ตอนที่ 29 ปิดเทอม
“ฉุ้ยเหลียนกลับมาแล้วหรือ!” ขณะที่เซี่ยจวินและตงลี่หวากำลังนั่งแกะเมล็ดข้าวโพดอยู่ที่หน้าบ้านอยู่นั้น พวกเขาทั้งสองคนก็เห็นจางฉุ้ยเหลียนสะพานกระเป๋าเดินเข้ามา พวกเขาทั้งสองจึงกล่าวทักทายจางฉุ้ยเหลียนออกไป
ตงลี่หวามองไปทางจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม หล่อนรุดหน้าเข้ามาหาจางฉุ้ยเหลียนอย่างรวดเร็ว หล่อนเดินเข้าไปปัดฝุ่นบนตัวของจางฉุ้ยเหลียนพร้อมกับถามออกไปว่า “ตอนนี้ลูกปิดเทอมหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า : “ใช่ค่ะ ทางวิทยาลัยให้นักศึกษาปิดเทอม 10 วัน ก่อนหน้านี้หนูไปอยู่ที่บ้านตระกูลจางมาแล้ว 5 วัน ส่วน 5 วันที่เหลือ หนูก็มาอยู่ที่บ้านของพ่อกับแม่!”
เซี่ยจวินคลี่ยิ้มแล้วพูดออกไปว่า: “บ้านเราไม่มีงานอะไรให้ทำหรอก!ลูกกลับมาก็พักผ่อนอยู่ที่บ้านสักสองสามวันนะ ลูกอยู่คุยเป็นเพื่อนแม่ก็พอแล้ว!ลูกไม่ต้องช่วยงานพ่อกับแม่ก็ได้! ”
ตงลี่หวาวางข้าวโพดที่หล่อนกำลังแกะอยู่ลงในตะกร้า จากนั้นหล่อนก็เดินมาดึงมือของจางฉุ้ยเหลียนให้เดินตามเข้าไปในบ้าน เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในบ้านและมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอก็เห็นว่าผักในสวนผักถูกเก็บออกไปหมดแล้ว
“เรียนเป็นไงบ้าง มีใครในวิทยาลัยรังแกลูกรึเปล่า แล้วลูกกินอิ่มนอนหลับดีไหม ? ” เมื่อเดินเข้ามาในบ้านแล้ว ตงลี่หวาก็ถามคำถามจางฉุ้ยเหลียนออกมารัว ๆ ทันทีโดยที่ไม่หยุดให้จางฉุ้ยเหลียนได้ตอบ เมื่อเห็นอย่างนั้นแล้วจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่รู้เธอควรจะทำอย่างไรดี แต่ถึงแม้ว่าเธอจะไม่รู้ว่าเธอควรจะทำอย่างไรแต่เธอก็รู้สึกอบอุ่นกับคำถามเหล่านั้น เธอคิดในใจว่านี่แหละคือสิ่งที่เรียกว่าความรักและความห่วงใย
เมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่เธอกลับไปที่บ้านของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดก่อนหน้านี้ เช่าหวานั้นไม่เคยจะปริปากถามอะไรเธอเลยเรื่องที่เธอไปเรียนที่วิทยาลัย หล่อนเอาแต่พูดว่าผักดองไม่พอกินแล้ว หรือไม่ก็บ่นว่าเพราะที่บ้านมีผักดองบ้านอื่นก็เลยมาขอกินด้วย หล่อนบ่นพึมพำแบบนี้ทุกวันเพื่อให้จางฉุ้ยเหลียนทำผักดองให้
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับตอบคำถามเหล่านั้นของตงลี่หวา ตงลี่หวานั้นให้ความสนใจเกี่ยวกับเรื่องในวิทยาลัยของเธอเป็นอย่างมาก สองแม่ลูกเอาแต่คุยกันเรื่องในวิทยาลัยจนลืมเวลา เมื่อเห็นดังนั้นเซี่ยจวินจึงอดที่จะพูดแขวะออกไปไม่ได้ว่า “พูดกันจนน้ำลายแห้งหมดแล้วมั้ง ลูกกลับมาตั้งนานแล้ว ยังไม่ไปทำอาหารมาให้ลูกกินอีก!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยจวิน ตงลี่หวาจึงรู้สึกตัวว่าตนนั้นมัวแต่พูดคุยกับลูกสาวจนลืมเวลา หล่อนยกมือขึ้นมาปิดปากพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง จากนั้นจึงเดินเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารให้กับจางฉุ้ยเหลียน ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็เดินออกมาช่วยเซี่ยจวินแกะเมล็ดข้าวโพดที่หน้าบ้าน
“ลูกไม่ต้องช่วยพ่อหรอก เดี๋ยวมีดบาดมือเปล่า ๆ เข้าไปดูโทรทัศน์ในบ้านโน่นไป!” คำพูดของเซี่ยจวินไม่มีผลกับจางฉุ้ยเหลียนแต่อย่างใด เธอคลี่ยิ้มและพูดออกมาว่า : “ไอ้หยา หนูมานั่งคุยกับพ่อไม่ได้หรือคะ!”
เมื่อได้ยินดังนั้นเซี่ยจวินก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่อย่างใด จางฉุ้ยเหลียนเห็นว่าเซี่ยจวินเงียบไม่ได้พูดอะไรออกมา นั่นก็แสดงว่าเขาอนุญาตให้เธอนั่งตรงนี้กับเขาได้ จางฉุ้ยเหลียนเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นมาก่อน เธอเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ในวิทยาลัยให้กับเซี่ยจวินฟัง แต่เธอก็ไม่ได้เล่าเรื่องของกู้จื้อเฉิงออกมาแต่อย่างใด เธอเล่าเพียงแต่เรื่องในชีวิตประจำวันในวิทยาลัยของเธอเพียงเท่านั้น
“เฟิงเสี่ยวเจี๋ยคนนั้น นิสัยไม่ดีเลยจริง ๆ!” เซี่ยจวินส่ายหน้า “ลูกจำไว้นะว่าอย่าเอาเรื่องของคนอื่นไปพูดนินทาลับหลังแบบนั้นอย่างเด็ดขาด ถ้าเป็นเรื่องที่ดีก็พูดได้ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ไม่ดีก็ไม่ต้องเอาไปพูด”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า “หนูเข้าใจแล้วค่ะ คนแบบนี้ก็เหมือนกับสุภาษิตที่ว่า อย่าตำหนิคนอื่นเขา ในเมื่อตัวเราก็ไม่ต่างกัน!”
เซี่ยจวินยิ้มออกมาอย่างพอใจ : “อื้อ!ใช่แล้วล่ะ พ่อชอบสุภาษิตของลูกนะ อย่าตำหนิคนอื่นเขา ในเมื่อตัวเราก็ไม่ต่างกัน เราเป็นปัญญาชน เป็นคนมีการศึกษา ก็ต้องทำตัวให้สมกับที่เป็นปัญญาชน !”
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าเซี่ยจวินนั้นชอบที่สุดก็คือคนที่เป็นปัญญาชนและมีความรู้ เหมือนกับชาติก่อนตอนที่เขารู้ว่าเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เขาก็ดีใจเป็นอย่างมาก นั่นจึงทำให้เขาชอบสุภาษิตที่เธอพูดออกไปเมื่อสักครู่นี้
“หลังจากนี้ถ้าลูกมองหาคนรักที่ลูกต้องการจะแต่งงานด้วย ลูกก็ต้องหาคนที่มีการศึกษาเหมือนกับลูก อย่าหาคนที่ไร้การศึกษาเหมือนพ่อ ถึงแม้ว่าพ่อจะอ่านข่าวได้ แต่ก็เอาไปใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้เลย” เซี่ยจวินทอดถอนหายใจออกมา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาพูดถึงเรื่องการแต่งงานของเธอ
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกใจเต้นแรงขึ้นมา เพราะกู้จื้อเฉิงไม่ได้เป็นคนมีการศึกษาเหมือนกับเธอ เขาเหมือนกับพ่อเซี่ยที่เป็นทหาร
“ไม่นะคะ หนูคิดว่าพ่อดีที่สุดแล้วล่ะค่ะ หลังจากนี้ถ้าหนูจะหาคนรัก หนูก็จะหาคนรักที่เป็นทหารและมีความรับผิดชอบเหมือนกับพ่อ!” จางฉุ้ยเหลียนพูดออกไป
เซี่ยจวินหัวเราะออกมา “มีสามีเป็นทหารไม่ดีหรอกนะ!ตอนที่เขาอยู่ในกรมเขาก็ออกมาดูแลคนในครอบครัวไม่ได้ อีกทั้งตอนที่ลูกคลอดลูกหรือว่าตอนที่มีคนในครอบครัวไม่สบาย เขาก็ออกมาไม่ได้เหมือนกัน”
เมื่อได้ยินคำพูดของเซี่ยจวิน จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกอบอุ่นขึ้นมาในใจ เธอจึงคลี่ยิ้มและพูดออกไปว่า “ถ้ามันเป็นอย่างนั้นการหาคนรักมันก็ไม่ง่ายเลย งั้นพ่อกับแม่ก็อยู่ดูแลหนูตลอดไปเลยสิคะ!”
ประโยคที่จางฉุ้ยเหลียนพูดออกมา มันก็เหมือนประโยคธรรมดา ๆ ทั่ว ๆ ไป แต่มันกลับทำให้เซี่ยจวินตัวสั่นไปทั้งตัว เขาอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็พูดออกไปอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “แบบนั้น มันทำได้ที่ไหนกันเล่า!”
จางฉุ้ยเหลียนกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ เธอก้มหน้าลงเพื่อซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลออกมาจากตาของเธอและพยายามพูดออกไปด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติที่สุดว่า “ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ!ถ้าพ่อกับแม่แก่ตัวลง ถึงอย่างไรหนูก็ต้องอยู่ดูแลพ่อกับแม่!ถ้าหนูได้แต่งงานกับทหาร เขาก็คงจะไม่สามารถอยู่กับหนูได้ตลอดเวลา ถ้าหนูไปอยู่ที่บ้านของแม่สามี แล้วหล่อนรังแกหนูล่ะคะ! ”
ตงลี่หวาที่กำลังเดินถือไข่ต้มเข้ามาหาสองพ่อลูก หล่อนก็ได้ยินสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนพูดพอดี หล่อนจึงพยักหน้าและพูดสมทบคำพูดของจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า “ใช่ ๆ ถ้าแม่สามีไม่ดูแลลูก แม่ก็จะเป็นคนดูแลลูกเอง ! ถ้าลูกอยู่กับแม่สามีที่คอยเอาแต่จิกกัด อีกทั้งยังอารมณ์ร้าย ลูกก็ไม่ต้องทนหรอก ลูกมาอยู่กับแม่ดีกว่า! ”
เมื่อพูดจบสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยต่างก็หันมามองหน้ากัน เมื่อนึกถึงอนาคตที่สวยงาม พวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
จางฉุ้ยเหลียนจึงได้ถือโอกาสตอนที่กำลังพูดคุยกันอยู่นี้ บอกกล่าวเรื่องบทความของเธอที่ได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ทันที
“จริงหรือ!ไอ้หยา บทความของลูกได้ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ตอนไหนล่ะ ? แม่จะได้ซื้อมาอ่าน และแม่ก็จะเอาเรื่องนี้ไปบอกกล่าวกับคนอื่นด้วย คนพวกนั้นได้เห็นว่าลูกสาวของแม่เก่งแค่ไหน !” ขณะที่พูดตงลี่หวาก็น้ำตาไหลออกมาด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ หล่อนจึงรีบยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดน้ำตาของตัวเองทันที
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมกับพูดออกมาว่า “บทความของหนูได้ตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์เดือนหน้าค่ะ แล้วตอนนี้ทางสำนักพิมพ์ก็ส่งค่าต้นฉบับมาให้หนูแล้วด้วย! ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่กล้าพูดเรื่องที่เธอไปทำงานในโรงอาหารของวิทยาลัยให้เซี่ยจวินและตงลี่หวาฟัง เพราะกลัวว่าเซี่ยวจวินจะไม่พอใจและเธอก็กลัวว่าตงลี่หวาจะเป็นกังวล
เมื่อได้ยินว่าบทความของจางฉุ้ยเหลียนได้รับการตีพิมพ์ลงหนังสือพิมพ์ เซี่ยจวินก็รู้สึกดีใจไม่น้อย และเมื่อได้เห็นตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ที่ลูกสาวเอามาให้ดู เขาก็ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว
“หนูยังไม่ได้เอาตั๋วแลกเงินไปรษณีย์นี้ไปขึ้นเงินกับธนาคาร หนูเอามาให้พ่อกับแม่ก่อน นี่เป็นเงินค่าต้นฉบับก้อนแรกของหนู และหลังจากนี้หนูก็ต้องได้ค่าต้นฉบับเยอะขึ้นอย่างแน่นอนค่ะ!” คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนทำให้เซี่ยจวินและตงลี่หวาตกใจอยู่ไม่น้อย
ตงลี่หวาส่ายหน้าและยื่นตั๋วแลกเงินไปรษณีย์คืนไปให้กับจางฉุ้ยเหลียนในทันที “ลูกไม่ต้องเอาเงินนี้มาให้พ่อกับแม่หรอก แค่เรารู้ว่าลูกตั้งใจมากแค่ไหน แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ เอาเงินของลูกคืนไปเถอะ เก็บไว้ใช้ยามจำเป็น ถ้าไม่อยากเก็บ ก็เอาไปฝากธนาคารไว้เป็นเงินสินเดิมของลูกก็ได้นะ!”
ครั้งนี้ที่จางฉุ้ยเหลียนกลับมาที่บ้านตระกูลเซี่ย ก็เพื่อที่จะเอาเงินที่ได้จากการเขียนต้นฉบับมาให้พ่อกับแม่บุญธรรมของเธอ เพราะเธอรู้ดีว่าถ้าเธอซื้อของขวัญมาให้พวกเขา ไม่มีทางที่พวกเขาจะยอมรับมันไว้แน่นอน แต่ถ้าเธอให้ตั๋วแลกเงินไปรษณีย์ เธอคิดว่าพวกเขาจะต้องดีใจมากแน่
“ฉุ้ยเหลียน!ลูกเอาคืนไปเถอะ ! พวกเราก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงิน ลูกเก็บไว้ใช้ในยามจำเป็นดีกว่านะ” เซี่ยวจวินเอ่ยออกมา
เมื่อได้ยินดังนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจว่า “ถ้าพ่อกับแม่ไม่ยอมรับมันไว้ พ่อกับแม่ก็ช่วยเก็บเงินนี้ไว้ให้หนูหน่อยได้ไหมคะ ถ้าฝากเงินนี้ไว้ที่พ่อกับแม่ หนูจะได้วางใจ!”
เซี่ยจวินและตงลี่หวาต่างก็เข้าใจความหมายของจางฉุ้ยเหลียนดี ทั้งสองจึงหันไปมองหน้ากัน จากนั้นตงลี่หวาก็พยักหน้า พร้อมกับพูดออกไปว่า “ก็ได้ !แม่จะเก็บเงินนี้ไว้ให้ลูกเอง!รอวันที่ลูกแต่งงาน แม่จะเอาเงินนี้ให้เป็นสินเดิมของลูก!”
จางฉุ้ยเหลียนอยู่ที่ตระกูลเซี่ยเป็นเวลา 5 วัน ในระยะเวลา 5 วันที่เธออยู่ที่นี่ เธอก็ได้ใช้ประโยชน์จากประสบการณ์การเข้าครัวมามากว่า 24 ปีของเธออย่างเต็มที่ เธอนำผักทั้งหมดในบ้านตระกูลเซี่ยออกมาล้างทำความสะอาด จากนั้นก็นำมันออกไปตากแดดที่ลานบ้าน เมื่อผักเหล่านั้นแห้งดีแล้วเธอก็นำมันมาดอง เธอรู้ว่าสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยนั้นทำงานอย่างหนัก พวกเขาไม่มีเวลาดองผักอย่างแน่นอน หลังจากที่ผ่านฤดูใบไม้ร่วงปีนี้เป็นต้นไป กว่าผักจะออกดอกออกผลอีกทีก็คงจะปีหน้า ช่วงที่ผักยังไม่ออกดอกออกผลพวกเขาก็คงต้องกินผักดอง ผักที่นิยมนำมาดองส่วนมากก็จะเป็น หัวไชเท้า มันฝรั่ง และผักกาดขาว
“หนูมีเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งเป็นคนเกาหลี หล่อนเป็นคนสอนวิธีการหมักผักแบบเกาหลีให้หนูค่ะ” จางฉุ้ยเหลียนสรรหาเหตุผลขึ้นมาพูด เมื่อพูดจบเธอก็นำหัวไชเท้า ผัดกาดขาว รากของต้นดอกบอลลูน และน้ำเต้า เอามาทำกิมจิ ส่วนแตงกวา ถั่วฝักยาว และกระเทียม เธอก็นำมาดอง
เธอนำถั่วฝักยาวมาตากแดดไว้บริเวณลานบ้านด้วยท่าทางคล่องแคล่ว การที่นำถั่วฝักยาวมาตากแดดแบบนี้ ก็เพื่อที่จะทำให้ถั่วฝักยาวแห้งและคงรสชาติเดิมของมันเอาไว้
หลังจากที่เดินกลับเข้ามาในครัว เธอก็นำมะเขือยาวมาหั่นเป็นแว่น ๆ แล้วนำไปชุบกับแป้งสาลีทั้งสองด้าน และเอาออกไปตาก หลังจากที่ตากจนแห้งแล้วก็นำมันมาเก็บใส่กล่องไว้ เวลาที่อยากจะกินก็แค่เอามันไปตุ๋นและเพิ่มรสชาติ เมื่อได้กินมะเขือยาวตุ๋นนี้เข้าไปแล้ว มันจะให้ความรู้สึกที่ชุ่มฉ่ำอีกทั้งยังอร่อยมากอีกด้วย และเธอก็ไม่ลืมที่จะสอนตงลี่หวาทำซอสพริกสูตรของเธอ ระยะเวลา 5 วันที่เธออยู่ที่บ้านตระกูลเซี่ย เธอจะไม่ยอมให้เวลามันสูญเปล่าไปอย่างเด็ดขาด
ตงลี่หวาเช็ดเหงื่อให้กับจางฉุ้ยเหลียนด้วยความปวดใจ “แม่กับพ่อไม่สนใจหรอก แค่กินอิ่มก็พอแล้ว ลูกหมักผักไว้มากมายขนาดนี้ ไม่กลัวว่าเราจะกินผักดองกันจนหน้ากลายเป็นผักดองเลยรึไง!”
ความจริงแล้วจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้อยากให้พวกเขากินผักดองมากมายขนาดนี้ แต่มันก็ไม่มีวิธีการอื่นแล้วที่จะรักษาผักที่เก็บเกี่ยวมาจากสวนหลังบ้านเพื่อไม่ให้มันเน่าเสีย เธอจึงทำได้เพียงแค่เอาผักเหล่านี้มาหมักหรือดองเพื่อที่จะคงสภาพให้มันกินได้นานขึ้นเท่านั้น แต่พ่อกับแม่ของเธอก็แก่เฒ่าลงไปทุกวัน ๆ การที่จะต้องมากินของหมักดองอย่างนี้มันก็ไม่ดีต่อสุขภาพ เมื่ออายุมากขึ้นก็ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการกิน
เซี่ยจวินมองไปทางไหทั้ง 9 ไหในห้องของจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นก็อดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ : “เปลี่ยนกินวันละอย่าง ในหนึ่งสัปดาห์เราก็ได้กินผักดองได้ไม่ซ้ำแล้ว ลูกสาวของพ่อนี่ช่างกตัญญูรู้คุณจริง ๆ !”
แต่สิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนทำให้ได้ในตอนนี้ ก็เป็นแค่การดองผักเพียงเท่านั้น เมื่อคิดได้ดังนั้นน้ำตาก็คลอเบ้าขึ้นมา จางฉุ้ยเหลียนจึงหันหลังให้ทั้งสอง และแอบเช็ดน้ำตาของตัวเองเงียบ ๆ จากนั้นก็ถอนหายใจออกมา ‘นี่สำหรับบุญคุณที่พ่อกับแม่มีให้กับหนู ถึงจะเป็นแค่ผักดองเพียงไม่กี่ไห แต่มันก็น่าจะพอตอบแทนบุญคุณของพ่อกับแม่ที่มีต่อหนูได้บ้างนะคะ’
หลังจากที่ปิดเทอมครบ 10 วันแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ต้องกลับไปเรียนอีกครั้ง มีรถเที่ยวสุดท้ายที่เข้าไปในเมืองตอน 16.00 น. ของทุกวัน เมื่อตงลี่หวาเห็นผักดองและซอสพริก 2 กระปุกในกระเป๋าของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็รู้ได้ในทันทีว่า จางฉุ้ยเหลียนจะต้องเอาไปกินกับหมั่นโถวอย่างแน่นอน และหล่อนก็คิดว่าถ้าหล่อนเอาเงินให้กับจางฉุ้ยเหลียน เธอก็คงไม่ยอมรับเงินของหล่อน หล่อนจึงนำไข่เป็ดที่ต้มแล้ว 10 ฟองพร้อมกับห่อผ้าเช็ดหน้าลายดอกไม้ที่หล่อนเอาเงินเหรียญใส่ไว้รวมกันประมาณ 50 หยวน เอาไปใส่ไว้ในกระเป๋าของจางฉุ้ยเหลียนด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ตัวเลยว่าตงหลี่หวาเอาเงินและไข่มาใส่ไว้ในกระเป๋าของเธอ หลังจากที่เธอกล่าวลาเซี่ยจวินกับตงลี่หวาแล้ว เธอก็สะพายกระเป๋าเดินออกจากบ้านเพื่อเดินทางกลับวิทยาลัย
เมื่อมาถึงวิทยาลัย เธอก็พบว่ายังมีเพื่อนร่วมห้องของเธออีกหลายคนที่ยังไม่กลับมา โดยเฉพาะติงหลงหลงที่บ้านอยู่ในเมือง หล่อนก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ต่อให้มีเรียนพรุ่งนี้ตอนเช้า ถึงยังไงหล่อนก็มาเข้าเรียนทันอยู่ดี
ส่วนหลี่ม่านและคนอื่น ๆ ก็คงจะกลับมาถึงวิทยาลัยตอนเช้ามืดของวันพรุ่งนี้ ? คาบเช้าวันพรุ่งนี้พวกเธอก็คงจะมาเรียนไม่ทันแน่ ๆ !
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า แล้วจึงนำของที่อยู่ในกระเป๋าของเธอออกมา เมื่อล้วงมือเข้าไปข้างในเธอก็เจอกับห่อผ้าเช็ดหน้าลายดอกไม้ที่ไม่ใช่ของเธอ เมื่อเธอหยิบมันขึ้นมาเปิดดู ก็พบว่ามีเศษเหรียญอยู่ในนั้นจำนวนหนึ่ง พอนับ ๆ ดูแล้วก็รวมกันได้ 50 หยวนพอดี
จางฉุ้ยเหลียนรู้ได้ในทันทีว่าเงินนี้ต้องเป็นของตงลี่หวา เธอทอดถอนใจออกมา แล้วเช็ดคราบน้ำตาออกจากใบหน้า เธอหยิบกระเป๋าเงินออกมา จากนั้นก็เก็บเงินเอาไว้ในนั้น เมื่อเก็บเงินเรียบร้อยแล้ว เธอก็เดินออกไปจากห้องพัก
เมื่อเดินมาถึงป้อมยามหน้าวิทยาลัย จางฉุ้ยเหลียนจึงเคาะประตู คุณลุงยามที่อยู่ประจำหน้าประตูวิทยาลัยนั้นจำจางฉุ้ยเหลียนได้ เพราะในสมัยนี้มีนักศึกษาน้อยคนนักที่จะมารอรับตั๋วแลกเงินไปรษณีย์จากบุรุษไปรษณีย์ที่หน้าวิทยาลัยแบบนี้ หลายปีที่ผ่านมานี้เขาก็เห็นแค่จางฉุ้ยเหลียนคนเดียวเท่านั้น
“คุณลุงคะ!มีจดหมายส่งมาถึงหนูบ้างไหมคะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนเคาะประตูป้อมยาม จากนั้นก็ยื่นหน้าเข้าไปถามคุณลุงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
ด้วยความที่เธอนั้นยืนอยู่ที่ต่ำกว่า นั่นจึงทำให้เธอมองไม่เห็นข้างในป้อมยาม เธอจึงไม่รู้ว่าท่านอธิการบดีกำลังยืนคุยกับคุณลุงยามอยู่ในป้อมยามอยู่ในขณะนี้
เมื่อลุงยามคนนั้นเห็นจางฉุ้ยเหลียน เขาก็ยิ้มพร้อมกับยื่นซองจดหมายมาให้เธอ : “ดูเหมือนครั้งนี้จะไม่ใช่ตั๋วแลกเงินไปรษณีย์นะ บุรุษไปรษณีย์ก็ไม่ได้บอกว่าจะรอหนูด้วย!”
จางฉุ้ยเหลียนแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาเล็กน้อย ดูท่านิยายเรื่องสั้นของเธอจะไม่เข้าตาของบรรณาธิการ ในขณะที่เธอกำลังคิดถึงเรื่องนิยายของตัวเองอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงคนถอนหายใจ ‘เฮ้อ’ ออกมาจากในป้อมยาม จากนั้นก็ได้ยินเสียงของผู้ชายคนหนึ่งกำลังพูดอยู่กับคุณลุงยาม และลุงยามก็ได้เล่าเรื่องบทความของจางฉุ้ยเหลียนที่ได้รับการตีพิมพ์ให้กับอีกฝ่ายได้ฟัง ใบหน้าที่ดูมีสง่าราศีนั้นก็ทำท่าราวกับว่าตนเองนั้นได้มีส่วนร่วมในการตีพิมพ์บทความในครั้งนี้ของจางฉุ้ยเหลียนด้วยอย่างไรอย่างนั้น
“แม่หนู เข้ามาข้างในหน่อยสิ ท่านอธิการบดีเขาอยากจะพูดกับหนูหน่อยน่ะ !” ลุงยามเรียกให้จางฉุ้ยเหลียนเข้าไปในป้อมยาม และบอกกับเธอว่ามีคนอยากจะพูดด้วย
จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้าไปในป้อมยามด้วยความรู้สึกสงสัย เมื่อเธอเดินเข้าไปในป้อมยามแล้ว ความสงสัยที่เธอมีก่อนหน้านี้มันก็ได้มลายหายไป เมื่อเธอเห็นท่านอธิการบดีนั่งอยู่ในป้อมยามแห่งนี้
“จดหมายที่เธอกำลังถืออยู่ตอนนี้คือจดหมายตอบกลับจากสำนักพิมพ์อย่างนั้นหรือ ? แล้วครั้งนี้บทความของเธอได้รับการตีพิมพ์รึเปล่า ? ” อธิการบดีถามขึ้นด้วยความอยากรู้
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกลำบากใจอยู่ไม่น้อย ถ้าเธอรู้ว่าท่านอธิการบดีอยู่ที่นี่ เธอก็คงจะไม่มาเอาจดหมายในเวลานี้ บทความของเธอจะได้ตีพิมพ์หรือว่าไม่ได้ตีพิมพ์มันก็ไม่สำคัญแล้วล่ะตอนนี้ เพราะเธอรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากที่ได้เจอกับท่านอธิการบดีที่นี่
จางฉุ้ยเหลียนเปิดซองจดหมายฉบับนั้นออกมาดู เธอล้วงมือเข้าไปหยิบกระดาษบาง ๆ ออกมาจากซองจดหมาย เมื่อหยิบออกมาแล้วเธอก็พบว่ามันเป็นตั๋วแลกเงินไปรษณีย์และจดหมายที่เขียนด้วยมือแผ่นหนึ่ง
เมื่อเห็นดังนั้น คุณลุงยามก็ยื่นมือออกไปรับตั๋วแลกเงินไปรษณีย์จากจางฉุ้ยเหลียนมาดูด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นจำนวนเงินที่ระบุอยู่บนตั๋วแลกเงินไปรษณีย์แล้ว เขาก็พูดออกมาด้วยน้ำเสียงตกใจว่า “138 หยวน เธอได้รับค่าต้นฉบับตั้ง 138 หยวนเชียวนะ !”