px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 33 เพื่อนสนิท


ตอนที่ 33 เพื่อนสนิท

 

ปลายเดือนธันวาคม ลุงยามที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูวิทยาลัยก็ตะโกนเรียกจางฉุ้ยเหลียนให้มารับจดหมายที่ป้อมยามด้วยความดีใจ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ดูมีลับลมคมในว่า “ลุงได้รับจดหมายของหนูมาฉบับหนึ่ง มันต้องมาจากสำนักพิมพ์หนังสือพิมพ์ประจำมณฑลแน่ ๆ ครั้งนี้หนูเขียนเรื่องอะไรล่ะ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมกับพูดออกไปว่า “จดหมายฉบับนี้อาจจะถูกตีกลับมาก็ได้นะคะ ทำไมคุณลุงถึงได้ดูตื่นเต้นมากกว่าหนูอีกล่ะ

 

เมื่อได้ยืนดังนั้นคุณลุงยามเอามือไขว้หลังและหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาตอบจางฉุ้ยเหลียนกลับไปว่า “ลุงว่าไม่น่าจะใช่จดหมายตีกลับอย่างที่หนูคิดนะ ลุงคิดว่ามันน่าจะเป็นค่าต้นฉบับเสียมากกว่า

 

เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็แสดงสีหน้าเอือมระอาออกมา ทำไมคุณลุงยามถึงต้องมองเรื่องที่เธอได้รับค่าต้นฉบับเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ด้วยล่ะ ?

 

จากนั้นลุงยามก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ว่า “ในรั้ววิทยาลัยแห่งนี้น่ะ หนูเป็นคนที่มีชื่อเสียงในด้านที่ดีมากที่สุดแล้ว อีกทั้งยังทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยอีก หนูยอดเยี่ยมมากเลยจริง ๆ ไม่เหมือนกับเด็กพวกนั้น ที่เอาแต่เที่ยวเตร่มีความรักไปวัน ๆ

 

สิ่งที่คุณลุงยามอยากจะบอกก็คือ มีนักศึกษาบางคนเริ่มที่จะมีความรักกันแล้ว แล้วก็เริ่มรู้จักที่จะออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ไม่สนใจการเรียน นั่นทำให้คนหัวโบราณอย่างพวกเขาต่างพากันดูถูกพฤติกรรมเหล่านี้อยู่ไม่น้อย

 

“พวกเขาจะทำตัวแบบนั้นก็คงไม่แปลกหรอกค่ะ เพราะพวกเขาไม่มีเรื่องที่ต้องกังวลหรือกดดันอะไร แต่หนูยังต้องทำงานหาเงินค่าเทอมนี่คะ”  จางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาอย่างยิ้ม ๆ พร้อมกับเดินไปในป้อมยาม เมื่อเธอเดินเข้ามาในป้อมยามแล้ว เธอก็เห็นจดหมายฉบับหนึ่งที่จ่าหน้าซองถึงเธอวางอยู่บนโต๊ะ

 

จางฉุ้ยเหลียนหยิบจดหมายฉบับนั้นขึ้นมาเปิดดู เมื่อเปิดออกเธอก็พบว่ามันเป็นตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ค่าต้นฉบับนิยายที่เธอส่งไปให้กับทางสำนักพิมพ์  ซึ่งจำนวนเงินที่เธอได้รับในครั้งนี้มันสูงถึง 290 กว่าหยวนเลยทีเดียว เมื่อเห็นจำนวนเงินที่ระบุในตั๋วแลกเงินไปรษณีย์แล้ว ใจของเธอก็เต้นแรงขึ้นมาทันทีอย่างห้ามไม่อยู่ จากนั้นเธอก็คลี่กระดาษจดหมายฉบับนั้นออกมาดู

 

เมื่อคลี่กระดาษจดหมายนั้นออกมาดูแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็พบว่ามันคือจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของคุณซุนเย่าเวย หล่อนคือบรรณาธิการที่จางฉุ้ยเหลียนรู้จักและคุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งเนื้อหาในจดหมายในฉบับนี้ก็ได้เขียนไว้ประมาณว่า “ทางบรรณาธิการสนใจนิยายที่คุณเขียนเป็นอย่างมาก หวังว่าหลังจากนี้เราจะได้ร่วมงานกัน นอกจากนี้ยังมีคำแนะนำติชมเกี่ยวกับนิยายของคุณ หวังว่าคุณจะคำแนะนิติชมนี้ไปปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาฝีมือของตัวเองต่อไป”

 

เมื่ออ่านจดหมายฉบับนี้จบ จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เธอเก็บจดหมายฉบับนั้นไว้ในกระเป๋า จากนั้นก็หันกลับมายิ้มให้คุณลุงยามที่กำลังยืนรอฟังข่าวดีจากเธออยู่ เธอพูดกับเขาออกไปว่า “คุณลุงยามคะ ครั้งนี้หนูทำสำเร็จแล้วล่ะค่ะ นิยายของหนูได้รับการตีพิมพ์แล้วคุณลุงรอหนูอยู่ที่นี่แปปหนึ่งนะคะ เดี๋ยวหนูจะออกไปซื้ออาหารมาฉลองกับคุณลุงค่ะ

 

เมื่อพูดจบ จางฉุ้ยเหลียนก็รีบวิ่งออกไปที่หน้าวิทยาลัยด้วยความตื่นเต้นในทันที เธอวิ่งตรงไปซื้อกับข้าวที่ร้านอาหารใกล้ ๆ วิทยาลัยกลับมาสี่อย่าง ซึ่งก็มี เนื้อหมูชุบแป้งผัดซอส 1 จาน ผัดสามเซียน 1 จาน ผัดไส้หมู 1 จาน และถั่วลิสงคั่วอีก 1 จาน เธอถือโอกาสตอนที่พ่อครัวกำลังทำอาหารอยู่นั้น นำตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ที่เธอได้รับไปขึ้นเงินที่ธนาคาร และทำการแบ่งเงินส่วนหนึ่งฝากไว้ในบัญชี

 

เมื่อจัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เดินกลับไปที่ร้านอาหารอีกครั้ง เธอได้ซื้อกับข้าวมาทั้งหมด 4 อย่าง และข้าวสวยอีก 2 ถ้วย และยังมีเบียร์อีก 1 ขวด เพื่อไปฉลองกับคุณลุงยามในวันนี้

 

จางฉุ้ยเหลียนถือเบียร์และอาหารทั้งหมดตรงไปยังป้อมยามหน้าวิทยาลัยด้วยความดีใจ เมื่อผลักประตูเข้าไปเธอก็พบกับท่านอธิการบดีที่กำลังยืนหัวเราะและพูดคุยอยู่กับลุงยามอย่างสนุกสนานพอดี

 

“นี่ถือว่าเป็นการเลี้ยงขอบคุณท่านอธิการบดี แล้วก็คุณลุงยามค่ะ ขอบคุณนะคะที่ช่วยเก็บความลับให้หนู ” จางฉุ้ยเหลียนวางเบียร์และอาหารลงบนโต๊ะ เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนซื้อเบียร์มาด้วย คุณลุงยามก็หัวเราะเสียงดังออกมาทันที

 

“จางฉุ้ยเหลียน ถึงเธอจะหาเงินได้ แต่เธอก็ไม่สมควรเอาเงินมาใช้จ่ายสรุ่ยสุร่ายแบบนี้นะ ” เมื่อท่านอธิการบดีเห็นอาหารที่จางฉุ้ยเหลียนซื้อมา เขาก็รู้ได้เลยว่าเธอจะต้องจ่ายเงินกับค่าอาหารเหล่านี้ไปไม่น้อยเลยทีเดียว

 

จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า และพูดขึ้นมาว่า : “ท่านอธิการบดีไม่ต้องห่วงเลยนะคะ เพราะหนูแบ่งเงินส่วนหนึ่งเก็บไว้แล้ว ที่หนูอยากมาฉลองกับท่านอธิการบดีแล้วก็คุณลุงยามในครั้งนี้ก็เป็นเพราะนิยายเรื่องสั้นของหนูได้รับการตอบรับจากทางสำนักพิมพ์แล้วค่ะ ตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป นิยายของหนูก็จะได้ตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ประจำมณฑลแล้ว ต้องขอบคุณท่านอธิการบดีมากนะคะ ที่คอยให้คำแนะนำและชี้แนะเรื่องการเขียนนิยายของหนู เส้นทางนักเขียนของหนูเป็นจริงแล้วล่ะค่ะ”

 

ขณะที่จางฉุ้ยเหลียนพูด เธอก็ยื่นจดหมายตอบรับจากทางสำนักพิมพ์ไปให้ท่านอธิการบดี ท่านอธิการบดีจึงยื่นมือออกมารับจดหมายของจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นเขาก็เปิดอ่านมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน ซึ่งเนื้อหาในจดหมายที่เขาได้อ่าน ก็เหมือนกับที่จางฉุ้ยเหลียนบอกกับเขาก่อนหน้านี้ไม่มีผิด เขาจึงยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “อื้อ ไม่เลวเลย อาจารย์ดีใจกับเธอด้วยนะ ”

 

จางฉุ้ยเหลียนพูดขึ้นมาว่า “ยังไงหนูก็ต้องขอบคุณท่านอธิการบดีมากนะคะที่คอยช่วยเหลือหนูมาโดยตลอด และก็ต้องขอบคุณคุณลุงยามด้วยเช่นกันค่ะ ที่คอยให้กำลังใจและสนับสนุนหนูเสมอมา”

 

จางฉุ้ยเหลียนเดินไปหยิบแก้วมา 3 ใบ จากนั้นเธอก็เริ่มรินเบียร์ใส่แก้วทีละใบ : “ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งสองคนที่คอยสนับสนุนหนูมาโดยตลอดนะคะ

 

เมื่อพูดจบจางฉุ้ยเหลียนก็กระดกเบียร์ดื่มจนหมดแก้ว ซึ่งการกระทำของเธอก็ได้สร้างความตกใจให้กับท่านอธิการบดีและคุณลุงยามเป็นอย่างมาก

 

“เธอเป็นนักศึกษานะ ดื่มเบียร์ได้ยังไงกัน” อธิการบดีแย่งแก้วไปจากมือของจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วพร้อมกับพูดตำหนิจางฉุ้ยเหลียนออกมา

 

แต่คุณลุงยามกลับส่งเสียงหัวเราะเสียงดังออกมา “เด็กน้อย เธอนี่มันจริง ๆ เลยนะ เป็นไง เดินกลับหอพักไหวรึเปล่า?”

 

จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า : “วันนี้เป็นวันที่หนูดีใจมากที่สุดเลยล่ะค่ะ หนูไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกของตัวเองออกมายังไง เชิญคุณลุงยามกับท่านอธิการบดีกินกันเลยนะคะ หนูขอตัวกลับไปที่หอพักก่อน

 

ลุงยามชี้นิ้วไปทางอาหารมากมายที่วางอยู่บนโต๊ะ “อ่า? หนูซื้ออาหารพวกนี้มาให้เราจริง ๆ หรือเนี่ย ? ”

 

อธิการบดีตบไปบนไหล่ของคุณลุงยาม และพูดออกไปว่า “เด็กให้ก็รับไว้เถอะแต่ตอนนี้เราสองคนยังดื่มเบียร์ไม่ได้นะ ต้องรอเวลาเลิกงานก่อน

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกมึน ๆ เล็กน้อย เมื่อเธอกล่าวลาทั้งสองแล้ว เธอก็รีบเดินกลับหอพักของตัวเองทันที หลังจากที่เอากระเป๋าของตัวเองไปเก็บแล้ว เธอก็ถอดเสื้อตัวนอกออกและล้มตัวลงนอนบนเตียงด้วยอาการสะลืมสะลือในทันที

 

ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนกลางคืน เมื่อเธอลืมตาตื่นขึ้นมา เธอก็เห็นติงหลงหลงนั่งอยู่ที่ข้างเตียงของเธอ และกำลังจ้องเขม็งมาทางเธออยู่ เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงดีดตัวลุกขึ้นมานั่งในทันที และเธอก็พบว่ามีผ้าขนหนูที่เปียกชุ่มผืนหนึ่งวางอยู่บนหน้าผากของเธอ

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นผ้าขนหนูสีชมพูที่มีลวดลายแมวสีดำตัวน้อยผืนนี้แล้ว เธอก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าผ้าขนหนูผืนนี้ต้องเป็นของติงหลงหลงอย่างแน่นอน

 

เมื่อเห็นท่าทางงงงวยของจางฉุ้ยเหลียน ติงหลงหลงก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เธอบอกฉันมาสิว่า ทำไมเธอจะต้องดื่มเบียร์จนเมาขนาดนี้ด้วย แล้วตอนนี้เธอดีขึ้นบ้างแล้วรึยัง ? ”

 

เมื่อเห็นสีหน้าและท่าทางเป็นห่วงของติงหลงหลง จางฉุ้ยเหลียนก็ลุกขึ้นมาจากเตียงด้วยความรู้สึกเกรงใจ จากนั้นเธอก็ยื่นผ้าขนหนูส่งคืนไปให้กับติงหลงหลง และเมื่อเธอมองไปรอบ ๆ ห้อง เธอก็พบว่าทั้งห้องมีแค่เธอและติงหลงหลง 2 คนเพียงเท่านั้น นั่นทำให้เธอรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย

 

“วันนี้มีหนังมาฉายที่วิทยาลัยน่ะ ทุกคนก็เลยออกไปดูหนังกันหมดแล้ว ! ” เมื่อติงหลงหลงเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความสงสัยของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนจึงได้พูดอธิบายออกมา

 

“อ่อ ขอบใจเธอมากนะ เพราะเธอต้องมาดูแลฉัน เธอเลยไม่ได้ไปดูหนัง” จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไปด้วยความรู้สึกซาบซึ้งใจ เธอนึกไม่ถึงเลยว่าติงหลงหลงจะดีกับเธอมากขนาดนี้

 

“เหอะ ฉันก็สมควรโกรธเธอไหมล่ะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอถึงต้องดื่มเบียร์จนเมาไม่ได้สติแบบนี้ด้วย ? ” เมื่อพูดจบติงหลงหลงเมินหน้าที่ไม่สบอารมณ์ไปทางอื่น ใบหน้าที่มักจะไม่แสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมาตอนบึ้งตึงมากเลยทีเดียว

 

“ฉันไม่ได้มีเรื่องอะไรหรอก” จางฉุ้ยเหลียนยิ้มและเดินไปนั่งที่เตียงของตัวเอง เมื่อได้ยินคำถามของติงหลงหลง เธอก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้หล่อนฟังอย่างไรดี

 

“เพราะเรื่องเงินอย่างนั้นหรือ ? หรือว่าเธอไม่มีเงินค่าเทอมปีหน้า หรือว่าตอนนี้มันก็ใกล้จะปิดเทอมแล้ว แต่เธอยังหางานทำไม่ได้ ? ” ติงหลงหลงถามคำถามที่น่าจะมีความเป็นไปได้ออกมา

 

“เธอไม่ต้องกังวลนะ เดี๋ยวฉันจะไปบอกแม่แล้วก็คุณอาของฉันให้พวกเขาช่วยหางานให้เธออีกแรง เธอไม่ต้องห่วงนะ” ติงหลงหลงเป็นคนที่แข็งนอกแต่อ่อนใน หล่อนไม่ได้เป็นคนหยิ่งยโสเหมือนกับที่เฟิงเสี่ยวเจี๋ยกล่าวหาหล่อนแต่อย่างใด

 

ในระยะเวลาสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้อยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือวุ่นวายกับเรื่องของคนอื่น เธอจึงไม่ได้เก็บเอาข่าวลือพวกนั้นมาใส่ใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่ติงหลงหลงอยู่กับเธอ หล่อนก็ปฏิบัติกับเธอดี อีกทั้งนิสัยของหล่อนก็ไม่ได้เหมือนกับข่าวลือที่คนเขาลือกันแต่อย่างใด

 

“เธอไม่ต้องคิดมากเรื่องที่ฉันช่วยเธอหรอก เพราะฉันก็แค่คิดว่าเธอก็เป็นคนดีคนหนึ่ง” ขณะที่ติงหลงหลงกำลังพูดอยู่นั้น หล่อนก็ถอดรองเท้าไปด้วยและเปลี่ยนชุดนอนไปด้วย

 

ในยุคสมัยนี้ คนที่มีฐานะทางบ้านดีเท่านั้น ถึงจะมีชุดนอนใส่ และคนที่มีฐานะดีที่เธอเคยเห็นมาก็เพียงแค่ติงหลงหลงคนเดียวเท่านั้น

 

“ฉันรู้ว่าพวกหล่อนพูดลับหลังฉันว่ายังไงบ้าง แต่...เธอไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น เธอเป็นคนดีมากคนหนึ่ง เธอสามารถพึ่งพาตัวเองได้ และเธอก็ไม่ชอบพูดจาไร้สาระกับคนพวกนั้นด้วย อีกทั้งเธอก็ยังเรียนดีมากอีกต่างหาก” เมื่อได้ยินติงหลงหลงบอกว่าหล่อนรู้ว่าคนพวกนั้นพูดลับหลังหล่อนยังไงบ้าง จางฉุ้ยเหลียนก็ตกใจขึ้นมาทันที

 

“เธอรู้เหรอว่าพวกหล่อนพูดถึงเธอยังไงบ้าง ? ”

 

ติงหลงหลงแสดงสีหน้าเหยียดหยามออกมา “หน้าต่างมีหูประตูมีช่อง เฟิงเสี่ยวเจี๋ยเป็นคนปากไม่มีหูรูด ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องลอยมาเข้าหูของฉันอยู่แล้ว”

 

“งั้นทำไมเธอถึงไม่พูดกับหล่อนออกไปตรง ๆ เลยล่ะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนถามขึ้นด้วยความสงสัย

 

“เธอคิดแบบนั้นจริง ๆ หรือเนี่ย ? ตลกรึไง ! เหอะ การที่ได้เข้ามาเรียนวิทยาลัยในเมืองมันไม่ได้ทำให้หล่อนเปลี่ยนนิสัยที่ชอบนินทาคนอื่นได้หรอกนะ เพราะคนอย่างหล่อนมักจะคิดเสมอว่าสิ่งไหนที่คนอื่นทำแล้วมันแตกต่างจากตัวเอง สิ่งนั้นก็ถือว่าผิด แล้วฉันก็ขี้เกียจพูดกับหล่อนด้วย อีกอย่างฉันก็เชื่อว่ามันต้องมีสักวันที่ปัญหาจะย้อนกลับมาที่ตัวหล่อนเองเพราะความปากพร่อยของหล่อน

 

การดูถูกที่รุนแรงที่สุดก็คือการมองข้าม นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเฟิงเสี่ยวเจี๋ยถึงเกลียดติงหลงหลง

 

“เหตุผลที่ฉันดื่มเบียร์จนเมาไม่ได้สติ ฉันจะบอกเธอก็ได้ เพราะว่าเธอเป็นเพื่อนกับฉัน” จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดสักพัก จากนั้นเธอก็เริ่มเล่าเรื่องที่นิยายของเธอได้รับการตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์และเงินค่าต้นฉบับให้กับติงหลงหลงฟัง

 

ก่อนหน้านี้จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าถ้าติงหลงหลงได้ฟังเรื่องราวของเธอ หล่อนจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน แต่เธอกลับคิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อเธอเล่าเรื่องทุกอย่างของเธอให้หล่อนฟังแล้ว หล่อนจะฟังมันด้วยสีหน้าเรียบเฉยแบบนี้

 

“เรื่องที่เธอเขียนบทความจนได้ตีพิมพ์ ฉันรู้นานแล้วล่ะ”ติงหลงหลงยิ้มออกมาเล็กน้อย “ฉันกำลังรออยู่เลยว่าเธอจะบอกฉันเมื่อไหร่” หล่อนเงยหน้าขึ้น และพูดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจว่า : “แต่เธอก็ไม่ทำให้ฉันผิดหวังนะ เธอประสบความสำเร็จเร็วกว่าที่ฉันคิดไว้ซะอีก ฮ่า ฮ่า

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกตกใจขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำพูดของติงหลงหลง “เธอรู้ได้ยังไง ? ”

 

ติงหลงหลงกลอกตาไปมา “นี่เธอ ! เธอไม่รู้เหรอว่าตัวเองขี้เหนียวขนาดไหน ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่เข้าใจ เธอหันไปมองติงหลงหลงด้วยความรู้สึกงงงวย ติงหลงหลงหัวเราะออกมา พร้อมทั้งหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งออกมาจากด้านหลัง “เพราะะเธอไม่เคยซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านเองเลยใช่ไหม ? ถึงได้มายืมฉันอ่านทุกครั้งน่ะ เวลาที่เธอว่างเธอก็มักจะนอนคว่ำหน้าเขียนอะไรสักอย่างอยู่บ่อย ๆ  อีกอย่างตอนนั้นที่บทความของเธอจะได้ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ เธอก็เดินวนมาถามฉันตั้ง 8 รอบ ว่าหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นจะวางขายเมื่อไหร่ แล้วเธอยังยอมควักเงินจ่ายค่าหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นอีกต่างหาก แล้วเธอคิดว่าฉันจะไม่รู้ได้ยังไงล่ะ

 

เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ถึงกับนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว เธอไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตัวเองจะตระหนี่ขี้เหนียวได้ถึงขนาดนี้ ถ้าวัดความขี้เหนียวของคนในห้องพักแห่งนี้ เธอก็อาจจะเป็นที่หนึ่งเลยก็ได้ แต่เธอกลับไม่รู้มาก่อนเลยว่าตอนเองจะขี้เหนียวมากขนาดนี้

 

เธอรู้สึกลำบากใจขึ้นมาเล็กน้อย แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มแห้ง ๆ และพูดออกไปว่า “ขอโทษนะ ฉันก็ขี้เหนียวจริง ๆ นั่นแหละ

 

ติงหลงหลงโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไรฉันเข้าใจเธอ เพราะเงินทุกหยวนที่เธอจ่าย ล้วนมาจากเงินที่เธอหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองทั้งนั้น”

 

เมื่อพูดจบ หล่อนก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้ว่า “จะว่าไปแล้ว เธอได้เงินค่าต้นฉบับมาเท่าไหร่หรือ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิด จากนั้นเธอก็เดินไปเอาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของเธอมาเปิดให้ติงหลงหลงดู เมื่อติงหลงหลงเห็นตัวเลขในสมุดบัญชีของเธอ การกระทำของหล่อนก็ทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาอีกครั้ง

 

เธอคิดว่าติงหลงหลงจะตาโตด้วยความตกใจเมื่อเห็นเงินในบัญชีของเธอซะอีก แต่หล่อนกลับทำสีหน้าเรียบเฉยพร้อมกับพูดออกมาว่า “เงินเยอะดีนี่ ดีแล้วล่ะ เธอมีเงินเก็บเยอะกว่าฉันอีก อย่างนี้เธอก็เลี้ยงข้าวฉันได้แล้วน่ะสิ”

 

เมื่อพูดจบติงหลงหลงก็เอียงศีรษะพร้อมกับบ่นพึมพำออกมาอีกว่า “อื้อ จากบทความทั้งสามบทความของเธอก็คิดเป็นเงิน 400 กว่าหยวน สามปีนี้เธอก็คงจะใช้ชีวิตอยู่ในรั้ววิทยาลัยแห่งนี้ได้อย่างสบาย ๆ แล้วล่ะ โชคดีจริง ๆ

 

จางฉุ้ยเหลียนนึกไม่ถึงเลยว่าติงหลงหลงจะคิดแบบนี้ เธอรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งเธอยังรู้สึกละอายใจ ที่ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าติงหลงหลงเป็นคนเย็นชามาก่อน

 

“เธอเอาเงินไปฝากธนาคารแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ เพราะเงินที่ได้จากการทำงานในโรงอาหารก็น่าจะเพียงพอที่จะชื้อของใช้ในชีวิตประจำวันได้แล้ว” ติงหลงหลงเข้าใจฐานะทางการเงินจางฉุ้ยเหลียนดี หล่อนจึงได้พูดสิ่งที่หล่อนคิดออกมา

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่แปลกใจที่ติงหลงหลงรู้เรื่องที่เธอไปทำงานที่โรงอาหาร เพราะข่าวเรื่องที่เธอไปทำงานที่โรงอาหารนั้นก็ได้แพร่กระจายออกไปทั่วทั้งวิทยาลัยอย่างรวดเร็วแล้ว

 

“เธอก็เห็นว่าการเขียนบทความทำเงินได้เยอะ เธอไม่ลองส่งบทความของเธอไปที่สำนักพิมพ์ดูบ้างล่ะ?” จางฉุ้ยเหลียนพูดแนะนำติงหลงหลงให้หล่อนลองส่งบทความไปที่สำนักพิมพ์ดู

 

“ฉันไม่สนใจหรอก อีกอย่างฉันก็ขี้เกียจด้วย ฉันชอบอ่าน ไม่ได้ชอบเขียน ตอนนี้ก็ถือซะว่าฉันเป็นผู้อ่านที่ภักดีต่อเธอแล้วกันนะ หลังจากนี้ถ้าเธอเขียนต้นฉบับเสร็จ เธอก็เอามาให้ฉันอ่านก่อน ถ้าฉันรู้สึกว่ามันดี เธอก็ค่อยส่งไปที่สำนักพิมพ์ ” ติงหลงหลงคิดว่าความรู้สึกที่ได้อ่านนิยายก่อนคนอื่น มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากเลยจริง ๆ

 

จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ได้สิ ฉันเชื่อเธอนะ ถ้าเธอว่าดี คนอื่นก็ต้องว่าดีด้วยเหมือนกัน”

 

ช่วงปลายปี 1988 จางฉุ้ยเหลียนกับติงหลงหลงก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น และพวกเธอทั้งสองคนมักจะเดินไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เพราะพวกเธอต่างก็รู้ความลับของกันและกัน หลังจากที่พวกเธอทั้งสองคนลงเรือลำเดียวกันแล้ว พวกเธอก็ต้องฝ่าพายุฝนเหล่านี้ไปให้ได้ พวกเธอต่างก็เชื่อใจกันและให้กำลังใจกันเสมอ

 

สามวันต่อมา จางฉุ้ยเหลียนก็ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงประทัดที่กำลังดังครึกโครมอยู่ด้านนอก

 

หลี่ม่านตะโกนเสียงดังอยู่บนเตียงชั้นบนด้วยความตื่นเต้นว่า “ปี 1989 แล้ว ทุกคน สวัสดีปีใหม่นะ

 

จางฉุ้ยเหลียนลุกขึ้นมานั่งบนเตียง และมองไปทางฝั่งตรงข้ามด้วยผมเพล้าที่ยุ่งเหยิงพร้อมกับดวงตาที่ยังคงปรือด้วยความด้วยความรู้สึกง่วง เมื่อเธอหันไปเห็นติงหลงหลงที่สวมใส่ชุดนอนสีขาว คอเสื้อเปิดกว้าง  เธอจึงยิ้มและพูดออกไปว่า “สวัสดีปีใหม่

 

ติงหลงหลงก็พูดอวยพรขึ้นมาด้วยเรื่องที่พวกเธอเข้าใจกันอยู่สองคนว่า: “สวัสดีปีใหม่ ขอให้งานก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไปนะ

รีวิวผู้อ่าน