ตอนที่ 32 แยก
มันฝรั่งถูกหั่นเป็นเส้นฝอยละเอียด และนำไปล้างน้ำทำความสะอาด เพื่อกำจัดแป้งส่วนเกินออก ในตอนที่นำลงไปผัด จางฉุ้ยเหลียนก็ใส่น้ำส้มหมักที่คนในตระกูลกู้ชอบกินลงไปด้วย ใช้พริกสีแดงโรยหน้าตกแต่งเล็กน้อย ให้ดูน่ารับประทานมากยิ่งขึ้น
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ทิ้งแป้งส่วนเกินที่ได้จากการล้างมันฝรั่งไปแต่อย่างใด เธอนำแป้งส่วนเกินนั้นมาผสมกับน้ำ เพื่อทำเป็นแป้งมันที่ใช้ผสมกับอาหารชนิดอื่น ๆ นี่เป็นทักษะขั้นสูงของเธอเลยทีเดียว ถึงอย่างไรตระกูลกู้ก็ไม่ได้เตรียมแป้งเอาไว้ให้อยู่แล้ว
ปลาที่อันหลงซื้อมาคือปลาเฉา ปลาชนิดนี้มีเนื้อที่สดและมีเกล็ดน้อย ปลาเฉาตัวหนึ่งมีน้ำหนักมากว่า 1 ชั่ง ใช้เวลานึ่งแค่ 8-9 นาทีก็ได้ที่แล้ว ถ้านึ่งนานเกินไป อาจจะทำให้เนื้อปลาเหี่ยวได้
ส่วนผักกาดขาวนั้น จางฉุ้ยเหลียนรู้ความคิดของอันหลงเป็นอย่างดี ถ้าเป็นคนส่วนใหญ่ก็จะทำเพียงแค่ผักกาดขาวห่อหมูเพียงอย่างเดียว แต่อาหารเพียงแค่สามอย่างนั้นไม่สามารถตั้งโต๊ะได้อย่างแน่นอน ? นี่คือความเจ้าเล่ห์ของอันหลง หล่อนนั้นอยากจะรู้ ว่าถ้ามีวัตถุดิบที่จำกัด จางฉุ้ยเหลียนจะสามารถรังสรรค์เมนูอะไรออกมาได้บ้าง
ทำไมเธอถึงได้รู้เรื่องนี้ดีขนาดนี้น่ะเหรอ ก็เพราะตอนที่เธอเพิ่งจะเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านตะกูลกู้ใหม่ ๆ เธอต้องทำอาหารให้กับแม่สามีเป็นครั้งแรกน่ะสิ และในตอนนั้นแม่สามีของเธอก็ได้เตรียมวัตถุดิบแบบเดียวกันนี้ให้กับเธอด้วยเช่นกัน ในตอนนั้นเธอเตรียมอาหารทั้งสามอย่างด้วยตัวที่สั่นเทา จนสุดท้ายก็ถูกอันหลงด่ายกใหญ่ เธอปาดน้ำตาและทำข้าวผัดไข่แทน
หลังจากที่กลับชาติมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ ถ้าเธอยังพลาดกับเรื่องเดิม ๆ อีก เธอก็คงจะโง่เหมือนหมูแล้วล่ะ
จางฉุ้ยเหลียนใช้มือฉีกผักกาดขาวออกมาทีละใบ ๆ และนำไปต้มในน้ำร้อน จากนั้นก็เตรียมหมูสับที่สับจนละเอียด ต้นหอม กระเทียมสับ ขิงสับ รวมทั้งเกลือ ผงปรุงรส น้ำตาลลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน
เธอใช้ใบผักกาดขาวมาห่อหมูและม้วนมันเป็นชิ้นสี่เหลี่ยม พอม้วนเสร็จก็นำมันมาวางเรียงบนจานจนเต็ม หลังจากนั้นก็นำไปวางลงในหม้อ และนึ่งประมาณ 10 นาที
จางฉุ้ยเหลียนถือโอกาสในช่วงที่กำลังนึ่งผักกาดขาวห่อหมูนี้ นำผักกาดขาวที่เหลืออยู่มาหั่นเป็นเส้นฝอย ๆ เมื่อผักกาดขาวห่อหมูที่ตั้งไว้สุกได้ที่แล้ว ก็นำมันออกมาจากหม้อ จากนั้นก็นำผักกาดขาวที่หั่นเป็นเส้นฝอย ๆ นั้นลงไปลวกในน้ำร้อน ต่อมาเธอก็ทำการตั้งกระทะและเร่งไฟให้แรงขึ้น จากนั้นจึงใส่น้ำมันถั่วเหลืองลงไป พอน้ำมันร้อนได้ที่แล้ว ก็ใส่พริกป่นลงไปเพื่อทำเป็นน้ำมันพริก
นำผักกาดขาวหั่นฝอยที่ลวกแล้วมาพักไว้ในน้ำเย็น ใส่ต้นหอมสับ ขิงสับ กระเทียมสับ เกลือ น้ำตาลทรายขาว ซอสถั่วเหลือง น้ำส้มสายชูรวมทั้งน้ำมันพริกลงไปคลุกเคล้าให้เข้ากัน ผักกาดขาวหั่นฝอยเย็นที่มีรสเผ็ดเล็กน้อยก็เป็นอันเสร็จ อาหารจานนี้เอาชนะใจกู้จื้อชิวที่ชอบกินเผ็ดได้อย่างแน่นอน
ส่วนผักกาดขาวห่อหมู จางฉุ้ยเหลียนก็ใช้ตะเกียบคีบมันออกมาวางเรียงกันไว้ในจานที่ต้องการจะจัดเสิร์ฟ ต่อมาเธอก็ตั้งหม้อและเทน้ำซุปที่เข้มข้นลงไป จากนั้นก็เติมแป้งที่ได้จากการล้างมันฝรั่งก่อนหน้านี้ลงไปเพื่อเพิ่มความเหนียวข้นให้กับน้ำซุป เมื่อน้ำซุปเหนียวข้นได้ที่แล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็นำน้ำซุปนั้นมาเทราดลงไปบนผักกาดขาวห่อหมูที่เธอวางเรียงไว้ในจานก่อนหน้านี้ อาหารจานที่สี่ก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์
ในตอนที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังทำอาหารเสียงดังตึงตังอยู่ในครัวอยู่นั้น กู้เต๋อไห่พ่อของกู้จื้อเฉิงก็เลิกงานกลับมาถึงบ้านพอดี
เมื่อเปิดประตูเข้ามา เขาก็เห็นภรรยาและลูกสาวของตัวเองกำลังนั่งดูโทรทัศน์อย่างสบายใจ ส่วนในห้องครัวก็มีใครบางคนกำลังทำอาหารอย่างขะมักเขม้นอยู่ ซึ่งเขาคิดว่ากู้จื้อเฉิงต้องเพี้ยนไปแล้วแน่ ๆ ที่ลุกขึ้นมาทำอาหารแบบนี้
อันหลงยิ้มทักทายและเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้แก่สามีฟัง เมื่อได้ฟังสิ่งที่ภรรยาเล่า กู้เต๋อไห่ก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลว่า “คุณให้เธอมาทำอาหารในครัวของเราเนี่ยนะ ? เธอเป็นแขกของเรานะ และตอนนี้ก็ยังไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกับลูกชายของเราด้วย!”
อันหลงกลอกตาไปมา จากนั้นก็พูดอย่างเอาแต่ใจตัวเองว่า “ถ้าหล่อนทำอาหารไม่เป็น แล้วคิดที่จะมาสานสัมพันธ์กับลูกชายของเราล่ะก็ ไม่มีทางแน่นอน!”
กู้เต๋อไห่ขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปทางห้องครัวอย่างช้า ๆ เพื่อไปแอบดูจางฉุ้ยเหลียน เมื่อเขามองเข้าไปในครัว เขาก็เห็นจางฉุ้ยเหลียนกำลังเช็ดเหงื่อไปพลางและทำอาหารไปพลาง เขาอดที่จะส่ายหน้าและถอนหายใจออกมาไม่ได้ เมื่อเห็นดังนั้นเขาก็เดินไปที่ห้องของลูกชายตัวเอง
เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นพ่อของเขาเดินเข้ามา เขาจึงรีบลุกขึ้นมานั่งในทันที
“แกไม่ต้องลุกหรอก ! ” กู้เต๋อไห่โบกมือไปมา จากนั้นก็ปิดประตูลง
“คนที่กำลังทำอาหารอยู่ในครัว แกคิดยังไงกับเขา ? ” กู้เต๋อไห่เริ่มเปิดประเด็นขึ้นมาทันที ซึ่งกู้จื้อเฉิงก็ได้แต่ตอบออกไปอย่างตรงไปตรงมากับผู้เป็นพ่อ
“ก็ไม่มีอะไรครับ เธอก็แค่มาถามผมเพื่อที่จะรวบรวมข้อมูลเอาไปเขียนนิยายก็เท่านั้นเอง” กู้จื้อเฉิงส่ายหน้าด้วยความลำบากใจ เขาไม่ได้คิดอะไรกับจางฉุ้ยเหลียน แต่แม่ของเขาต่างหากที่คิดมากเกินไป
“อายุของเธอยังน้อย อีกทั้งยังมีความสามารถ เธอไม่จำเป็นจะต้องพาตัวเองมาแต่งงานกับคนที่ไม่มีอนาคตแบบผมหรอกครับ ! ” กู้จื้อเฉิงตบลงไปบนหน้าขาที่ยังใส่เฝือกของตัวเองอยู่ และมองไปทางผู้เป็นพ่อพร้อมกับพูดความรู้สึกในใจออกมา
กู้เต๋อไห่คิดไม่ถึงเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนจะมีความสามารถมากขนาดนี้ เมื่อได้ยินดังนั้นเขาจึงคิดว่าเรื่องของกู้จื้อเฉิงและจางฉุ้ยเหลียนคงไม่มีทางเป็นไปได้
สองพ่อลูกนั่งจ้องหน้ากันโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา ในตอนนั้นเองอาหารทั้งสี่อย่างของจางฉุ้ยเหลียนก็พร้อมยกมาเสิร์ฟเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อันหลงจึงเดินมาเรียกสองพ่อลูกให้ออกไปกินข้าว เมื่อทั้งสองนั่งลง พวกเขาก็มองไปยังอาหารทั้งสี่อย่างตรงหน้าทันที ซึ่งการกระทำนั้นของพวกเขามันก็ทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย
“นี่อะไรอย่างนั้นหรือ ? อ้อ ผักกาดขาวห่อหมู!ป้าก็กำลังคิดอยู่ว่าหนูทำอะไรอยู่ในครัว ถึงได้มีเสียงสับดังตึงตัง ๆ อยู่ตลอดเวลา” อันหลงเอ่ยปากชมจางฉุ้ยเหลียนออกมาว่า “นึกไม่ถึงเลยว่าหนูจะทำเมนูนี้ได้ ไม่เลวเลย ไม่เลวเลย ฝีมือของหนูใช้ได้เลยทีเดียว!”
กู้เต๋อไห่เลิกคิ้วขึ้นสูง จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับจางฉุ้ยเหลียนเพื่อเป็นการขอโทษ : “ยังไงก็ต้องขอโทษหนูด้วยนะ หนูเป็นแขกแท้ ๆ แต่กลับต้องมาทำอาหารให้คนในบ้านกินแบบนี้!”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มออกมาด้วยความไร้เดียงสา : “ตอนนี้หนูเป็นลูกศิษย์ของพี่กู้จื้อเฉิง หนูควรที่จะทำอยู่แล้วล่ะค่ะ แหะ ๆ ถือซะว่านี่เป็นค่าตอบแทนที่พี่กู้จื้อเฉิงให้คำปรึกษาหนูแล้วกันนะคะ ! ”
กู้เต๋อไห่ถอนหายใจออกมา การที่จะต้องสูญเสียลูกสะใภ้ดี ๆ แบบนี้ไป มันก็น่าเสียดายอยู่ไม่น้อย เขาหยิบตะเกียบขึ้นมาคีบเนื้อปลาเข้าปาก
เมื่อเห็นว่ากู้เต๋อไห่เริ่มกินแล้ว คนอื่น ๆ ก็เริ่มหยิบตะเกียบเช่นเดียวกัน
อาหารจานแรกที่อันหลงเลือกกินก็คือผักกาดขาวห่อหมู ส่วนกู้จื้อชิวเลือกกินผักกาดขาวหั่นฝอยเย็นรสเผ็ด และอาหารที่กู้จื้อเฉิงเลือกก็คือผัดมันฝรั่งที่เขาชอบกินมากที่สุด
ทั้งสี่คนกินเลือกอาหารกันคนละอย่าง ส่วนทางด้านจางฉุ้ยเหลียนก็ได้แต่มองไปทางพวกเขาทั้งสี่คนด้วยใจที่เต้นระทึก
“อื้อ ! เนื้อปลานุ่มกำลังดี แม่หนู ฝีมือการทำอาหารของหนูดีกว่าคุณป้าอันหลงเสียอีก!” กู้เต๋อไห่วางตะเกียบลง และกล่าวชื่นชมจางฉุ้ยเหลียนออกมา
“ผักกาดขาวเย็นหั่นฝอยรสเผ็ดนี่ก็อร่อยมากเหมือนกัน ทั้งเปรี้ยว ทั้งเผ็ด แล้วก็หอมมากด้วย แม่คะ! แม่ลองชิมดูสิคะ มันอร่อยมากเลย! ” กู้จื้อชิวตีไปบนแขนของอันหลง จนถูกกู้เต๋อไห่หันมาดุหล่อนผ่านทางสายตา
“ไม่มีมารยาทเลย ! ควรรู้สิว่าอะไรควรหรือไม่ควร !” อันหลงก็รู้สึกไม่พอใจกับความไม่มีมารยาทของลูกสาวเช่นกัน แต่ถึงอย่างไรเมนูผักกาดขาวห่อหมูของจางฉุ้ยเหลียน ก็สร้างความประหลาดใจให้กับหล่อนได้เป็นอย่างมาก
อีกทั้งเมนูผัดมันฝรั่งหั่นฝอยนี้ก็ได้เนื้อที่ละเอียดและกรอบมากเช่นกัน เห็นได้ชัดเลยว่าทักษะการทำอาหารของหล่อนนั้นเทียบกับจางฉุ้ยเหลียนไม่ติดเลยจริง ๆ
หลังจากที่อันหลงได้กินอาหารฝีมือของจางฉุ้ยเหลียนมื้อนี้แล้ว หล่อนก็ตัดสินใจได้ในทันทีว่าหล่อนอยากจะได้จางฉุ้ยเหลียนมาเป็นลูกสะใภ้ และก็ยังมีคนที่คิดเหมือนกับอันหลงอีกคนก็คือ กู้จื้อเฉิง
ถ้าเขาพิการขึ้นมาจริง ๆ เขาก็ไม่มีทางที่จะทำร้ายเด็กสาวคนนี้ได้อย่างแน่นอน เรียนก็ดี ฝีมือการทำอาหารก็เก่ง มีความก้าวหน้า หน้าตาก็สวย แล้วยังมีบทความที่ได้ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์อีก เขาเองก็รู้สึกเสียดายอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นว่าทุกคนพึงพอใจกับอาหารของเธอ เธอก็รู้สึกเหมือนได้ยกหินออกจากอกเลยทีเดียว
เมื่อกินอาหารเย็นเรียบร้อยแล้ว อันหลงก็เดินออกมาส่งจางฉุ้ยเหลียนที่หน้าบ้าน ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็ได้แบกขนมที่อันหลงยัดใส่กระเป๋าของเธอกลับมาที่วิทยาลัยด้วย วันนี้เป็นวันที่จางฉุ้ยหลียนรู้สึกว่าเธอมีความสุขมากที่สุด เธอแทบจะกระโดดโลดเต้นกลับไปที่หอพักเลยทีเดียว
หลังจากที่มาบ้านตระกูลกู้ในครั้งนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็สามารถหาข้ออ้างที่เธอจะมาที่บ้านตระกูลกู้ได้อย่างสบายใจแล้ว ทุกครั้งที่มีเวลาว่างในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ เธอก็มักจะมาที่บ้านตระกูลกู้พร้อมกับกระดาษและปากกาอยู่เสมอ อีกทั้งเธอยังได้ทำอาหารเย็นที่แสนอร่อยให้กับทุกคนในบ้านได้กินอีกด้วย
เธอแกล้งทำเป็นมองไม่เห็นรอยยิ้มพึงพอใจของอันหลง และก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ว่ากู้เต๋อไห่นั้นลอบสังเกตเธอจากทางด้านหลังอยู่บ่อย ๆ เธอทำเพียงแค่ยิ้มให้กับกู้จื้อชิวที่เป็นเหมือนดั่งหมูตัวน้อย ๆ ที่รักในการกินเป็นชีวิตจิตใจ และยิ้มให้กับกู้จื้อเฉิงที่ชอบทำตัวมาดนิ่งคนนี้เท่านั้น
“นี่เป็นนิยาย 5 ตอนที่หนูเขียนเองค่ะ พี่ช่วยดูให้หน่อยสิคะว่ามีส่วนไหนที่ไม่เหมาะสมรึเปล่า ถ้าเราร่างเค้าโครงเรื่องได้แล้ว ต่อไปก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้วล่ะค่ะ! ” จางฉุ้ยเหลียนยื่นกระดาษหนา ๆ ปึกหนึ่งไปให้กู้จื้อเฉิงด้วยท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตน เมื่อเห็นท่าทางที่เคร่งขรึมของกู้จื้อเฉิงแล้ว ถ้าหากมีคนที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นทหารผ่านมาเห็นเข้าล่ะก็ พวกเขาก็คงจะคิดว่ากู้จื้อเฉิงต้องเป็นบรรณาธิการที่เก่งกาจมากแน่ ๆ
ตอนนี้อากาศภายในห้องก็เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ กู้จื้อเฉิงจึงเปิดหน้าต่างไว้เพียงบานเดียว เมื่อมีลมพัดผ่านเข้ามา มันก็ส่งผลให้กระดาษที่กู้จื้อเฉิงถืออยู่ในมือพลิ้วไหวเล็กน้อย บวกกับท่าทางที่เคร่งขรึมของเขา เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นภาพนี้ เธอก็คิดว่ามันงดงามมากเลยทีเดียว
กู้จื้อเฉิงก้มหน้าลงอ่านเรื่องราวที่จางฉุ้ยเหลียนเขียนด้วยความตั้งใจ ถึงแม้ว่าเขาจะเคยเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเพื่อนทหารรวมทั้งการใช้ชีวิตของตัวเองให้อีกฝ่ายได้ฟังอย่างละเอียดแล้ว แต่เขาก็นึกไม่ถึงเลยว่าตัวเอกภายใต้นามปากกาของจางฉุ้ยเหลียนนั้นจะสดใหม่ไม่เหมือนใครขนาดนี้
“ทำไมถึงเขียนให้เขามีลักษณะที่ ‘แข็งทื่อ’ ไร้ความรู้สึกเหมือนท่อนไม้แบบนี้ล่ะ แค่คำสั่งให้หยุดง่าย ๆ แค่นี้ก็ยังทำไม่ได้ ? ” กู้จื้อเฉิงวางกระดาษที่อยู่ในมือลง และถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปด้วยความอยากรู้
“มันเป็นการเปรียบเทียบความสามารถก่อนและหลังของตัวเอกไงคะ!แต่ตัวเอกของเรื่องที่หนูเขียนมันก็ยังดีกว่าตัวละครที่ชื่อว่าก๊วยเจ๋งอีกนะ ขนาดก๊วยเจ๋งที่โง่แบบนั้น เขาก็ยังกลายเป็นคนที่มีความสามารถได้ในภายหลังเลยไม่ใช่หรือคะ ? ” ก๊วยเจ๋งนั้นเป็นตัวละครหนึ่งในเรื่องมังกรหยก ซึ่งออกฉายครั้งแรกในปี 1983 เมื่อละครเรื่องนี้ได้ฉายออกสู่สาธารณชน มันก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และทำให้ผู้คนต่างก็รู้จักกิมย้งที่เป็นผู้ประพันธ์บทละครเรื่องนี้ เมื่อละครของเขาได้รับความนิยม นิยายเรื่อง นักฆ่าเทวดาแขนเดียว ของเขาก็เริ่มได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน และด้วยความซื่อสัตย์ของตัวละครที่ชื่อว่าก๊วยเจ๋งในนิยายเรื่องนี้ มันก็ได้สร้างความประทับใจให้กับผู้อ่านเสมอมา
จางฉุ้ยเหลียนนั้นไม่กล้าที่จะลอกเลียนแบบวิธีการจู่โจมของทหารจากเรื่องซื่อปิงถูจี๋ทั้งหมด เธอจึงได้นำเนื้อเรื่องจากเรื่องของก๊วยเจ๋งและเรื่องคนขายเลือดมาผนวกรวมเข้าด้วยกัน
“อื้อ แบบนี้ก็ตรงกับสุภาษิตที่ว่าความวิริยะและความอุตสาหะทั้งหลายสามารถเอาชนะความโง่เขลาได้ หรืออีกสุภาษิตหนึ่งก็คือนกโง่บินก่อน ไม่เลว ๆ ! ” กู้จื้อเฉิงคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นเขียนนิยายได้ดีมากเลยทีเดียว และเมื่ออ่านนิยายของเธอแล้ว มันก็ทำให้เขารู้สึกว่านิยายของเธอนั้นน่าติดตามและอยากที่จะอ่านต่อ
กู้จื้อเฉิงคิดว่าหลังจากที่เขาถอดเฝือกออกและร่างกายของฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว เขาก็คงต้องกลับไปประจำการที่กรมทหาร อีกทั้งในกรมทหารเขาก็ยังมีงานที่ต้องทำอีกมากมาย เขาคงไม่มีเวลาว่างเหมือนอยู่ที่บ้านตอนนี้แน่ แต่เรื่องที่เขาจะได้ไปประจำการอยู่ที่กรมทหารเดิม หรือจะได้ย้ายไปประจำการอยู่ที่กรมทหารใหม่ นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเขา เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ถ้าเขาต้องกลับไปประจำการอยู่ที่กรมทหารแล้ว ใครจะเป็นคนให้คำปรึกษาจางฉุ้ยเหลียน ?
“ให้พ่อของฉันคอยชี้แนะแนวทางให้เธอดีกว่าไหม เขามีความรู้ความเข้าใจมากกว่าฉันเสียอีก!” เมื่อกู้จื้อเฉิงคิดเรื่องที่เขาต้องกลับไปประจำการที่กรมทหารแล้ว เขาก็พูดแนะนำจางฉุ้ยเหลียนออกมา
ในตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนอยากจะงัดสมองของเขาออกมาดูให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลยจริง ๆ เธออยากจะดูสิว่าเขาเติบโตมาได้ยังไง ทำไมถึงได้โง่เหมือนหมูขนาดนี้ ? ให้เธอไปถามพ่อของเขาเนี่ยนะ เธออยากแต่งงานกับเขานะ เธอไม่ได้อยากจะเป็นแม่เลี้ยงของเขา!
“เอาอย่างนี้ดีไหมค่ะ!ไว้ถ้าหนูมีข้อมูลมากกว่านี้ หนูจะเขียนจดหมายไปถามพี่ก็แล้วกัน แล้วหลังจากนี้ถ้ามีส่วนไหนที่เขียนแล้วมันติดขัด หนูก็จะรวบรวมข้อมูลแล้วเขียนจดหมายส่งไปถามพี่เองค่ะ!”
กู้จื้อเฉิงครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาพยักหน้า “ก็ได้!พ่อฉันก็ไม่ได้มีส่วนร่วมในเรื่องนี้ด้วย ถ้าเธอไปถามเขา เขาก็อาจจะจับจุดสำคัญของนิยายไม่ได้ ถ้ามีเรื่องอะไรที่เธออยากจะรู้ล่ะก็ เธอก็เขียนจดหมายมาถามฉันแล้วกันนะ!”
ตอนนี้เวลาก็ได้ล่วงเลยผ่านมาถึงต้นเดือนธันวาคมแล้ว และก็เป็นเวลาที่กู้จื้อเฉิงต้องกลับไปประจำการอยู่ที่กรมทหารเดิมที่เขาเคยประจำการอยู่
ถ้าเป็นชาติที่แล้วตอนนี้เธอกับกู้จื้อเฉิงก็คงแต่งงานกันแล้ว แต่ในตอนนี้เธอและเขาก็ยังไม่ได้แต่งงานกันเลย และเธอก็ไม่รู้ว่าอันหลงยังอยากให้เธอเป็นลูกสะใภ้ของหล่อนอยู่รึเปล่า เพราะตอนนี้หล่อนก็ได้รับข่าวดีแล้วว่าร่างการของกู้จื้อเฉิงนั้นไม่ได้มีปัญหาอะไร และเขาก็สามารถกลับไปประจำอยู่ในกรมทหารได้แล้ว
ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้เลยว่าเธอควรจะทำอย่างไรต่อไปดี แม้แต่โอกาสที่เธอจะสานสัมพันธ์กับกู้จื้อเฉิง เธอก็ยังมองไม่เห็นเลยแม้แต่น้อย ! เมื่อดูจากนิสัยที่หวังผลประโยชน์ของอันหลงแล้ว ลูกสะใภ้ที่หล่อนเลือกจะต้องมีคุณสมบัติที่ดีกว่าเธอแน่นอน
อย่างน้อยหล่อนก็ต้องหาคนที่เพียบพร้อม หรือคนที่สามารถทำให้ลูกชายของหล่อนก้าวหน้าได้ นอกจากความสามารถที่ยอดเยี่ยมและฝีมือการทำอาหารของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว เธอก็ไม่มีอะไรที่โดดเด่นอีกเลย
เป็นอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนคิดไว้ อันหลงกำลังนั่งถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก: “โชคดีที่จางฉุ้ยเหลียนยังไม่ได้แต่งงานกับพี่ชายของลูก ! ไม่อย่างนั้นคงเป็นการทำร้ายเขาแน่ ๆ!”
กู้จื้อชิวเคี้ยวขนมพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า : “พี่จางฉุ้ยเหลียนเองก็ไม่ได้บอกนี่คะ ว่าเธอชอบพี่ชายของหนู!”
“ชู่!เด็กโง่นี่ พี่ชายของลูกออกจะดีขนาดนั้น ยังไงเขาก็ต้องหาหญิงสาวที่ดีมีคุณสมบัติเพียบพร้อมมาแต่งงานด้วยอย่างแน่นอน ต่อให้จางฉุ้ยเหลียนอยากเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านเรา ยังไงก็ต้องได้รับการยินยอมจากแม่ก่อน!”
สามสิบปีอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำ สามสิบปีอยู่ทางตะวันตกของแม่น้ำ หลังจากนี้ตระกูลกู้ก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล!