขายซาลาเปาล่ะคะเป็นยังไงบ้าง ? เสี่ยวจวินได้ไปช่วยพ่อกับแม่บ้างรึเปล่า ? ”

 

ขณะที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังพูด เธอก็เดินเข้าไปหาเสี่ยวจวิน พร้อมทั้งยัดกล่องเครื่องเขียนใส่มือของเขา ถึงแม้ว่าสิ่งที่เธอถามออกไปจะดูเหมือนว่าเธอถามน้องชาย แต่ความจริงแล้วเธอกำลังถามแม่ของเธออยู่ต่างหาก

 

“เราไม่ได้ออกไปขายซาลาเปาตั้งนานแล้ว เพราะแม่นั่นแหละเอาแต่บ่นว่าเหนื่อย ! ” จางฉุ้ยจวินเบะปาก พร้อมกับพูดออกมาด้วยน้ำเสียงถากถางเล็กน้อย

 

“เวรเอ๊ย ! เพราะแกไม่ได้เป็นคนออกไปขายไง แกถึงพูดอะไรออกมาก็ได้ แกลองคิดดูสิว่าพ่อแกทำอะไรบ้าง คนที่ทำคือฉัน ฉันก็ต้องเหนื่อยสิ ? ” เช่าหวาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาในทันที จากนั้นจึงเริ่มระบายความโกรธใส่เด็กทั้งสองคน

 

หลังจากที่ด่าลูกชายเสร็จ หล่อนก็เริ่มระเบิดความโกธรใส่ลูกสาวต่อ “แกกลับมาก็สร้างปัญหาเลยนะ ถ้าแกไม่อยากกลับบ้าน ครั้งหน้าแกก็ไม่ต้องกลับมา ใครบังคับให้แกกลับมารึไง ! ”

 

เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็โกรธขึ้นมาทันที : “หนูไม่ได้กลับบ้านตั้งหลายเดือนแล้ว แม่จะไม่ให้หนูห่วงเลยรึไง ? ขายซาลาเปามันเหนื่อยแค่ไหน ทำไมหนูจะไม่รู้ล่ะ ? เพื่อที่จะหาเงินค่าเทอม หนูก็ออกไปขายซาลาเปาคนเดียวไม่ใช่หรือ บ้านเราก็ไม่ได้มีที่ดินมากมายเหมือนกับคนอื่น ถ้าแม่ไม่ออกไปขายซาลาเปา แล้วแม่จะทำอะไรล่ะ ? ”

 

เมื่อได้ยินในคำพูดของพี่สาว จางฉุ้ยจวินก็พูดสมทบขึ้นมาทันทีว่า “ใช่แล้ว บ้านของคุณลุงกับคุณป้ามีทั้งไก่ เป็ด ห่าน สุนัข แล้วก็ยังมีแม่หมูแก่ ๆ อีกตั้งหลายตัว แต่คุณป้าก็ไม่เห็นจะบ่นเลยว่าเหนื่อย ส่วนคุณลุงก็ออกไปทำไร่ไถนาทุกวัน แต่เขาก็ไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยเลยเหมือนกัน พ่อกับแม่ต่างหากที่ขี้เกียจสันหลังยาว บ้านเราถึงได้จนอยู่แบบนี้ไง

 

คำกล่าวหาของลูกชายนั้นราวกับมีมีดเป็นร้อย ๆ เล่มมาทิ่มแทงอยู่ในใจของเช่าหวา หล่อนเริ่มแสดงสีหน้าไม่พอใจพร้อมกับพ่นคำด่าทอเสีย ๆ หาย ๆ ออกมา หล่อนเอาแต่บ่นว่าหล่อนไม่น่าเลี้ยงสัตว์เดรัจฉานอย่างจางฉุ้ยเหลียนและจางฉุ้ยจวินมาเลยจริง ๆ

 

จางฉุ้ยเหลียนเดินจูงมือน้องชายเข้าไปในห้องของเขาด้วยสีหน้าเย็นชา “แกเองก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ฐานะครอบครัวของเราเป็นยังไงแกก็รู้อยู่แก่ใจดี การที่ฉันได้ไปเรียนในครั้งนี้ มันทำให้ฉันได้รู้อะไรหลาย ๆ อย่าง ฉันมีเพื่อนเยอะมากที่ฉลาดไม่เท่าแก หน้าตาดีไม่เท่าแก แล้วบางคนฐานะทางบ้านก็ยังแย่กว่าบ้านของเราเสียอีก แต่ตราบใดที่เราเรียนจบมาได้อย่างภาคภูมิใจ เราก็จะมีอนาคตที่ดี ในเมื่อพ่อกับแม่เป็นที่พึ่งให้เราไม่ได้ เราก็ต้องพึ่งตัวเอง

 

เมื่อได้ยินสิ่งที่พี่สาวพูด สีหน้าของจางฉุ้ยจวินก็ซีดเผือดลงไปทันที จากนั้นเขาก็พูดออกมาน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อว่า “เราพึ่งพาอะไรพ่อกับแม่ไม่ได้เลยอย่างนั้นหรือ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา “แกก็ดูพ่อกับแม่เราสิ พวกเขาจะหาข้าว หาน้ำ หางานดี ๆ ให้แกได้ไหมล่ะ ? แกลองคิดดูนะว่า แกอยากจะมีงานดี ๆ ทำ หรือว่าแกอยากจะเป็นอันธพาลไปตลอดชีวิต ? ”

 

“แต่คะแนนสอบของฉันมันไม่ดี แล้วฉันก็ยังเรียนไม่รู้เรื่องด้วย ! ” นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่ผิด ! เหตุผลนี้จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจดี

 

เธอยิ้มและพูดว่า “เรื่องทำข้อสอบมันจะไปยากอะไรสำหรับแก ขนาดฉันโง่ขนาดนี้ ฉันยังทำข้อสอบได้เลย คนฉลาด ๆ อย่างแกก็ต้องทำได้ดีกว่าฉันแน่นอน”

 

จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าถ้าเธอพูดโน้มน้าวจางฉุ้ยจวินแบบนี้ออกไป เขาจะต้องเชื่อเธออย่างแน่นอน จากนั้นเธอก็หัวเราะออกมาและพูดต่อไปว่า “ถ้าแกไม่เข้าใจจริง ๆ ล่ะก็ แกก็เอาหนังสือที่แกเคยเรียนก่อนหน้านั้นมาอ่านทบทวนสิ ตอนเด็ก ๆ แกก็เรียนดีจะตาย ตอนนี้ถ้าแกกลับไปอ่านทบทวนหนังสือเรียนพวกนั้นอีกครั้ง แกก็จะรู้สึกว่ามันง่ายมากจริง ๆ เอาอย่างนี้ไหมล่ะ แกไปยืมหนังสือเรียนของเพื่อนแกมาสักเล่มสองเล่ม แล้วแกก็เอามาอ่านทบทวนดู ถ้ามีตรงไหนที่แกทำไม่ได้ แกก็มาถามฉัน ! ”

 

ทางด้านเช่าหวาที่อยู่ด้านนอก หล่อนก็หยุดโวยวายแล้ว เพราะถึงหล่อนโวยวายต่อไปก็ไม่มีใครฟังอยู่ดี ในตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็ให้จางฉุ้ยจวินออกไปยืนหนังสือเรียนของเพื่อนของเขามาเพื่อจะได้เอามาอ่าน เมื่อเช่าหวาเห็นดังนั้น หล่อนก็ลุกขึ้นมาจากเตียงและจ้องเขม็งไปทางจางฉุ้ยเหลียน พร้อมกับถามออกไปว่า “แกต้องการจะทำอะไร ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้ว “แม่ไม่อยากให้เสี่ยวจวินได้ดีอย่างนั้นหรือ

 

เช่าหวากลอกตาไปมา “แกจะบ้ารึไงฉันจะส่งเขาไปเรียนทำไมกัน เสียดายเงินเปล่า ๆ

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เธอเดินไปหยิบกระเป๋าสะพายของเธอ และหันไปพูดกับผู้เป็นแม่ว่า “เดี๋ยวแม่กับหนูต้องไปซื้อเนื้อที่ตลาดกันนะ เพราะพรุ่งนี้เราจะออกไปขายซาลาเปากัน

 

เมื่อได้ยินดังนั้น เช่าหวาก็ตะโกนออกไปว่า : “แกคิดว่าซาลาเปามันขายดีขนาดนั้นเลยรึไง? แล้วตอนนี้รถที่ขับผ่านไปผ่านมามันก็ไม่เยอะเท่าเมื่อก่อน ขายซาลาเปาได้น้อยมันจะได้กำไรอะไรล่ะ

 

จางฉุ้ยเหลียนเดินเอากระเป๋าสะพายไปเก็บที่ห้องของตัวเอง จากนั้นเธอก็เดินออกไปบอกแม่ของตัวเองว่า “หนูจะไปโรงพยาบาลหน่อยนะ หนูจะไปดูว่าพวกเขายังมีกล่องลังให้หนูเอามาปะติดอยู่รึเปล่า

 

เช่าหวายิ้มออกมาอย่างเย็นชา “เหอะ! ตอนนี้แกอยากจะหาเงินอย่างนั้นหรือ ? ฉันบอกแกไปก่อนหน้านี้แล้วไงว่าไม่ต้องไปเรียนหรอก เสียเวลา เสียเงินเปล่า ๆ หลังจากผ่านวันปีใหม่นี้ไป แกก็ต้องเตรียมตัวหาคู่ครองได้แล้ว ปลายปีแกจะได้แต่งงาน แกมันไม่มีประโยชน์อะไรสักอย่างเอาแต่เรียน ๆ ๆ อยู่นั่นแหละ”

 

จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นมา และพูดออกไปว่า “อายุของหนูก็ยังไม่เยอะเท่าไหร่ แม่จะให้หนูรีบร้อนแต่งงานไปทำไมกัน เอาเวลานี้ไปเรียนหาความรู้จบมาแล้วไปทำงานหาเงินให้ได้เยอะ ๆ ไม่ดีกว่าหรือ ถ้าเรียนจบไม่สูงมันจะหาเงินได้น้อย แม่ไม่เข้าใจเลยรึไง ? ”

 

เช่าหวามองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยความรู้สึกโกธร หล่อนถ่มน้ำลายออกมา จากนั้นก็พูดออกไปว่า  “แกจะคิดมากทำไม ?  ผู้หญิงแต่งงานมันก็เป็นเรื่องปกติ เรื่องที่ผู้ชายกลัวที่สุดก็คือการได้แต่งงานกับผู้หญิงไม่ดี ส่วนเรื่องที่ผู้หญิงกลัวที่สุดก็คือการแต่งงานกับผู้ชายไม่ดีเช่นกัน ที่ฉันทำทั้งหมดนี้มันก็เพื่อแกทั้งนั้น ทำไมแกยังไม่เข้าใจอีก ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า  “หนูเข้าใจค่ะ แต่ถ้าหนูเรียนจบมีงานทำ หนูก็จะให้เงินแม่ได้เยอะกว่าตอนที่หนูเรียนไม่จบไงคะ ”

 

เมื่อเจอคำพูดนี้ของจางฉุ้ยเหลียนเข้าไป เช่าหวาก็ปิดปากเงียบลงในทันที หล่อนลองคิดคำนวณดูแล้วมันก็เป็นอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนพูดมาจริง ๆ จากนั้นหล่อนก็ถอนหายใจออกมา ในเมื่อเรื่องมันก็เป็นอย่างนี้ไปแล้ว พูดไปมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ถึงอย่างไรหล่อนก็ต้องเอาเงินค่าสินสอดจากจางฉุ้ยเหลียนมาให้ได้ เพื่อเป็นค่าน้ำนม ค่าส่งเสียเลี้ยงดูตลอดหลายปีที่ผ่านมา หล่อนต้องเอามันกลับมาให้จงได้

 

จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางแม่ผู้ให้กำเนิดที่กำลังคิดวางแผนการอะไรบางอย่างอยู่ เธอนึกเป็นห่วงเสี่ยวจวินอยู่ในใจ เป็นเพราะแม่ของเธอทั้งนั้นที่ทำลายอนาคตของคน ๆ หนึ่งด้วยความรัก

 

ผ่านไปไม่นาน จางฉุ้ยจวินก็หอบเอาหนังสือเรียนสองสามเล่มกลับมาที่บ้าน เมื่อเขากลับมาถึงบ้าน เขาก็พุ่งตรงไปที่ห้องของตัวเองทันที และเริ่มอ่านหนังสือเรียนอย่างตั้งใจ

 

เมื่อเช่าหวาเห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปของลูกชาย แทนที่หล่อนจะเที่ยวไปป่าวประกาศความขยันของลูกชายตัวเองให้กับคนอื่นได้ฟัง แต่หล่อนกลับเอาแต่บ่นพึมพำด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เรียนแล้วมันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ  เสียเงิน เสียเวลาเปล่า ๆ  ไม่สู้เท่าออกไปทำงานหาเงินไม่ดีกว่าหรือ

 

รีวิวผู้อ่าน