px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 27  คนที่มีน้ำจิตน้ำใจ


ตอนที่ 27  คนที่มีน้ำจิตน้ำใจ

 

เรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนไปทำงานที่โรงอาหารของวิทยาลัยนั้น สร้างความปั่นป่วนให้กับคนในหอพักได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ทุกคนต่างก็กรูกันเข้ามาถามจางฉุ้ยเหลียนว่าไปทำงานที่โรงอาหารได้ยังไง  และเมื่อได้ฟังที่จางฉุ้ยเหลียนพูด ก็ทำให้มีบางคนกระตือรือร้นอยากที่จะลองทำดูบ้าง

 

จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมกับอธิบายว่า “เงินเดือนไม่เยอะหรอกนะ แต่ก็ยังพอทำให้ปากท้องของฉันอิ่มได้ทุกเดือน ค่าเทอมในปีหน้า ก็ยังต้องทำงานช่วงปิดเทอมฤดูหนาวอีกอยู่ดี”

 

เมื่อทุกคนได้ยิน ต่างก็เข้ามาสอบถามรายละเอียดงานที่จางฉุ้ยเหลียนทำกันอย่างละเอียดถี่ถ้วน จนได้รู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นจะต้องไปเช็ดโต๊ะ ทำความสะอาด และทิ้งขยะที่โรงอาหารทุกสามมื้อในหนึ่งวัน เมื่อรู้แบบนั้นแล้วพวกหล่อนจึงเกิดความรู้สึกกังวลขึ้นมา โชคดีที่พวกหล่อนยังเป็นนักศึกษาที่มีฐานะอยู่บ้าง เรื่องที่น่าอายแบบนั้น พวกหล่อนทำไม่ได้จริง ๆ

 

หลังจากที่ทำงานในโรงอาหารเสร็จ จางฉุ้ยเหลียนก็กลับมายังหอพักของตัวเองในช่วงพักเที่ยง เมื่อติงหลงหลงเห็นจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในห้อง หล่อนก็โยนหนังสือนิตยสารเล่มหนึ่งมาให้เธอ “เรื่องใหม่น่ะ ฉันอ่านจบแล้ว เธอเอาไปอ่านสิ”

 

จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะคิกคักออกมา พร้อมกับกล่าวขอบคุณ จางฉุ้ยเหลียนอ่านหนังสือจนเผลอหลับไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่รู้ ถึงแม้จะบอกว่าหลับ แต่ความจริงแล้วเธอก็รู้สึกตัวอยู่ เมื่อนอนไปได้ไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูเข้ามาในห้อง

 

เธอรู้สึกว่าเตียงของเธอนั้นเกิดการสั่นไหวขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงผู้หญิงสองคนกำลังพูดคุยกัน

 

“ไอ้หยา ดูไม่ออกเลยจริง ๆ นะ !” มีเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้นมา

 

เฟิงเสี่ยวเจี๋ยที่ได้ยินดังนั้นจึงแสยะยิ้ม และพูดออกไปว่า “เหอะ! คนอย่างหล่อนไม่เปิดเผยเรื่องของตัวเองให้ใครรู้หรอก เธอก็เห็นว่าหล่อนน่ะหยิ่งจะตาย หล่อนไม่สนใจพวกเราเลยสักนิด เพราะอย่างนั้นหล่อนจะต้องปิดบังอะไรบางอย่างไม่ให้เรารู้อยู่แน่ ๆ ”

 

จากเสียงที่พูดคุยกันนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็รู้ได้ในทันทีว่าคนที่กำลังพูดอยู่กับเฟิงเสี่ยวเจี๋ยนั้นเป็นใคร หล่อนชื่อว่า หวังโต้วโต้ว  หล่อนเรียนอยู่สาขาบัญชี และหล่อนก็อยู่หอพักเดียวกันกับเธอ ใบหน้าที่ไร้เดียงสาของหล่อนนั้นเต็มไปด้วยกระ และหล่อนก็เป็นคนที่ไม่เลวคนหนึ่ง หล่อนมีนิสัยที่ค่อนข้างจะห้าว ๆ แมน ๆ เหมือนกับผู้ชาย

 

จางฉุ้ยเหลียนได้ยินไม่ชัดว่าคนที่เฟิงเสี่ยวเจี๋ยและหวังโต้วโต้วกำลังพูดถึงนั้นเป็นใคร

 

ถ้าจะพูดถึงการแบ่งหมวดสาขาของวิทยาลัยของเธอมันก็ถือว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว สาขาที่จางฉุ้ยเหลียนเลือกเรียนก็คือสาขาภาษาจีน แต่นึกไม่ถึงเลยว่าสาขาที่เธอเรียนจะมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าประถมศึกษา เธอเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอจะต้องเรียนวิชาศิลปะ ดนตรี และวาดภาพด้วย เพราะบางครั้ง เธอก็มักจะได้ไปเรียนรวมกับเพื่อนในหอพักที่อยู่สาขาอื่นอยู่บ่อย ๆ 

 

เมื่อได้ทำความรู้จักกับคนในหอพักแล้ว มันก็ทำให้เธอเข้าใจนิสัยของคนในหอพักมากยิ่งขึ้น ยิ่งเธอได้รู้จักนิสัยของเฟิงเสี่ยวเจี๋ย เธอก็พบว่าเฟิงเสี่ยวเจี๋ยนั้นเป็นคนปากไม่มีหูรูด อีกทั้งยังไม่น่าคบหา

 

 

“จางฉุ้ยเหลียนกำลังนอนอยู่เตียงชั้นล่างนะ เธอหยุดพูดเถอะ ! ” หวังโต้วโต้วพูดเตือน

 

เฟิงเสี่ยวเจี๋ยแสยะยิ้มเล็กน้อย : “หล่อนไม่ได้ยินหรอก ! เธอไม่เห็นเหรอว่าหล่อนทำงานหนักจะตายตอนช่วงพักเที่ยง ! ฉันไม่รู้เลยจริง ๆ ว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่ ไม่มีเงินก็อย่ามาเรียนตั้งแต่แรกสิ ทางบ้านไม่มีเงินส่ง ตอนนี้ถึงต้องมาทำงานที่โรงอาหารให้คนทั้งวิทยาลัยหัวเราะเยาะแบบนี้ไง น่าขายหน้าจริง ๆ เลย

 

จางฉุ้ยเหลียนลืมตาตื่นขึ้นมาในทันที เธอนึกไม่ถึงเลยว่าเฟิงเสี่ยวเจี๋ยจะปากเสียมากขนาดนี้

 

“เธอว่า คนรักของติงหลงหลงเป็นทหารรึเปล่า ? ” หวังโต้วโต้วรู้สึกไม่ดีที่จะพูดเรื่องของจางฉุ้ยเหลียน และหล่อนก็กลัวว่าจางฉุ้ยเหลียนจะได้ยินด้วย จึงได้รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนากลับมาที่เรื่องของติงหลงหลง

 

“อื้อ ฉันเห็นหล่อนเดินอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง หัวเราะคิกคักสนุกสนานมากเลย ตอนที่พวกเขาเดินออกไปไกลจากวิทยาลัยแล้ว พวกเขาก็ควงแขนกันด้วยล่ะ หน้าไม่อายเลยจริง ๆ ” เฟิงเสี่ยวเจี๋ยพูดอย่างออกรสออกชาติ ซึ่งนั่นมันก็สร้างความตกใจให้กับหวังโต้วโต้วได้ไม่น้อยเลยทีเดียว

 

เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนที่นอนอยู่เตียงชั้นล่างก็อดที่จะขยับพลิกตัวไม่ได้ และการพลิกตัวของเธอมันก็ให้กับเฟิงเสี่ยวเจี๋ยตกใจจนต้องปิดปากเงียบลงในทันที ผ่านไปสักพักเมื่อไม่ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว เฟิงเสี่ยวเจี๋ยก็โน้มตัวลงมาเพื่อตรวจเช็คดูให้แน่ใจอีกครั้งว่าจางฉุ้ยเหลียนยังหลับอยู่หรือไม่

 

เมื่อหล่อนเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนแค่พลิกตัว และตอนนี้เธอก็กำลังหลับอยู่  หล่อนจึงรู้สึกโล่งใจ จากนั้นก็หันหน้าไปพยักหน้าให้กับหวังโต้วโต้วเพื่อบอกเป็นนัยว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นยังไม่ตื่น

 

หวังโต้วโต้วเองก็โล่งใจเช่นกัน จากนั้นหล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรอีก นอกจากล้มตัวนอนคว่ำหน้าลงไปบนหมอน

 

คนในหอพักต่างก็ทยอยกันกลับมาที่ห้องของตัวเองในตอนกลางคืน และต่างพากันเดินเข้ามาถามถึงเรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนไปทำงานในโรงอาหารกันอย่างเจี๊ยวจ๊าว จางฉุ้ยเหลียนจึงทำได้แค่ยิ้มพร้อมกับบอกไปว่าทางวิทยาลัยนั้นเป็นกังวลเรื่องที่เธอจะไม่มีเงินมาจ่ายค่าเทอม และโชคดีที่โรงอาหารของวิทยาลัยขาดคนพอดี ทางวิทยาลัยจึงให้เธอไปทำงานที่โรงอาหารของวิทยาลัย

 

การที่จางฉุ้ยเหลียนไปทำงานที่โรงอาหารของวิทยาลัย มันจึงทำให้คนในห้องพักแห่งนี้ต่างก็มองจางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป รวมทั้งคนที่อยู่ในอาศัยอยู่หอพักแห่งนี้ด้วย พวกหล่อนต่างก็รู้ว่าสถานะทางครอบครัวของจางฉุ้ยเหลียนนั้นยากจน แม้แต่คุณป้าคนดูแลหอก็ยังส่งสายตาสงสารมาทางเธออยู่เสมอ ๆ บางครั้งหล่อนก็ยังเอารองเท้าคู่เก่าของหล่อนมาให้เธออีกต่างหาก นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าตอนนี้ตนเองได้กลายเป็นคนน่าสงสารในสายตาของคนอื่นไปแล้ว

 

ชีวิตจริงของคนเรามันยิ่งกว่าละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการแบ่งชนชั้นของคนในห้องพักแห่งนี้ หลงติงติงเป็นคนที่มีฐานะดีที่สุด รองลงมาก็คือหลี่ม่านที่ดูเป็นคนใจกว้างโอบอ้อมอารี จางฉุ้ยเหลียนที่เป็นคนดีก่อนหน้านี้ หลังจากที่เธอเข้าไป ‘ทำงาน’ ในโรงอาหาร สถานะของเธอภายในห้องพักแห่งนี้ก็ลดฮวบลงไปทันที

 

ทุกคนต่างก็ทิ้งระยะห่างจากเธอ หลี่ม่านและติงหลงหลงยังคงปฏิบัติตัวกับเธอเหมือนเดิม แต่เกาปินและหลี่เหยา สองสาว ทันสมัยต่างก็พากันมองข้ามเธอ เหมือนกับว่าการที่ได้มาอาศัยอยู่กับเด็กสาวที่ฐานะยากจนอย่างเธอ มันทำให้พวกหล่อนเกิดความรู้สึกอับอายอย่างไรอย่างนั้น ส่วนเฟิงเสี่ยวเจี๋ย จางเว่ย และหวังโต้วโต้ว ทั้งสามคนต่างก็มีนิสัยเหมือนกัน และพวกหล่อนก็ตีตัวออกห่างจากจางฉุ้ยเหลียนเช่นกัน เธอนึกไม่ถึงเลยว่าภายในห้องพักเล็ก ๆ แห่งนี้ จะมีทั้งคนที่ไร้น้ำใจและคนที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีอาศัยอยู่ด้วยกัน  อีกทั้งเรื่องปัญหาหน้าตาทางสังคมก็เป็นเรื่องใหญ่อันดับต้น ๆ ของคนบางคนมากเลยทีเดียว

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้สนใจมันแต่อย่างใด เพราะเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ของเธอก็คือเรื่องของกู้จื้อเฉิง ถ้าเธอไม่สามารถเอาชนะใจของกู้จื้อเฉิงได้ในตอนนี้ หลังจากนี้เธอก็อาจจะไม่มีโอกาสอีกแล้วก็ได้

 

“ฉุ้ยเหลียนมาแล้วหรือ เข้ามาก่อนสิ”  เมื่ออันหลงเห็นจางฉุ้ยเหลียนยืนอยู่หน้าประตู หล่อนก็หัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับเดินออกมาต้อนรับเธอทันที

 

“หนูมาเยี่ยมคุณปู่กับเพื่อนร่วมชั้นอีกแล้วหรือ ? เด็กคนนี้นี่ ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อยเลยจริง ๆ มีน้ำจิตน้ำใจอะไรอย่างนี้ ” หลายวันผ่านไป อันหลงก็ชินกับการปรากฏตัวของจางฉุ้ยเหลียนแล้ว

 

จางฉุ้ยเหลียนบอกหล่อนว่า เธอมาส่งข้าวให้คุณปู่กับเพื่อนร่วมชั้นของเธอทุกวัน เมื่อหล่อนได้พูดคุยกับจางฉุ้ยเหลียนหล่อนก็ถามถึงสถานะทางบ้านของจางฉุ้ยเหลียนโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ และจางฉุ้ยเหลียนก็ได้เล่าเรื่องทางบ้านของเธอให้กับอันหลงฟังทุกเรื่องอย่างไม่ปิดบัง

 

อย่าว่าแต่อันหลงเลย ขนาดกู้จื้อชิวที่ชอบมองคนอื่นว่าต่ำต้อยกว่าตัวเอง หล่อนก็ยังรู้สึกว่าการเป็นจางฉุ้ยเหลียนนั้นไม่ง่ายเลย

 

“นี่เป็นซอสพริกที่หนูทำเองค่ะ หนูทำมากินที่วิทยาลัยด้วย หนูก็เลยแบ่งมาให้คุณป้า คุณป้าลองชิมดูสิคะ ! ” จางฉุ้ยเหลียนหยิบกระปุกซอสพริกออกมาจากกระเป๋า และภายในกระปุกนั้นก็บรรจุซอสสีแดงเข้มข้นอยู่จนเต็มกระปุก

 

อันหลงรับกระปุกซอสสีแดงนั้นมาด้วยความดีใจ “เด็กคนนี้ ช่างมีน้ำจิตน้ำใจจริง ๆ นี่เป็นซอสพริกที่เธอทำเอง รสชาติมันต้องดีมากแน่ ๆ

 

เพราะจางฉุ้ยเหลียนเคยทำไข่ม้วนมาให้หล่อนกินก่อนหน้านี้แล้ว หล่อนจึงรู้ว่าฝีมือการทำอาหารของจางฉุ้ยเหลียนนั้นยอดเยี่ยมมากแค่ไหน วันนี้หล่อนก็รอให้จางฉุ้ยเหลียนมาหา เพื่อที่จะเอาขนมให้จางฉุ้ยเหลียน จางฉุ้ยเหลียนรับขนมกล่องนั้นมาด้วยความรู้สึกเขินอาย จากนั้นเธอก็ยื่นซอสพริกที่เธอทำส่งไปให้กับอันหลง

 

อันหลงคิดถึงรสชาติอาหารของจางฉุ้ยเหลียนเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นซอสพริกที่เธอเอามาให้ หล่อนก็รีบเปิดกระปุกด้วยความดีใจ แล้วใช้มือแตะไปที่ซอสบนฝากระปุก ก่อนที่จะป้ายมันไปบนลิ้นของตัวเองอย่างรวดเร็ว

 

เมื่อได้ชิมซอสพริกที่จางฉุ้ยเหลียนเอามาให้แล้ว ดวงตาของหล่อนก็เปล่งประกายออกมา และพูดออกไปด้วยน้ำเสียงตกใจว่า “หนูทำยังไงเนี่ย ทำไมมันถึงได้อร่อยขนาดนี้ ! ”

 

จางฉุ้ยเหลียนก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดออกไปว่า “หนูก็ลองผิดลองถูกมาหลายครั้งแล้วล่ะค่ะ กว่าจะได้ซอสพริกแบบนี้ออกมา หนูเอาไว้กินกับอาหารที่วิทยาลัย จะได้เพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อยขึ้น”

 

ครั้งนี้ที่จางฉุ้ยเหลียนมา อันหลงก็ได้พูดคุยเกี่ยวกับทางบ้านของจางฉุ้ยเหลียนอย่างไม่อ้อมค้อมและตรงประเด็น และหล่อนก็ได้สอบถามเรื่องต่าง ๆ ที่หล่อนอยากรู้

 

จางฉุ้ยเหลียนก็ตอบหล่อนกลับไปว่า “สมัยเด็ก ๆ ครอบครัวของหนูค่อนข้างยากจน พ่อแม่จึงส่งหนูให้ไปอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมที่ชนบท และหลังจากนั้นอีก 6 ปี พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของหนูก็มารับตัวหนูให้กลับไปอยู่กับพวกเขา หลังจากที่เรียนจบมัธยมปลายแล้ว หนูก็ได้เข้ามาเรียนที่วิทยาลัยครู เพราะคะแนนสอบของหนูค่อนข้างสูง แต่เพราะครอบครัวของหนูยากจน หนูเลยต้องหาเงินค่าเทอมและค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันเอง หนูเลยไปทำงานที่โรงอาหารของวิทยาลัย พวกเขาให้หนูกินข้าวฟรีทุกมื้อ หนูเลยไม่ต้องเสียค่าอาหาร นั่นจึงทำให้หนูประหยัดค่าอาหารไปได้มากเลยค่ะ

 

ไม่มีการกล่าวโทษในโชคชะตาของตัวเอง มีเพียงแค่ความซาบซึ้งในโอกาส เรื่องนี้ทำให้กู้จื้อเฉิงที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยถึงกับร้องว้าวในใจ จากนั้นเขาก็นั่งฟังจางฉุ้ยเหลียนตอบคำถามขอแม่เขาด้วยความตั้งใจ

 

อันหลงพูดคุยกับจางฉุ้ยเหลียนด้วยความรู้สึกสบายใจ และการที่ได้พูดคุยกับจางฉุ้ยเหลียนในครั้งนี้ มันก็ทำให้หล่อนประทับใจในตัวของจางฉุ้ยเหลียนมากขึ้นไปอีก ก่อนที่จางฉุ้ยเหลียนจะกลับ หล่อนจึงยื่นขนมไปให้กับจางฉุ้ยเหลียนอีกกล่องหนึ่ง เมื่อจางฉุ้ยเหลียนก้มลงไปมองกล่องขนมที่อยู่ในมือ เธอก็รู้ได้ในทันทีว่าขนมกล่องนี้ต้องมีราคาแพงมากอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้กู้เต๋อไห่พ่อของกู้จื้อเฉิงยังไม่เสียชีวิต นั่นจึงทำให้ฐานะของตระกูลกู้ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี

 

จางฉุ้ยเหลียนแสร้งทำหน้านิ่งและยื่นมือไปรับขนมกล่องนั้นมา เธอกล่าวขอบคุณอันหลง และหมุนตัวเดินออกจากห้องไป

 

วันนี้ที่เธอเอาซอสพริกที่เธอทำเองมาให้พวกเขา ก็เพื่อเป็นการบอกพวกเขาเป็นนัย ๆ ว่า ‘อย่างแรก หลังจากนี้เธอจะไม่มีเวลามาเยี่ยมคุณปู่ของเพื่อนร่วมห้องอีกแล้ว และจะไม่ได้มานั่งคุยกับพวกเขาแบบนี้อีก และอย่างที่สองก็เพื่อเป็นการบอกพวกเขาว่าเธอนั้นเป็นเด็กสาวที่รู้จักประเพณี วัฒนธรรมและมีการศึกษา แม้ว่าของที่เธอนำมาจะไม่ได้มีราคาและมันก็เต็มไปด้วยน้ำใจ’

 

“หนูทำซอสพริกนี้ยังไง ป้าเห็นว่ามันมีเศษอะไรเล็ก ๆ ดำ ๆ อยู่ในกระปุกด้วย มันคือเต้าเจี้ยวใช่รึเปล่า ? ” อันหลงได้กลิ่นหอมจาง ๆ ออกมาจากซอสพริกนี้ หล่อนจึงก้มหน้าลงมองซอสพริกที่อยู่ในกระปุกอย่างละเอียด และหล่อนก็เห็นว่ามันมีเศษเล็ก ๆ สีดำปนอยู่ในเนื้อของซอสพริกด้วย หล่อนจึงเดาว่าเศษสีดำ ๆ พวกนี้คือเต้าเจี้ยว

 

จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า : “มันคือถั่วเหลืองค่ะ”

 

จางฉุ้ยเหลียนนำถั่วเหลืองที่ต้มไว้ก่อนหน้านี้มาตากแดดสามถึงสี่วัน จนมันกลายเป็นสีดำและให้ความรู้สึกเหนียว ๆ จากนั้นก็นำถั่วเหลืองดำ พริกแห้ง พริกป่น และน้ำที่ได้จากการต้มถั่วเหลืองก่อนหน้านี้มาบดรวมกันจนละเอียดแล้วนำมาผัดกับน้ำมันหมู เมื่อผัดจนเข้ากันแล้วก็จะได้เป็นซอสพริกที่รสชาติเข้มข้น

 

คนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือนิยมกินแต่น้ำมันพริก โดยการนำมันไปผัดให้ร้อนและนำมาราดลงบนพริกเพื่อให้เกิดความหอม หรือไม่ก็กินซอสพริกบด ไม่เคยมีใครใช้ถั่วเหลืองดำมาทำซอสพริกมาก่อน

 

วิธีการทำซอสพริกของจางฉุ้ยเหลียน ได้เปิดโลกให้กับอันหลงเป็นอย่างมาก หล่อนเอ่ยปากชื่นชมฝีมือการทำอาหารของจางฉุ้ยเหลียน  แต่หล่อนกลับไม่รู้เลยว่านี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฝีมือการทำอาหารของจางฉุ้ยเหลียนเท่านั้น

 

อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าตั้งแต่ปี 1990 เป็นต้นมา อาหารในท้องตลาดต่างก็เริ่มเกิดสภาวะการเปลี่ยนแปลง ยกตัวอย่างเช่นการใช้ยาฆ่าแมลงเกินมาตรฐาน มีสารกันเสียในปริมาณที่มากเกินไป พืชที่มีการดัดแปลงพันธุกรรม อีกทั้งยังมีปัญหาการปนเปื้อนสารซูดาน เรด ในอาหารอีกด้วย

 

จางฉุ้ยเหลียนมีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยดีกับครอบครัวทางฝั่งสามีเท่าไหร่นัก และเธอก็ไม่รู้ว่าจะเธอเปลี่ยนแปลงสถานการณ์นี้ได้อย่างไรเช่นกัน วิธีการเดียวที่เธอจะทำได้นั่นก็คือการทำอาหารหลากหลายชนิดที่เธอเป็นคนคิดค้นขึ้นเอง ตราบใดที่คนในบ้านรักในการกินและเลือกที่จะไม่กินอาหารสำเร็จรูป พวกเขาก็ยังเห็นถึงความสำคัญของเธอ

 

ถึงแม้ว่าเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอจะคิดว่าการที่เธอทำแบบนี้มันจะเป็นอาการของคนตระหนี่ขี้เหนียว แต่การที่เธอทำแบบนี้มันก็สามารถเอาชนะใจของอันหลงได้

 

ลูกสะใภ้ที่มีฝีมือในการทำอาหารดีเยี่ยม ปรนนิบัติลูกชายและหลานสาวสารพัด จะมีแม่สามีที่ไหนไม่ชอบบ้างล่ะ ?

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้จักนิสัยการกินของอันหลงเป็นอย่างดี อาหารทุกอย่างที่หล่อนกินจะต้องเผ็ด แม้แต่ของกินเล่นของหล่อนก็ยังเผ็ด ยกตัวอย่างเช่นลิ้นเป็ดเผ็ด ที่มันทั้งเผ็ด ทั้งมัน อีกทั้งยังชาลิ้นอีกต่างหาก นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนทำซอสพริกนี้ขึ้นมา เพราะเธอรู้ว่ามันเป็นการกระชับมิตรความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับอันหลงได้อย่างดีเยี่ยม

 

จับโจรก็ต้องจับหัวหน้าโจร จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าเธอต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับอันหลงก่อนเป็นอันดับแรก มันจะได้เป็นใบเบิกทางที่จะทำให้เธอได้ใกล้ชิดกับกู้จื้อเฉิงได้มากยิ่งขึ้น

 

เป็นอย่างจางฉุ้ยเหลียนคิดไว้ อันหลงพูดออกมาอย่างเสียดายว่า “พอลูกชายของป้าออกจากโรงพยาบาลแล้ว หนูก็คงจะไม่ได้มาเยี่ยมเราอีก และเราก็คงได้เจอกันยากขึ้น ไอ้หยา ป้าคงคิดถึงหนูแย่เลย 

 

จางฉุ้ยเหลียนปิดปากหัวเราะเบา ๆ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ! หนูก็อยู่ที่วิทยาลัยตลอด ถ้าคุณป้ามีเรื่องอะไรอยากให้หนูช่วย คุณป้าก็ไปหาหนูที่วิทยาลัยก็ได้นะคะ หนูยินดีช่วยคุณป้าเต็มที่

 

รีวิวผู้อ่าน