ตอนที่ 30 ไปบ้านตระกูลกู้
จางฉุ้ยเหลียนคิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นแบบนี้ ในที่สุดหนังสือพิมพ์ประจำมณฑลก็ตอบรับที่จะตีพิมพ์นิยายเรื่องสั้นของเธอ นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อมากจริง ๆ เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจางฉุ้ยเหลียนก็คิดว่าถ้าเธอใช้วิธีการเขียนนิยายเรื่องสั้นนี้เพื่อหาเงินล่ะก็ ค่าเทอมอีก 3 ปีที่เหลือก็คงจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเธออีกต่อไป
เมื่อเห็นว่านิยายเรื่องสั้นของจางฉุ้ยเหลียนได้รับการตีพิมพ์ ท่านอธิการบดีก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมากมาก การมีนักศึกษาที่ดีอย่างจางฉุ้ยเหลียนอยู่ในวิทยาลัยของเขา จะมีใครบ้างที่ไม่ดีใจ ? เขาอยากจะจัดพิธีมอบเกียรติบัตร เพื่อเป็นการชมเชยให้กับจางฉุ้ยเหลียนตอนนี้เลยทีเดียว
ยังไม่ทันที่ท่านอธิการบดีจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมา จางฉุ้ยเหลียนก็คาดเดาความคิดของท่านอธิการบดีได้ เธอรีบรุดหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้นค่ะ ท่านอธิการบดีและคุณลุงยามอย่าเพิ่งเอาเรื่องนี้ไปบอกใครเลยนะคะ ? ”
ลุงยามถามออกมาด้วยควาสงสัยว่า “เรื่องดีขนาดนี้ ทำไมถึงไม่อยากบอกคนอื่นล่ะ ? ”
อธิการบดีก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน จากนั้นก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึม และพูดออกมาว่า “ใช่ เธอทำงานเพื่อหาค่าเล่าเรียนของตัวเอง นั่นก็ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับนักศึกษาคนอื่น ๆ เธอไม่เพียงแต่ทำงานในโรงอาหารของวิทยาลัยแล้วเท่านั้น นิยายเรื่องสั้นของเธอยังได้รับการตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ประจำมณฑลด้วย นักศึกษาที่ดีแบบนี้ก็ต้องประกาศออกไปให้คนอื่นได้รับรู้สิ ว่านี่คือแบบอย่างที่ดีของนักศึกษาในรั้ววิทยาลัยของเรา!”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ “ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มต้นด้วยความยากลำบากเสมอค่ะ!ตอนนี้มันก็เป็นแค่การเริ่มต้นของหนูเพียงเท่านั้น อีกทั้งนิยายเรื่องสั้นของหนูก็ยังได้รับการตีพิมพ์เพียงเรื่องเดียว ถ้าหลังจากนี้หนูได้รับการยอมรับจากทางสำนักพิมพ์แล้ว ถึงตอนนั้นถ้าทางมหาลัยต้องการจะที่ป่าวประกาศเรื่องนี้ออกไป หนูก็คิดว่ามันยังไม่สายนะคะ !”
อธิการบดีรู้ถึงความกังวลใจที่เกิดขึ้นในใจของจางฉุ้ยเหลียนได้ในทันที เขารู้ว่าเธอกลัวว่านิยายเรื่องสั้นที่เธอเขียนอาจจะไม่ได้รับการตีพิมพ์อีกในอนาคต และชื่อเสียงของเธอก็คงจะเกิดขึ้นแค่ประเดี๋ยวประด๋าวเพียงเท่านั้น ถึงตอนนั้นก็คงจะไม่สร้างผลกระทบในทางที่ดีให้กับเธออย่างแน่นอน ถ้าคนอื่นหัวเราะเยาะเธอขึ้นมา เธอก็คงจะทนไม่ได้ ?
อธิการบดีจึงพยักหน้าเห็นด้วย “ได้ ! อาจารย์จะไม่บอกใครเรื่องที่นิยายของเธอได้รับการตีพิมพ์ แต่อาจารย์ขอดูผลงานที่เธอส่งไปหน่อยได้ไหมว่ามันเป็นยังไง เผื่ออาจารย์จะได้ช่วยเธอแก้ไขได้ และอาจารย์ก็เชื่อว่าถ้าอาจารย์ช่วยเธอ ฝีมือในการเขียนนิยายของเธอจะต้องพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอน” เมื่อท่านอธิการบดีพูดจบเขาก็หันไปสั่งห้ามคุณลุงยามไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป จากนั้นเขาก็มองไปทางจางฉุ้ยเหลียน และคิดในใจว่าถ้าจางฉุ้ยเหลียนประสบความสำเร็จในการเขียนนิยายแล้ว เขาก็จะปรึกษาหารือกับหน่วยงานต่าง ๆ ในวิทยาลัยเรื่องที่จะประกาศเกียรติคุณให้กับจางฉุ้ยเหลียน
เมื่อได้ยินว่าท่านอธิการบดีและคุณลุงยามจะไม่แพร่งพรายเรื่องที่นิยายของเธอได้รับการตีพิมพ์ออกไป เธอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาทันที เพราะเธอไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่น อีกทั้งเรื่องที่เธอไปทำงานที่โรงอาหารของวิทยาลัย เธอก็ถูกคนอื่นเพ่งเล็งมากพออยู่แล้ว ถ้าเรื่องที่นิยายของเธอได้รับการตีพิมพ์แพร่กระจายออกไปละก็ เธอคงได้ถูกผู้คนมากมายมองด้วยหางตาอย่างไม่ทราบสาเหตุแน่ ๆ
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้รับเงินค่าต้นฉบับในครั้งนี้ เธอก็รู้สึกว่าชีวิตของเธอนั้นมีความหวังขึ้นมาทันที ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังได้รับความสนใจจากท่านอธิการบดีอีกด้วย ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก
การที่เธอทำอะไรด้วยตัวเองแบบนี้มันก็ทำให้เธอรู้สึกไม่สบายใจ แต่เมื่อมีท่านอธิการบดีคอยหนุนหลังเธอแบบนี้แล้ว มันก็ทำให้เธอสบายใจขึ้นมาได้ เมื่อจางฉุ้ยเหลียนกลับมาถึงหอพักของตัวเองแล้ว เธอก็เริ่มลงมือเขียนนิยายเรื่องสั้นของเธอทันที
จางฉุ้ยเหลียนคิดไม่ถึงเลยว่าข่าวเรื่องที่นิยายของเธอได้รับการตีพิมพ์มันจะแพร่กระจายออกไปได้อย่างรวดเร็วราวกับไฟลามทุ่งแบบนี้ จนกระทั่งมันไปเข้าหูของอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอในที่สุด
จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าที่อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอรู้เรื่องที่นิยายของเธอได้รับการติดพิมพ์ ก็คงเป็นเพราะท่านอธิการบดีไปปรึกษาหารือกับอาจารย์สาขาภาษาจีนอย่างแน่นอน และอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอก็อยู่สาขาภาษาจีน ด้วยเหตุนี้ อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอจึงรู้เรื่องนิยายเรื่องสั้นของเธอ
จางฉุ้ยเหลียนคิดไม่ถึงเลยว่าอาจารย์ที่ปรึกษาที่มักจะแสดงสีหน้าเย็นชากับเธออยู่เสมอ จะเรียกเธอให้เข้าไปพบแบบนี้ อีกทั้งหล่อนยังให้จางฉุ้ยเหลียนยืมหนังสือเกี่ยวกับการนิยายกลับมาสามเล่มอีกด้วย
“นี่เป็นหนังสือเรียนตอนที่อาจารย์เรียนอยู่มหาวิทยาลัย มันน่าจะเป็นประโยชน์กับเธอได้ไม่มากก็น้อย” เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นหนังสือสองสามเล่มที่อาจารย์ที่ปรึกษายื่นมาให้ เธอก็เข้าใจในทันทีว่าอาจารย์ที่ปรึกษาต้องการช่วยเธอ เพราะหนึ่งในบรรดาหนังสือเหล่านั้นก็ยังมีหนังสือที่เกี่ยวกับวิธีการเขียนนิยายรวมอยู่ด้วย
“ได้ยินมาว่านิยายเรื่องสั้นของเธอได้ถูกตีพิมพ์ลงบนหน้าหนังสือพิมพ์แล้ว หลังจากนี้เธอก็ต้องขยันมากขึ้น เด็กผู้หญิงที่มีโอกาสแบบนี้ หาได้ยาก เธอโชคดีมากที่รู้จักพึ่งพาตัวเองได้ ! ” อาจารย์ที่ปรึกษาพยักหน้า แล้วพูดขึ้นมาเบา ๆ ว่า “เธอดีกว่าเด็กสาวที่พยายามใช้การแต่งงานเพื่อเปลี่ยนชีวิตของตัวเองเหล่านั้นเสียอีก”
อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอได้ชักนำนักศึกษาของตัวเองจนได้ดีถึงขั้นแต่งงานมีชีวิตที่ดีหลายคนแล้ว เด็กบางคนก็เข้าใจว่าการมีความรู้นั้นสามารถเปลี่ยนชีวิตของตัวเองให้ดีขึ้นได้ แต่ก็ยังมีเด็กบางคนที่วิจารณ์ว่าการเรียนนั้นไร้สาระยิ่งกว่าการแต่งงานมีครอบครัวเสียอีก
และเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าของหล่อนในขณะนี้ ทำให้หล่อนรู้สึกว่าอนาคตของเธอในภายภาคหน้าจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน ไม่เพียงแต่จะสามารถยืนบนลำแข้งของตัวเองได้แล้วเท่านั้น อีกทั้งวิธีการที่เธอเลือกยืนด้วยลำแข้งของตัวเองนั้นก็ยังทำให้คนอื่น ๆ รู้สึกตาลุกวาวไปกับความสามารถของเธอได้อีกด้วย เธอเลือกทางไม่ผิด ดูท่าแล้วอนาคตของจางฉุ้ยเหลียนจะต้องดีมากอย่างแน่นอน
อีกด้านหนึ่งอันหลงก็ได้รับข่าวเกี่ยวกับบ้านของจางฉุ้ยเหลียนจากญาติของหล่อนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หล่อนได้รู้ถึงสภาพความเป็นอยู่ของจางฉุ้ยเหลียน เรื่องที่หล่อนได้รับมาจากญาติก็เหมือนกับสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนได้เล่าให้หล่อนฟังก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
แต่ข่าวที่หล่อนได้รับมาจากญาติก็ทำให้หล่อนรู้สึกเจ็บปวดใจมากขึ้นไปอีก ญาติของหล่อนบอกว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นได้ถูกส่งตัวไปให้พ่อแม่บุญธรรมเลี้ยงตั้งแต่เด็ก และหลังจากนั้นอีก 6 ปีต่อมา พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดก็ไปรับตัวเธอกลับมาอยู่ที่บ้านเพราะอยากจะได้เงินค่าเลี้ยงดูจากพ่อแม่บุญธรรมของเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะสอบได้คะแนนสูงและได้เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ แต่แม่ของเธอก็ไม่ยอมส่งเธอเรียน อีกทั้งน้องชายของเธอยังเอาหนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยของเธอไปเผาอีกต่างหาก เมื่อไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย จางฉุ้ยเหลียนจึงต้องไปเรียนที่วิทยาลัยครูแทน
ในขณะที่กำลังนั่งฟังญาติของตัวเองเล่าเรื่องของจางฉุ้ยเหลียนอยู่นั้น อันหลงก็นั่งตั้งใจฟังสิ่งที่ญาติของตัวเองเล่าพร้อมกับส่ายหน้าด้วยความเจ็บปวดใจ “คุณสมบัติของเด็กคนนี้ก็ไม่เลวเลยทีเดียว ! ถึงแม้ว่าโชคชะตาจะไม่ดี แต่ถึงอย่างไรคนเราก็เลือกเกิดไม่ได้!”
กู้จื้อเฉิงที่นอนอยู่ในห้องของตัวเองก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างแม่กับป้าของเขาได้อย่างชัดเจน เมื่อเขาได้ยินบทสนทนานั้นเขาก็รู้สึกตัวสั่นไปทั้งตัว เขารู้ความคิดของแม่ตัวเองดี หล่อนต้องการที่จะหาคู่ให้เขาอย่างแน่นอน
เขาคิดว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะการที่เขาพิการอยู่แบบนี้ คงไม่มีผู้หญิงคนไหนยอมตกลงแต่งงานกับเขาอย่างแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งจางฉุ้ยเหลียน เด็กสาวผู้โชคร้ายคนนั้น เธอคงไม่เห็นด้วยกับงานแต่งงานในครั้งนี้แน่
แต่อันหลงกลับไม่คิดอย่างนั้น หล่อนคิดว่าชีวิตของจางฉุ้ยเหลียนนั้นน่าสงสารมาก ถึงแม้จะบอกว่าครอบครัวของจางฉุ้ยเหลียนจะไม่ได้ใหญ่โตหรือร่ำรวยอะไรมาก แต่ครอบครอบของเธอก็ยังถือว่ามีฐานะระดับหนึ่งเลยทีเดียว เพราะขาของกู้จื้อเฉิงที่ได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งยังส่งผลกระทบกับงานของเขา หล่อนจึงอยากจะให้กู้จื้อเฉิงแต่งงานกับจางฉุ้ยเหลียน ถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นธรรมกับจางฉุ้ยเหลียนก็ตาม
“แม่!การที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะครับ และการที่ได้เรียนมหาวิทยาลัย มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาครั้งใหญ่ของคน ๆ หนึ่งได้เลย ทำไมแม่ต้องดึงเธอให้เข้ามาอยู่ในบ่อโคลนของพวกเราด้วยล่ะครับ” เมื่อได้ยินคำพูดของกู้จื้อเฉิง อันหลงก็รู้สึกเหมือนมีมีดมาเสียบอยู่ที่กลางอกของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
หล่อนพูดด้วยเสียงต่ำ ๆ ออกไปว่า “บ่อโคลนอะไร ลูกจะเป็นบ่อโคลนได้ยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะอาการบาดเจ็บที่ขาของลูก แม่จะยอมให้หล่อนแต่งงานกับลูกอย่างนั้นหรือ ? ” อันหลงรู้สึกเหมือนตัวเองสูญเสียการควบคุม เพราะหล่อนรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมและรู้สึกเสียใจกับคำพูดของลูกชายตัวเอง เมื่อกู้จื้อเฉิงเห็นดังนั้น เขาก็ทำได้เพียงถอนหายใจออกมา และปล่อยให้แม่ของเขาทำตามใจตัวเองต่อไป
เพราะคำพูดของกู้จื้อเฉิง มันยิ่งเป็นแรงกระตุ้นให้หล่อนรู้สึกอยากให้ลูกชายของหล่อนแต่งงานกับจางฉุ้ยเหลียนมากขึ้นไปอีก มีเพียงเรื่องเดียวที่หล่อนกังวลก็คือ จางฉุ้ยเหลียนยังเรียนไม่จบ อีกทั้งอายุของเธอก็ยังน้อย เธอคงไม่มีทางยอมตกลงแต่งงานกับลูกชายของหล่อนอย่างแน่นอน
“แม่คะ แม่ยังไม่ได้ไปถามพี่ฉุ้ยเหลียนเลยนะ ว่าเธอจะยอมตกลงแต่งงานกับพี่ชายของหนูรึเปล่า ? ” กู้จื้อชิวเบะปากเล็กน้อย หล่อนคิดว่าพี่ชายของตัวเองนั้นก็เป็นคนที่โดดเด่นมากคนหนึ่ง ผู้หญิงคนไหนต่างก็ไล่ตามกันทั้งนั้น แต่ถ้าไม่ถามเรื่องแต่งงานกับจางฉุ้ยเหลียนออกไปตรง ๆ แล้วแม่ของเธอจะรู้ได้อย่างไรว่าจางฉุ้ยเหลียนอยากจะแต่งงานกับพี่ชายของเธอรึเปล่า ไม่แน่ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็อาจจะแอบชอบพี่ชายของเธออยู่ก็ได้
ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้ จางฉุ้ยเหลียนจะไปที่บ้านตระกูลกู้ เพราะเธอได้นัดแนะกับอันหลงไว้แล้วว่าเธอจะไปทำผักดองที่บ้านของหล่อน แต่ความจริงแล้วที่อันหลงชวนเธอไปที่บ้านในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะหาโอกาสให้เธอได้ใกล้ชิดกับกู้จื้อเฉิง
จางฉุ้ยเหลียนรู้แผนการของอันหลงอยู่แล้ว และเธอก็อยากจะขอบคุณหล่อนมากเลยทีเดียว เธอคิดว่าเธอน่าจะผ่านด่านของอันหลงได้อย่างสบาย ๆ เพราะเธอรู้ว่าอันหลงก็อาจจะสนับสนุนเธออยู่เช่นกัน
เธอไม่ได้พกอะไรติดตัวมาด้วย นอกจากหนังสือพิมพ์และกระดาษ ซึ่งหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ก็เป็นฉบับที่มีบทความที่ได้รับการตีพิมพ์ของเธอ และกระดาษที่เธอนำมาก็เป็นนิยายเรื่องสั้นที่เธอเขียนเองเป็นเรื่องแรก
จางฉุ้ยเหลียนเชื่อว่า เรื่องบทความและนิยายเรื่องสั้นของเธอที่ได้รับการตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์มันจะต้องสร้างความประทับใจให้กับอันหลงได้อย่างแน่นอน จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าหล่อนคงจะรีบคว้าตัวของเธอเอาไว้แน่นราวกับฟางเส้นสุดท้าย และเมื่อดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ในบรรดาผู้หญิงที่เข้าตาของอันหลง เธอก็เป็นคนที่มีคุณสมบัติที่โดดเด่นมากที่สุด
เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนยืนอยู่ที่ประตูหน้าประตูบ้าน อันหลงก็รีบรุดหน้าเข้าไปต้อนรับจางฉุ้ยเหลียนด้วยความดีใจในทันที เมื่อทั้งสองเดินเข้ามาในบ้านแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกเหมือนตอนที่เธอเข้ามาที่บ้านหลังนี้เป็นครั้งแรกเมื่อชาติที่แล้วไม่มีผิด
เมื่อเดินเข้ามาในบ้านก็จะเจอกับทางเชื่อมที่เชื่อมกับตัวบ้าน บนพื้นก็ปูไม้กระดานสีแดงเอาไว้ ส่วนผนังก็ถูกทาไว้ด้วยสีฟ้า คนในสมัยนี้มักจะคิดว่าบ้านรูปแบบนี้เป็นบ้านที่ทันสมัย แต่เมื่อเวลาผ่านไปคนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้คิดว่ามันทันสมัยแต่อย่างใด
เมื่อเดินเข้ามาที่ห้องรับแขกก็จะเจอกับโซฟาสีฟ้าสองตัวที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง มีโต๊ะน้ำชาขนาดเล็กพร้อมกาน้ำชาวางอยู่ระหว่างโซฟาสองตัวนั้น ฝั่งขวาของโซฟาก็มีเก้าอี้ไม้สองตัววางอยู่ อีกทั้งมีผ้าสีขาวผูกติดอยู่กับพนักของเก้าอี้ ส่วนฝั่งซ้ายของโซฟาก็เป็นผนังบ้าน และให้ห้องรับแขกแห่งนี้ก็ยังมีโทรทัศน์ขนาด 21 นิ้ววางอยู่ด้วย
ถ้าเดินไปตามระเบียงทางเดินเข้าไปด้านในก็จะเจอกับห้องครัว ซึ่งห้องครัวก็จะอยู่ตรงกับห้องนอนใหญ่ของพ่อแม่ตระกูลกู้ เมื่อเดินตรงเข้าไปจนสุดทางเดินก็จะเจอกับห้องน้ำ ส่วนฝั่งตรงข้ามห้องน้ำก็จะเป็นห้องของกู้จื้อชิวและกู้จื้อเฉิง
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกคุ้นเคยกับรูปแบบของบ้านตระกูลกู้เป็นอย่างดี เมื่อเธอเดินเข้ามาในบ้าน เธอจึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นเท่าไหร่นัก ตรงกันข้ามเธอกับเดินไปวางกระเป๋าของเธอด้วยความรู้สึกคุ้นเคย และตรงเข้าไปทำผักดองกับอันหลงในห้องครัวทันที
การกระทำนี้ทำให้อันหลงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก จางฉุ้ยเหลียนรู้จักมารยาท ประเพณี อีกทั้งยังเข้าใจกฎระเบียบของบ้านหล่อนเป็นอย่างดี คาดไม่ถึงเลยว่าเธอจะไม่แสดงท่าทางอยากรู้อยากเห็นอะไรต่อ ‘ที่อยู่อาศัย’ ของหล่อนออกมา
การที่ชวนจางฉุ้ยเหลียนมาทำผักดองที่บ้านมันเป็นเพียงแค่เรื่องรองเท่านั้น เพราะการที่หล่อนชวนจางฉุ้ยเหลียนเข้ามาทำความรู้จักในบ้านต่างหากที่ถือว่าเป็นเรื่องหลัก เมื่อเริ่มลงมือทำผักดองอันหลงก็เริ่มชวนจางฉุ้ยเหลียนคุยพร้อมกับทำผักดองไปด้วย
ในตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมา เพราะเธอไม่รู้ว่าเธอจะใช้วิธีการไหนมาทำ ‘ความรู้จัก’ กับกู้จื้อเฉิง
“พี่ฉุ้ยเหลียน ที่พี่บอกว่ามีของมาฝากฉันด้วย มันคืออะไรหรือ ? ” กู้จื้อชิวนั้นยังเป็นเด็ก เมื่อเห็นว่าแม่ของตัวเองเอาแต่พูดไม่หยุด ด้วยความรำคาญ หล่อนจึงถือโอกาสตอนที่ละครกำลังเข้าสู่ช่วงโฆษณาพุ่งตัวเข้าไปถามจางฉุ้ยเหลียนในทันที
“อ่อ หนังสือพิมพ์ที่มีบทความของฉันน่ะ ฉันใช้นามปากกาว่า ‘หิมะที่ไร้รอยเท้า’ !” เมื่อได้ยินคำตอบจางฉุ้ยเหลียนแล้ว มันไม่เพียงแต่ทำให้สองแม่ลูกคู่นี้ตกใจแล้วเท่านั้น มันยังสร้างความตกใจให้กับกู้จื้อเฉิงที่อยู่ในห้องนอนของตัวเองด้วย
เรื่องที่บทความของจางฉุ้ยเหลียนได้รับการตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ได้สร้างความตกใจให้กับกู้จื้อเฉิงเป็นอย่างมาก และมันก็ทำให้เขาคิดว่าเด็กสาวที่ทั้งเก่งอีกทั้งยังแสนดีขนาดนี้ ทำไมเธอถึงต้องเข้ามาตีสนิทกับครอบครัวของเขาด้วย
เธอมีแผนการอะไรอยู่กันแน่ ? กู้จื้อเฉิงหรี่ตาลงเล็กน้อย และอดที่จะสงสัยเจตนาของจางฉุ้ยเหลียนที่เข้ามาตีสนิทกับครอบครัวของตัวเองไม่ได้ ความรู้สึกที่ผิดปกตินี้ มันได้กระตุ้นสัญชาตญาณความเป็นทหารในตัวเขาขึ้นมา เขาคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนจะต้องมีความลับอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถบอกใครได้อย่างแน่นอน
“บทความของเธอได้รับการตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์อย่างนั้นหรือ ? ” อันหลงอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ ขณะที่หล่อนกำลังเช็ดจานอยู่ หล่อนก็รีบร้อนเดินไปที่ห้องรับแขกในทันที เมื่อเดินมาถึงห้องรับแขกหล่อนก็เห็นกู้จื้อชิวกำลังหยิบหนังสือพิมพ์ออกมาจากกระเป๋าของจางฉุ้ยเหลียนพอดี
หล่อนเดินไปแย่งหนังสือพิมพ์มาจากมือของลูกสาว จากนั้นก็พลิกหน้าหนังสือพิมพ์ไปมา เมื่อพลิกมาถึงหน้าบทความหล่อนก็เจอกับบทความที่ผู้เขียนใช้นามปากกาว่า ‘หิมะที่ไร้รอยเท้า’
“นี่เป็นบทความที่เธอเขียนเองงั้นหรือ ? ” อันหลงชี้ไปที่บทความที่อยู่บนหน้าหนังสือพิมพ์ด้วยท่าทางไม่อยากจะเชื่อ จางฉุ้ยเหลียนจึงพยักหน้าเป็นการตอบรับ : “ใช่ค่ะ นี่เป็นบทความที่หนูเป็นเขียนเอง”
“คุณพระคุณเจ้า!พี่เป็นนักเขียนได้เลยนะเนี่ย !” กู้จื้อชิวพูดขึ้นมาเสียงดัง ราวกับว่าหล่อนคว้าสมบัติล้ำค่าได้อย่างไรอย่างนั้น
“ไม่ถึงกับเป็นนักเขียนได้หรอก!ฉันก็แค่ได้ยินมาว่าการที่บทความได้รับการตีพิมพ์บนหน้าหนังสือพิมพ์มันทำเงินได้เยอะ ฉันก็เลยลองส่งบทความของฉันไปที่สำนักพิมพ์ เธอก็รู้อยู่ว่าฐานะทางบ้านของฉันไม่ค่อยดี และฉันเองก็ออกไปทำงานข้างนอกวิทยาลัยไม่ได้ด้วย ตอนที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ ฉันก็เลยคิดวิธีนี้ขึ้นมาได้ แต่ตอนนี้มันก็ทำเงินได้นิด ๆ หน่อย ๆ เท่านั้นเอง! ” คำพูดที่เจียมเนื้อเจียมตัวของจางฉุ้ยเหลียน ก็ไม่ได้ทำให้คนในตระกูลกู้เชื่อแต่อย่างใดว่าเธอจะทำเงินได้น้อยจากการที่บทความของเธอได้รับการตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ เพราะทุกคนต่างก็รู้ดีว่าการที่บทความได้รับการตีพิมพ์นั้นทำเงินได้มากขนาดไหน และไม่ใช่ใครก็สามารถเอาบทความของตัวเองไปลงหนังสือพิมพ์ได้ง่าย ๆ
อันหลงหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาดูด้วยมือที่สั่นเทา ถ้าเรื่องที่บทความของจางฉุ้ยเหลียนได้ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์เป็นเรื่องจริงล่ะก็ การที่ได้จางฉุ้ยเหลียนมาเป็นลูกสะใภ้ ก็ไม่รู้ว่าจะมีใครบ้างที่อิจฉาหล่อนที่ได้ลูกสะใภ้ที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับวงศ์ตระกูลแบบนี้
ขณะเดียวกันกู้จื้อเฉิงก็เดินออกมาจากห้องของตัวเอง เขาถามออกไปเสียงต่ำว่า “ในเมื่อเธอมีความสามารถมากขนาดนี้ ทำไมถึงต้องเข้ามาตีสนิทแม่ของฉันด้วยล่ะ เธอมีเป้าหมายอะไรกันแน่ ? ”
เมื่อได้ยินคำถามของกู้จื้อเฉิง จางฉุ้ยเหลียนก็ใจเต้นแรงขึ้นมาในทันที เธอโชว์ศักยภาพของตัวเองออกไปมากมายเพื่อให้คนในตระกูลกู้ได้เห็น จนลืมไปว่ากู้จื้อเฉิงก็เป็นผู้ชายในตระกูลคนหนึ่งเช่นกัน จู่ ๆ ตัวเธอก็ปรากฏตัวขึ้นมาในบ้านของเขาแบบนี้ แล้วยังมาทำดีกับแม่ของเขาอีก เป็นไปไม่ได้เลยที่กู้จื้อเฉิงจะไม่สงสัยในตัวเธอ!