ตอนที่ 31 ยอมรับ
คำถามของกู้จื้อเฉิงทำให้บรรยากาศภายในบ้านดูตึงเครียดขึ้นมาทันที จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าจะตอบเขาออกไปยังไงดี ส่วนอันหลงก็ได้แต่ถลึงตาใส่ลูกชายของตัวเอง
กู้จื้อชิวมองไปทางพี่ชายที่แสดงท่าทางออกมาประมาณว่า ‘ฉันมองเธอออกแล้ว’ ด้วยความตกตะลึงจนทำอะไรไม่ถูก พูดอะไรไม่ออก
“เธอจะไปมีจุดประสงค์อะไรได้ล่ะ ? นิสัยทหารของลูก อย่าเอามาใช้ที่บ้านได้ไหม!” อันหลงคิดว่าลูกชายของหล่อนกำลังหาเรื่องทะเลาะ เพื่อทำให้จางฉุ้ยเหลียนเกิดความไม่พอใจ และไม่ยอมตกลงแต่งงานกับเขา
“แม่! แม่คิดจริง ๆ หรือครับ ว่าการที่แม่เดินชนกับเธอมันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ แล้วถ้ามันบังเอิญจริง ๆ เธอจะมาตีสนิทกับแม่ทำไม บนโลกใบนี้มีคนตั้งมากมาย เรารู้หน้าไม่รู้ใจนะครับ! ” กู้จื้อเฉิงมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยสีหน้าที่แสดงออกมาถึงความระแวดระวัง
จางฉุ้ยเหลียนก้มหน้าลงโดยไม่พูดอะไร ได้ยินเพียงแค่เสียงหัวใจที่เต้นตึกตัก ๆ ของตัวเองเท่านั้น
อันหลงแสยะยิ้มออกมา “พอแล้ว ๆ !ลูกคิดว่ามีนักศึกษาที่ไหนเป็นคนไม่ดีบ้างล่ะ ? ลูกรู้รึเปล่าว่าเธอเรียนอะไร ? อนาคตเธอจะได้เป็นครูเชียวนะ ! แล้วอีกอย่าง!” อันหลงโบกหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือไปมา “คนเลวที่ไหนเขาจะเขียนบทความจนได้ลงหน้าหนังสือพิมพ์แบบนี้กันล่ะ ? ”
“รู้หน้าไม่รู้ใจ แม่จะรู้ได้ยังไงว่าบทความนั้นเธอเป็นคนเขียนเอง ? ” กู้จื้อเฉิงยังคงสงสัยไม่เลิก และยังคงโน้มน้าวแม่ตัวเองอย่างไม่ลดละ
“คุณป้าคะ ไม่ต้องพูดอะไรแล้วล่ะค่ะ!” จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้น และเอ่ยปากพูดออกมาในที่สุด
“หนูไม่ต้องไปกลัวเขาหรอก!ฉุ้ยเหลียน ป้าเชื่อใจหนู!” อันหลงโบกมือไปมาให้กับจางฉุ้ยเหลียน พร้อมทั้งแสดงสีหน้าแห่งความเชื่อมั่นออกมา
“ไม่ค่ะ!”จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า : “หนูมีจุดประสงค์จริง ๆ นั่นแหละค่ะ !”
เมื่อได้ยินจางฉุ้ยเหลียนยอมรับออกมา กู้จื้อเฉิงก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชาในทันที: “เป็นยังไงล่ะครับ ผมพูดถูกรึเปล่าล่ะ!”
อันหลงตกใจขึ้นมาทันที จากนั้นหล่อนก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความหวาดระแวง “หนูว่ายังไงนะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มออกมาด้วยความลำบากใจ : “แต่มันไม่ใช่อย่างที่พี่กู้จื้อเฉิงคิดนะคะ!”
เธอเงยหน้าขึ้นมา และพูดออกไปด้วยความรู้สึกผิด “จุดประสงค์ที่หนูเข้ามาตีสนิทกับคุณป้า ก็เพราะหนูอยากจะขอคำแนะนำจากพี่กู้จื้อเฉิงค่ะ!”
“อะไรนะ ? ” กู้จื้อเฉิงนิ่งอึ้งไปทันที เธอหมายความยังไงกันแน่ ?
อันหลงเองก็นิ่งอึ้งไปเช่นเดียวกัน จุดประสงค์ที่เธอเขามาตีสนิทกับหล่อนก็เพราะลูกชายของหล่อนอย่างนั้นหรือ ? เด็กคนนี้คิดจะทำอะไรกันแน่?
แต่กู้จื้อชิวกลับดีใจ หรือว่าเรื่องราวที่พี่สาวคนนี้เขียนในนิยายมันจะกลายเป็นความจริงขึ้นมา ? มีคนตกหลุมรักพี่ชายของหล่อนอย่างนั้นหรือ ?
“ตอนที่หนูบังเอิญเดินชนกับคุณป้าในวันนั้น เป็นเพราะหนูไม่ทันระวังจริง ๆ ค่ะ!” จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิด และเริ่มแต่งเรื่องออกมา ตั้งแต่ที่เธอได้กลับชาติมาเกิดในครั้งนี้ เธอก็ยิ่งโกหกเก่งขึ้นทุกวัน ๆ แต่อย่างน้อยเธอก็ไม่ได้โกหกพร่ำเพรื่อ เธอแค่โกหกครั้งใหญ่ครั้งนี้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
“หลังจากที่ได้รู้จักกับคุณป้ามากขึ้น มันก็ทำให้หนูรู้ว่าลูกชายของคุณป้าเป็นทหาร หนูรู้สึกดีใจมากที่หนูได้เจอกับทหารตัวเป็น ๆ เพราะหนูชื่นชมอาชีพนี้ว่าเป็นฮีโร่ของหนูมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้ว และอีกอย่างหนูก็อยากเขียนนิยายเกี่ยวกับทหารด้วย แต่หนูยังมีข้อมูลไม่มากพอ และหนูก็ไม่รู้ว่าจะพูดกับพี่กู้จื้อเฉิงยังไงดี หนูก็เลยเก็บความลับนี้มาตลอด” คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนทำให้กู้จื้อเฉิงงุนงงไปเล็กน้อย เขาไม่รู้เลยว่าสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนพูดมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือว่าเรื่องโกหกกันแน่
เมื่ออันหลงได้ยินสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนพูด หล่อนก็อยากจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจเลยทีเดียว ที่จางฉุ้ยเหลียนคิดเหมือนกับหล่อน ไม่ว่าการที่จางฉุ้ยเหลียนจะชอบลูกชายของหล่อนในเชิงชู้สาวหรือชอบลูกชายของหล่อนเพราะคิดว่าเขาเป็นฮีโร่ หล่อนก็ไม่สนใจทั้งนั้น เพียงแค่จางฉุ้ยเหลียนชื่นชอบลูกชายของหล่อนแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
หล่อนไม่คิดว่าเด็กสาวคนนี้จะมีแผนการชั่วร้ายอะไร ตรงกันข้ามกลับรู้สึกว่าเธอนั้นสามารถเชื่อถือได้ด้วยซ้ำ
“ที่แท้พี่ก็อยากจะมาหาข้อมูลเกี่ยวกับทหารจากพี่ชายของฉันเพื่อที่จะได้เอาไปเขียนนิยายนี่เอง!” กู้จื้อชิวถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง จากนั้นหล่อนก็ชี้ไปที่บทความของจางฉุ้ยเหลียนที่อยู่บนหนังสือพิมพ์แล้วพูดว่า “งั้นหลังจากนี้พี่จะเขียนนิยายเกี่ยวกับเรื่องอะไรล่ะ ? ”
เมื่อได้ยิมคำถามของกู้จื้อชิว จางฉุ้ยเหลียนก็นิ่งคิดสักพัก เธอคิดว่าเธออยากจะเขียนบทประพันธ์ละครเกี่ยวกับทหารสุดคลาสสิกของคนรุ่นหลัง เธอจึงเอ่ยปากพูดออกไปว่า “ก็มีหลายเรื่องเลยล่ะที่ฉันอยากจะเขียน!ก็ยกตัวอย่างเช่น สงครามระหว่างจีนกับญี่ปุ่น วีรบุรุษประชาชาติ หรือไม่ก็ทหาร”
เมื่อพูดจบจางฉุ้ยเหลียนก็หันไปมองกู้จื้อเฉิง และพูดขึ้นมาว่า “หนูคิดว่าหนูน่าจะเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับทหารได้ ถึงแม้ว่าตอนนี้เราจะอยู่ในยุคสันติภาพแล้วก็ตาม แต่อาชีพทหารนั้นก็ยังเป็นที่ต้องการต่อไป พวกเขาต้องปกป้องประเทศชาติ หนูตั้งใจจะเขียนเนื้อหาโดยรวมที่ทำให้ผู้อ่านเกิดความเลื่อมใสและเคารพในตัวทหารผ่านตัวอักษรตัวเล็ก ๆ เหล่านี้”
เมื่อกู้จื้อเฉิงได้ยินดังนั้น เขาก็ตกตะลึงในความคิดของจางฉุ้ยเหลียนขึ้นมาทันที : “เธอจะเขียนเรื่องเกี่ยวกับทหารธรรมดา ๆ อย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนนึกถึงบทประพันธ์ละครที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้นขึ้นมาได้เรื่องหนึ่ง มันเป็นเรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจเกี่ยวกับ ‘ทหาร’ที่กลายมาเป็น ‘เจ้าแห่งทหาร’ เนื้อเรื่องมันเริ่มจากการเดินทางบนเส้นทางของทหารธรรมดา ๆ คนหนึ่ง เมื่อกู้จื้อเฉิงได้ยินดังนั้น เขาก็ได้แต่พยักหน้าและชื่นชมกับบทประพันธ์ของจางฉุ้ยเหลียน
“ใช่แล้ว!ฮีโร่นั้นไม่จำเป็นจะต้องเป็นนายพลเสมอไป กองกำลังจะแข็งแกร่งหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการเตรียมความพร้อมของทหารว่าจะก้าวหน้ามากแค่ไหน อีกอย่างความสามารถของทหารธรรมดาทั่วไปก็แข็งแกร่งมากเหมือนกัน” คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนนั้นตรงไปตรงมา ทำให้กู้จื้อเฉิงชื่นชมในตัวเธอเป็นอย่างมาก
อันหลงชำเลืองตามองไปทางลูกชายของตัวเอง จากคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน นอกจากเธอจะสามารถกำจัดอคติของกู้จื้อเฉิงที่มีต่อเธอออกไปได้แล้ว เธอยังทำให้กู้จื้อเฉิงยอมรับใน ‘จุดประสงค์’ ของเธอได้อีกด้วย
“ไอ้หยา เด็กคนนี้ ถ้าอยากได้คำแนะนำจากลูกชายของป้า ทำไมไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ ! ” อันหลงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ตบไปบนไหล่ของจางฉุ้ยเหลียน พร้อมกับบ่นพึมพำว่า “ไม่รู้ว่าลูกชายของป้า เขาจะใจกว้างยอมให้คำแนะนำกับหนูรึเปล่านะ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมกับส่ายหัวไปมา “พี่เขาก็แค่ระวังตัวเท่านั้นแหละค่ะ อีกอย่างหนูเองก็ไม่รู้ว่าจะพูดยังไงเหมือนกัน!”
อันหลงยิ้มออกมาแล้วพูดว่า : “มีอะไรทำไมไม่พูดล่ะ!หลังจากนี้หนูก็คิดซะว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเองก็แล้วกันนะ คิดซะว่าเขาเป็นพี่ชายของหนู มีอะไรอยากจะถามเขาหนูก็ถามเขาได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ! ”
กู้จื้อเฉิงชำเลืองมองไปทางแม่ของตัวเอง จากนั้นก็หัวเราะออกมาด้วยความอนิจจัง
เมื่อได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนต้องการที่จะถามข้อมูลเกี่ยวกับทหาร เขาก็พูดกับเธอด้วยเสียงที่เคร่งขรึมออกไปว่า “ฉันบอกได้แค่บางส่วนเท่านั้นนะ แต่ถ้าเธออยากถามเกี่ยวกับความลับทางการทหารล่ะก็ ฉันคงจะบอกเธอไม่ได้!”
จางฉุ้ยเหลียนดีใจราวกับลูกไก่ที่ได้ข้าวสารอย่างไรอย่างนั้น “เรื่องนี้หนูเข้าใจดีค่ะ!”
กู้จื้อเฉิงพยักหน้าด้วยความรู้สึกสบายใจ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปข้างหน้า “ฉันขอดูบทความของเธอหน่อย ว่าเธอเขียนอะไรบ้าง!”
จางฉุ้ยหลียนรีบยื่นหนังสือพิมพ์ไปให้เขาในทันที จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงถ่อมตัวว่า “หนูเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์อะไรมากนัก อาศัยแค่ความคิดของตัวเองเท่านั้น แต่เรื่องราวเกี่ยวกับทหารที่หนูอยากจะเขียน มันไม่สามารถอาศัยการคาดเดาของตัวเองได้ ถ้านิยายของหนูได้ถูกตีพิมพ์ออกไป มันก็อาจจะส่งผลกระทบให้ใครหลาย ๆ คนได้ ถ้าเขียนดีมันก็ไม่ได้เป็นคุณงามความดีของหนู แต่ถ้าเขียนไม่ดี มันก็อาจจะสร้างผลกระทบที่ไม่ดีกับหนูได้ค่ะ!”
กู้จื้อเฉิงพยักหน้า : “ฉันเข้าใจ! ”
จางฉุ้ยเหลียนตื่นเต้นเล็กน้อย “พี่ลองเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวันของพี่ให้หนูฟังหน่อยได้ไหมคะ เล่าเรื่องราวของพี่หรือไม่ก็เรื่องของเพื่อนของพี่ก็ได้ หนูจะได้รวบรวมข้อมูลเก็บไว้ ถ้าเขียนเสร็จแล้วหนูจะเอามาให้พี่อ่าน แล้วหนูค่อยส่งไปทางสำนักพิมพ์อีกที พี่คิดว่าไงคะ!”
กู้จื้อเฉิงคิดว่าวิธีการนี้มันก็ไม่เลวเลยทีเดียว ถ้ามีเขาคอยช่วยตรวจสอบก็คงจะไม่เกิดความผิดพลาดในเรื่องที่ไม่สมควรเกิดความผิดพลาดได้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังทำให้เขาได้เพิ่มความสามารถในการตรวจสอบได้มากขึ้นอีกด้วย อย่างนี้ก็เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว
อัหลงมองไปยังจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังช่วยประคองกู้จื้อเฉิงเข้าไปในห้องด้วยความระมัดระวัง คนหนึ่งก็กำลังบอกเล่าเรื่องราวในชีวิตที่แสนน่าเบื่อด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง ส่วนอีกคนหนึ่งก็กำลังเขียนและวาดภาพจากปลายปากกาด้วยความสนใจ ในบางครั้งจางฉุ้ยเหลียนก็เอียงคอถามคำถามด้วยความสงสัยสองสามคำถาม ซึ่งมันก็ไม่ใช่คำถามที่หนักใจในการตอบแต่อย่างใด
สำหรับหล่อนแล้ว ทั้งสองคนนั้นเป็นคู่ที่ฟ้าส่งมาเกิดจริง ๆ !
“แม่!แม่คิดว่าพี่จางฉุ้ยเหลียนชอบพี่ชายของหนูรึเปล่า ? ” กู้จื้อชิวตะโกนเรียกแม่ของตัวเอง จากนั้นก็ถามหล่อนออกไปน้ำเสียงตื่นเต้นทันที
“ก็พูดยากนะ!แม่ว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่น่าจะชอบพี่ชายของลูกหรอก เธออาจจะแค่อยากถามเรื่องราวของทหารจากพี่ชายของลูกจริง ๆ ก็ได้ !” อันหลงนั้นรู้สึกเป็นกังวลอยู่ในใจถึงความคิดที่ไม่สามารถคาดเดาได้ของจางฉุ้ยเหลียน
“ไอ้หยา ว่าแต่แม่เตรียมจะหาคู่ให้กับพี่ชายแล้วรึยังคะ ? ” กู้จื้อชิวถามแม่ของหล่อนออกไปตรงประเด็น เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่อันหลงนั้นเป็นกังวลเช่นเดียวกัน
หลังจากที่นั่งคุยกับกู้จื้อเฉิงจนถึงช่วงบ่าย จางฉุ้ยเหลียนก็ได้อยู่กินมื้อค่ำที่บ้านตระกูลกู้ด้วย และเธอก็ได้โชว์ฝีมือการทำอาหารของตัวเองต่อหน้าอันหลงอย่างเต็มที่
อันหลงนั้นคอยสังเกตจางฉุ้ยเหลียนอยู่ตลอดเวลา จู่ ๆ หล่อนก็นึกถึงฝีมือการทำอาหารของเธอขึ้นมา จางฉุ้ยเหลียนก็คิดในใจเช่นเดียวกันว่าการที่เธอพูดโอ้อวดไว้ก่อนหน้านี้ เธอก็จะได้โชว์ฝีมือให้กับอันหลงได้เห็นแล้ว
“หนูทำผัดมันฝรั่งสักจานสิ คุณลุงกู้เต๋อไห่เขาชอบกินผัดมันฝรั่งกับปลานึ่งมากเลยนะ” อันหลงยิ้มออกมาจนตาหยี พร้อมกับพูดความต้องการของหล่อนออกมา “ตอนนี้ก็มีเนื้ออยู่นิดหน่อย กับผักกาดขาวอีกหัวหนึ่ง หนูก็คิดเมนูมาแล้วกันนะว่าหนูจะทำอะไร!”
จางฉุ้ยเหลียนยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยท่าทางเขินอาย “ถ้ารู้ว่าหนูจะต้องอยู่บ้านคุณป้าทั้งวันแบบนี้ หนูไม่น่าจะโม้เรื่องที่หนูทำอาหารเป็นเลยค่ะ มาสอนจระเข้ให้ว่ายน้ำต่อหน้าคุณป้าแบบนี้ คงจะเสียหน้าแย่เลย!”
อันหลงนั้นเป็นคนที่ชอบฟังคำพูดที่ไพเราะ การที่จางฉุ้ยเหลียนยกยอปอปั้นหล่อนแบบนี้ มันก็ทำให้หล่อนรู้สึกสบายใจเป็นอย่างมาก “ไม่เป็นไรหรอก ! ป้าเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ป้าแค่อยากจะให้เสี่ยวชิวเห็นเท่านั้นเอง หล่อนเองก็ไม่ใช่เด็ก ๆ แล้ว ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ป้ากลุ้มใจจะแย่!”
จางฉุ้ยเหลียนปอกมันฝรั่งไปพลางและพูดขึ้นด้วยท่าทางเขินอายไปพลาง “เสี่ยวชิวนั้นเป็นเด็กที่โชคดี หลังจากนี้คุณป้าก็จะโชคดีมากแน่นอนค่ะ ทำอาหารไม่เป็น จะกลัวอะไรล่ะคะ แค่จ้างแม่บ้านสักสองคนก็พอแล้วล่ะค่ะ!”
เมื่ออันหลงได้ยินดังนั้น ความโกรธที่อยู่ภายในใจของหล่อนก็คลายลง จากนั้นก็ยืนหัวเราะอยู่หน้าประตูห้องครัวพร้อมกับชี้ไปทางกู้จื้อชิวแล้วพูดว่า “เธอดูความขี้เกียจของหล่อนสิ มีแม่บ้านคอยทำให้ทุกอย่าง ถ้าหล่อนเก่งได้ครึ่งหนึ่งของเธอล่ะก็ ป้าก็คงจะสบายใจมากกว่านี้”
พ่อแม่ชาวจีนนั้นค่อนข้างที่จะถ่อมตัวมากเป็นพิเศษ ต่อหน้าคนอื่นก็มักจะประเมินลูกของตัวเองต่ำกว่าคนอื่นอยู่เสมอ เหมือนกับว่าทำแบบนี้แล้วจะได้หน้ามากขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
“คุณป้าอย่าพูดแบบนี้เลยค่ะ!งานบ้านใคร ๆ ก็ทำได้ทั้งนั้น แต่เรื่องการเล่นเปียโนนั้นใช่ว่าใครจะเล่นได้นะคะ ถ้าหนูเป็นลูกเป็ดขี้เหร่ เสี่ยวชิวก็คงจะเป็นหงส์ฟ้า! ” เธอรู้ว่าอันหลงนั้นคาดหวังกับลูกสาวของตัวเองมากแค่ไหน และเธอก็รู้ดีกว่าใครด้วย ว่าการที่จะคบค้าสมาคมกับคนที่หลงตัวเองอยู่หน่อย ๆ อย่างสองแม่ลูกคู่นี้ การพูดจาไพเราะย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า! เด็กคนนี้นี่ ช่างพูดจริง ๆ เลย !” อันหลงยิ้มออกมาอย่างหยาดเยิ้ม ใบหน้าของหล่อนนั้นแดงก่ำและเต็มไปด้วยความถูกใจ
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปและพูดออกไปอย่างประจบสอพลอว่า “พี่กู้จื้อเฉิงช่วยหนูได้เยอะมากเลยค่ะ หนูต้องเป็นฝ่ายขอบคุณสิคะถึงจะถูก ในครัวมีทั้งน้ำมันมีทั้งควัน คุณป้าออกไปรอข้างนอกดีกว่านะคะ”
เมื่อเห็นอากัปกิริยาของจางฉุ้ยเหลียน อันหลงก็อยากจะโบกมือปฏิเสธกันเลยทีเดียว ถึงอย่างไรจางฉุ้ยเหลียนก็เป็นแขก หล่อนจะปล่อยให้แขกมาทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวได้อย่างไร มันดูไม่ดีเอาเสียเลย
เมื่อเห็นท่าทางลังเลของอันหลง จางฉุ้ยเหลียนก็ดันหลังของหล่อนให้ออกไปจากห้องครัวในทันที “คุณป้าบอกหนูว่าไม่ต้องเกรงใจ แต่คุณป้ากลับมาเกรงใจหนูเสียเอง พี่กู้จื้อเฉิงก็พูดกับหนูมาตลอดทั้งบ่ายจนคอแหบคอแห้งไปหมดแล้ว หนูทำกับข้าวแค่มื้อเดียวมันไม่เป็นไรหรอกค่ะ หรือว่าคุณป้ากลัวว่าหนูจะขโมยน้ำมันพริกของคุณป้ากลับบ้านกันแน่คะ ? ”
เมื่ออันหลงได้ยินคำพูดหยอกล้อของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็หัวเราะออกมาทันที จากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องรับแขกพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ก็ได้ วันนี้ป้าโชคดีมากจริง ๆ ที่ได้กินอาหารฝีมือหนู!”
จางฉุ้ยเหลียนไล่อันหลงให้ออกไปรอที่ห้องรับแขก จากนั้นเธอก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้องครัว เมื่อเห็นว่ามีเครื่องปรุงต่าง ๆ ที่เธอต้องการ เธอก็เริ่มทำอาหารทันที
ก่อนหน้านี้ที่อันหลงแกล้งทำเป็นพูดว่าอยากจะให้เธอทำผัดมันฝรั่งกับปลานึ่ง เธอก็รู้ได้ในทันทีว่าอันหลงต้องการที่จะทดสอบเธอ เพราะการที่จะหั่นมันฝรั่งให้เป็นเส้นฝอย ๆ ได้นั้นต้องมีทักษะในการมีดที่ดีเป็นอย่างมาก ส่วนปลานึ่งก็ต้องควบคุมไฟให้ดี นอกจากนี้แล้วก็ยังมีผักกาดขาวกับเนื้อที่มีปริมาณไม่มากอีก และเมนูที่เลือกทำก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของผู้ทำล้วน ๆ
แต่สิ่งที่อันหลงให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือข้าว จางฉุ้ยเหลียนจึงทำการหุงข้าวด้วยการใส่น้ำลงไปมากกว่าปกตินิดหน่อย เพื่อให้ข้าวอุ้มน้ำไว้เล็กน้อย เพราะคนในตระกูลกู้นั้นชอบกินข้าวแบบร่วน ๆ
เธอคิดเมนูเอาไว้แล้วว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ได้เมนูผักกาดขาวสองอย่าง ดูท่าแล้วเธอคงจะต้องเอาชนะใจอันหลงด้วยวิธีนี้แล้วล่ะ