px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 26 ส่งอาหาร


ตอนที่ 26 ส่งอาหาร

 

เมื่อทั้งสองคนมาถึงโรงพยาบาล จางฉุ้ยเหลียนและหลี่ม่านก็ได้นัดแนะเวลากลับกันไว้อย่างชัดเจน ในตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนยังไม่ได้บอกใครเรื่องที่เธอได้ไปทำงานที่โรงอาหารของวิทยาลัย หลี่ม่านจึงคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นต้องการที่จะออกไปหางานข้างนอก ทั้งสองคนจึงแยกย้ายกันหลังจากที่นัดแนะเวลากันเรียบร้อยแล้ว

 

หลังจากที่แยกกับหลี่ม่านแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เดินตรงมาที่ห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่งที่อยู่ติดกับสวนดอกไม้ และห้องพักผู้ป่วยแห่งนี้ก็คือห้องของกู้จื้อเฉิงนั่นเอง เมื่อเธอผลักประตูเข้าไปในห้องเธอก็เห็นอันหลงและกู้จื้อชิวน้องสาวของกู้จื้อเฉิงนั่งอยู่

 

ในตอนนี้ใบหน้าของกู้จื้อชิวยังคงอ่อนเยาว์ เพราะหล่อนยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย อีกทั้งใบหน้าของหล่อนก็ยังเหมือนกับเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอมากอีกด้วย

 

ชาติที่แล้ว อันหลงมักจะชอบพูดอยู่เสมอว่าเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอหน้าตาเหมือนกับกู้จื้อชิวสมัยสาว ๆ อย่างไรอย่างนั้น  และเธอก็จะรู้สึกแย่ทุกครั้งเมื่อได้ยินมัน แต่เมื่อเธอได้เห็นใบหน้าของกู้จื้อชิวในตอนนี้แล้ว เธอกลับคิดว่าลูกสาวของเธอหน้าเหมือนกับกู้จื้อชิวมากจริง ๆ

 

เมื่อคิดไปถึงเชี่ยวเชี่ยว ดวงตาของจางฉุ้ยเหลียนก็ร้อนผ่าวขึ้นมา จางฉุ้ยเหลียนเกิดปี 1970 และได้พบกับกู้จื้อเฉิงช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 1988  พวกเขาทั้งสองคนถูกพ่อกับแม่จับคลุมถุงชน ในตอนนั้นอายุของจางฉุ้ยเหลียนยังไม่บรรลุนิติภาวะ พวกเขาทั้งสองคนจึงไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน เพียงแค่จัดงานแต่งงานเท่านั้น หลังจากที่ผ่านพิธีการเข้าหอแล้ว กู้จื้อเฉิงก็กลับเข้าไปอยู่ในกรมทหาร จนกระทั่งเชี่ยวเชี่ยวลืมตาขึ้นมาดูโลก เขาก็ลาออกจากการเป็นทหารกลับมาอยู่ที่บ้านกับจางฉุ้ยเหลียนและลูก

 

เชี่ยวเชี่ยวเกิดปี 1993 ตอนที่เกิดเรื่องฟ้องหย่ากัน หล่อนก็เพิ่งจะอายุได้ 19 ปี ที่หล่อนอายุยังน้อยนั่นก็เป็นเพราะว่าหลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนและกู้จื้อเฉิงแต่งงานกันแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้มีลูกเลยทันที เวลาล่วงเลยผ่านไปแล้วหลายปีพวกเขาถึงจะมีลูก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเชี่ยวเชี่ยวถึงยังอายุน้อย เมื่อเทียบกับระยะเวลาการแต่งงานของจางฉุ้ยเหลียนและกู้จื้อเฉิง

 

กู้จื้อเฉิงเป็นคนแรกที่เห็นจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามา เขาคิดว่าเมื่อวานเธอยังเป็นเด็กสาวที่เริงร่าอยู่เลย แต่ทำไมวันนี้เธอกลับทำหน้าเศร้าและตาแดงเหมือนกับจะร้องไห้แบบนั้น หรือว่าคุณปู่ของเพื่อนร่วมชั้นของเธออาการหนัก เธอถึงได้เศร้าแบบนี้ ?

 

อังหลงสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของลูกชาย หล่อนจึงมองไปตามสายตาของลูกชาย และนั่นก็ทำให้หล่อนเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนมาที่นี่ หล่อนจึงรีบรุดหน้าเข้าไปกล่าวทักทายทันที :  “แม่หนูนี่เอง หนูมาแล้วทำไมไม่เข้ามาล่ะ

 

ในขณะนี้จางฉุ้ยเหลียนกำลังยืนเหม่อคิดถึงเรื่องเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธออยู่ เธอคิดว่าตราบใดที่เธอสามารถเอาชนะใจของกู้จื้อเฉิงได้ ในอนาคตเธอก็จะได้เจอกับลูกสาวของเธออีกครั้งอย่างแน่นอน และเธอก็จะสามารถชดเชยสิ่งต่าง ๆ ที่ขาดหายไปให้กับลูกสาวของเธอได้

 

เมื่อได้ยินเสียงของอันหลง จางฉุ้ยเหลียนก็ได้สติกลับมา เธอขยี้จมูกเล็กน้อย จากนั้นจึงคลี่ยิ้มแล้วเดินเข้าไปทักทายพวกเขา  “สวัสดีค่ะ คุณป้า

 

อันหลงยิ้มพร้อมกับกล่าวทักทาย : “เป็นยังไงบ้าง หนูเจอห้องพักผู้ป่วยของคุณปู่ของเพื่อนร่วมชั้นของหนูแล้วหรือยัง ? ” จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมา  “เจอแล้วค่ะ โชคดีที่คุณป้าช่วยแนะนำ ใช้เวลาไม่นานก็เจอห้องพักผู้ป่วยของคุณปู่แล้วล่ะค่ะ”

 

เมื่ออันหลงได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนหาห้องพักผู้ป่วยเจอแล้ว หล่อนก็อดที่จะถามออกไปด้วยความสงสัยไม่ได้ว่า: “แล้วทำไมวันนี้หนูยังมาที่โรงพยาบาลอีกล่ะ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมาพร้อมกับพูดออกไปว่า “เป็นเพราะได้คำแนะนำจากคุณป้าเมื่อวาน ว่าการที่จะไปเยี่ยมคนป่วยก็ต้องมีของติดไม้ติดมือไปด้วยถึงจะไม่เป็นการเสียมารยาท เมื่อวานที่หนูเอาแอปเปิ้ลที่คุณป้าให้ไป ไปเยี่ยมพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกขอบคุณเป็นอย่างมาก วันนี้หนูก็เลยทำอาหารมาให้คุณป้าเพื่อเป็นการขอบคุณคุณป้าที่ช่วยแนะนำหนูน่ะค่ะ ”

 

กู้จื้อเฉิงส่ายหน้าพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความเกรงใจว่า  “เธอก็คิดมากเกินไป ไม่ต้องทำถึงขนาดนี้หรอก

 

อันหลงส่ายหน้า ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า  “ไม่ต้องลำบากหรอก อีกอย่างพวกเราก็ไม่ได้ขาดแคลนอะไรขนาดนั้น

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าคำพูดของกู้จื้อเฉิงและอันหลงนั้นมีความหมายแตกต่างกัน กู้จื้อเฉิงนั้นไม่ได้อยากได้อาหารของเธอจริง ๆ ส่วนอันหลงก็ไม่ได้ใส่ใจกับอาหารที่เธอนำมามากเท่าไหร่นัก

 

จางฉุ้ยเหลียนหยิบกล่องอาหารออกมาจากกระเป๋า จากนั้นจึงเปิดฝามันออกมาให้ทุกคนดู เธอชี้ไปที่อาหารของเธอและพูดออกไปว่า “นี่เป็นอาหารที่หนูทำเอง ถึงมันจะไม่ได้ใช้วัตถุดิบราคาแพง แต่หนูก็ทำมันด้วยใจนะคะ

 

อันหลงนั้นชอบคนที่มีความรู้และการศึกษา เมื่อเห็นหน้าตาของอาหารที่จางฉุ้ยเหลียนนำมา หล่อนจึงถูกใจกับความเอาใจใส่และสีสันของมันเข้าอย่างจัง

 

หล่อนจึงอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “นี่คืออะไรหรือ? หน้าตาน่ากินมากทีเดียว

 

กู้จื้อเฉิงที่กำลังนั่งมองเหตุการณ์อยู่ข้าง ๆ ก็อดที่จะยืดคอขึ้นมาดูไม่ได้ เขามองอาหารที่อยู่ในกล่องด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ

 

จางฉุ้ยเหลียนยิ้มแล้วพูดว่า  “มันก็ไม่ได้เป็นอาหารที่แปลกอะไรหรอกค่ะ เป็นแค่อาหารธรรมดาทั่ว ๆ ไป ลองชิมดูสิคะ” ในขณะที่พูดเธอก็ยื่นกล่องอาหารไปตรงหน้าอันหลง ตลอดระยะเวลาที่เธอได้ใช้ชีวิตกับหล่อนมามากว่า 20 ปี เธอย่อมรู้จักนิสัยของหล่อนเป็นอย่างดี

 

“ไอ้หยา ตอนอยู่ที่บ้านหนูมักจะทำเมนูนี้บ่อย ๆ น่ะค่ะ มันเป็นข้าวห่อด้วยแตงกวา แครอท และก็ขึ้นฉ่าย กินไปแล้วมันก็จะรู้สึกกรอบ ๆ” อันหลงกินไปพลางมองอาหารที่อยู่ในกล่องไปพลาง อาหารที่จางฉุ้ยเหลียนนำมามันดึงดูดความสนใจของญาติผู้ป่วยที่อยู่เตียงถัดไปอย่างมากเลยทีเดียว

 

ส่วนกู้จื้อชิวก็หยิบไข่ม้วนที่อยู่ในกล่องขึ้นมากิน จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า  “แม่ แม่ดูไข่ม้วนนี่สิ มันเป็นชั้น ๆ ด้วยล่ะ”

 

จางฉุ้ยเหลียนถือโอกาสตอนที่สองแม่ลูกกำลังคุยโม้โอ้อวดรสชาติของอาหารที่เธอนำมากับคนไข้คนอื่นอยู่นั้น เธอก็ยื่นกล่องข้าวไปให้กับกู้จื้อเฉิง จากนั้นก็พูดออกไปว่า “ลองชิมดูสิคะ

 

กู้จื้อเฉิงลำบากใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายเขาก็ยื่นมือเข้าไปหยิบอาหารที่อยู่ในกล่องมายัดใส่ปาก

 

“อื้อ” กู้จื้อเฉิงตาลุกวาวขึ้นมาในทันที เขาพูดพร้อมกับคลี่ยิ้มออกมาว่า “ในนี้มีขึ้นฉ่ายด้วยหรือ ฉันได้กลิ่นขึ้นฉ่าย

 

ก็แน่นอนสิ จางฉุ้ยเหลียนอดที่จะกลอกตาไปมาไม่ได้ เธอรู้ว่าเขาชอบกินขึ้นฉ่ายมาก เพราะเขามักจะบอกให้เธอใส่ขึ้นฉ่ายในอาหารทุกอย่างที่เขากิน ดังนั้นเธอจึงใส่ขึ้นฉ่ายลงในข้าวปั้นด้วย

 

“หนูบอกป้ามาหน่อยสิ ว่าข้าวปั้นนี่มันทำยังไง ป้าจะได้เอากลับไปทำที่บ้านบ้าง” อันหลงกู้หัวเราะคิกคักพร้อมกับถามจางฉุ้ยเหลียน จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้คิดที่จะปิดบังวิธีการทำข้าวปั้นของเธอแต่อย่างใด เธอบอกวิธีการทำทั้งหมดกับอันหลงอย่างไม่มีกั๊ก

 

เมื่อทุกคนได้ฟังวิธีการทำข้าวปั้นของจางฉุ้ยเหลียน ทุกคนต่างก็คิดไม่ถึงว่ามันจะทำง่ายขนาดนี้ พวกเขาจึงอดที่จะชื่นชมจางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ว่าเธอนั้นทำอาหารเก่งมากจริง ๆ

 

กู้จื้อชิวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ถามขึ้นด้วยความอยากรู้ว่า  : “แม่ของฉันบอกว่าเธอเป็นนักศึกษา เธอเรียนเชฟหรือ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า : “ไม่ใช่หรอกค่ะหนูเรียนเอกภาษา ตั้งใจว่าจบออกไปแล้วจะไปเป็นครูสอนภาษา ส่วนเรื่องทำอาหาร หนูเริ่มทำอาหารมาตั้งแต่อายุ 12 ปีแล้วล่ะค่ะ เพราะหนูชอบทำอาหาร หนูเลยศึกษาด้านนี้ด้วย

 

เมื่ออันหลงได้ยินดังนั้น หล่อนก็เริ่มคิดแผนการบางอย่างขึ้นมาในใจ ใบหน้าของหล่อนไม่ได้แสดงสีหน้าอะไรออกมาแต่อย่างใด นอกจากคลี่ยิ้มเพียงเท่านั้น “เป็นอย่างนี้นี่เอง ป้าเห็นว่าหนูอายุมากกว่าเสี่ยวชิวไม่เท่าไหร่เอง หนูทำอาหารได้แล้วจริง ๆ อย่างนั้นหรือ ? ”

 

เมื่อหล่อนพูดจบ หล่อนก็แสดงสีหน้าไม่เชื่อออกมาในทันที เมื่อเห็นดังนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงเริ่มรู้สึกฮึกเหิมขึ้นมา เธอรู้ว่า ตอนนี้เธอดูดความสนใจของอันหลงได้สำเร็จแล้ว ตอนนี้หล่อนคงเตรียมที่จะหาภรรยาให้กับกู้จื้อเฉิงแล้วแน่ ๆ

 

จางฉุ้ยเหลียนคิดไปถึงชาติก่อนที่อันหลงตัดสินใจผิดพลาด เพราะหล่อนแค่ต้องการหญิงสาวที่อาศัยอยู่ในเมืองและฐานะไม่แตกต่างกันมากมาแต่งงานกับลูกชายของหล่อน เมื่ออยากจะหาลูกสะใภ้ หล่อนจึงได้ไหว้วานให้ญาติของหล่อนหาเด็กสาวที่ประพฤติตัวดีมาให้ แต่หล่อนกลับไม่สนใจเลยว่าภูมิหลังของครอบครัวของผู้หญิงคนนั้นจะเป็นอย่างไร

 

เหตุผลที่อันหลงเลือกจางฉุ้ยเหลียนให้มาแต่งงานกับลูกชายของหล่อน ข้อแรกก็เป็นเพราะว่าจางฉุ้ยเหลียนเรียนเก่ง และสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้คะแนนสูง ส่วนข้อที่สองก็เป็นเพราะจางฉุ้ยเหลียนทำงานบ้านเก่ง บวกกับคนที่เป็นแนะนำจางฉุ้ยเหลียนให้กับหล่อน ออกปากรับประกันว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นดี ดังนั้นหล่อนจึงได้รีบร้อนมาสู่ขอจางฉุ้ยเหลียนให้กับกู้จื้อเฉิง แต่หล่อนกลับนึกไม่ถึงเลยว่าหลังจากนั้นไม่นานร่างกายของกู้จื้อเฉิงจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม หล่อนจึงได้แต่มานั่งเสียใจภายหลัง ถึงแม้ว่าหล่อนอยากจะให้ทั้งสองคนเลิกกันมากขนาดไหน แต่หล่อนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะกู้จื้อเฉิงไม่ยินยอม

 

“ที่คุณป้าถามหนูแบบนี้ เพราะคุณป้าอยากจะทดสอบหนูอย่างนั้นหรือคะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนเอียงคอก่อนจะยิ้มและถามออกไป

 

“อื้อป้าเห็นว่าหนูทำอาหารได้ หนูลองบอกวิธีทำอาหารมาสักสองสามอย่างสิ ป้าจะดูว่าหนูทำอาหารได้จริง ๆ รึเปล่า”  อันหลงไม่รู้ว่าจะใช้วิธีการอะไรมาทดสอบจางฉุ้ยเหลียนดี หล่อนจึงให้จางฉุ้ยเหลียนบอกวิธีทำอาหารกับหล่อน เพื่อดูว่าจางฉุ้ยเหลียนจะรู้วิธีการทำอาหารจริง ๆ รึเปล่า

 

เมื่อได้ยินดันนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็ยิ้มพร้อมกับพูดออกไปว่า “งั้นหนูขอพูดวิธีการทำอาหารสำหรับวันปีใหม่แล้วกันนะคะ ว่าบ้านของเราทำอะไรกันบ้าง

 

เมื่อทุกคนได้ยินก็นิ่งอึ้งไปทันที เพราะอาหารสำหรับวันปีใหม่เป็นอาหารที่ยากเป็นอันดับต้น ๆ เลยก็ว่าได้ เด็กสาวที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของหล่อนในขณะนี้ทำอาหารสำหรับวันปีใหม่ได้จริง ๆ อย่างนั้นหรือ ?  หรือว่าการที่เธอทำอาหารที่ยากแบบนี้ได้เป็นเพราะครอบครัวของเธอไม่สมบูรณ์  กำพร้าแม่

 

จางฉุ้ยเหลียนคิดไม่ถึงว่าอันหลงจะใช้วิธีการนี้มาทดสอบเธอ เธอจึงหัวเราะและพูดออกไปว่า : “อาหารในวันปีใหม่จะขาดปลาไม่ได้ และรสชาติของอาหารแต่ละบ้านก็ไม่เหมือนกัน เพราะบางบ้านอาจจะชอบรสจืด หรือบางบ้านอาจจะชอบรสเผ็ด แต่บ้านของเราชอบรสจืด ดังนั้นเราจึงทำปลาแบบตุ๋น....”

 

ส่วนอาหารชนิดอื่น ๆ ก็ไม่ต้องพูดถึง แค่เมนูปลาจางฉุ้ยเหลียนก็บรรยายออกมาได้สองสามอย่างแล้ว ดูท่าแล้วจางฉุ้ยเหลียนจะทำอาหารเมนูปลาได้จริง ๆ

 

เมื่ออันหลงได้ฟัง หล่อนก็พูดออกไปว่า “ไอ้หยา น่าทึ่งจริง ๆ เลย หนูอายุยังน้อย แต่ก็ทำอาหารได้ตั้งหลายอย่าง ดูเสี่ยวชิวของเราสิ ทำอะไรก็ไม่ได้สักอย่าง

 

เป็นเรื่องปกติที่พ่อแม่คนจีนจะรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และก็มักจะเปรียบเทียบลูกของตัวเองกับคนอื่นอยู่เสมอ เมื่อได้ยินดังนั้นกู้จื้อชิวที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ได้แต่ทำปากขมุบขมิบอยู่เงียบ ๆ อย่างไม่พอใจ

 

“มันก็เป็นดั่งคำที่ว่า มนุษย์ทุกคนไม่แตกต่างกัน แต่มีชีวิตที่แตกต่างกันน้องสาวคนนี้เกิดมาในครอบครัวที่ดี หนูไม่อาจเทียบได้หรอกค่ะ  ” จางฉุ้ยเหลียนพูดพร้อมกับยิ้มออกมา เธอพูดต่อไปอีกว่า “หล่อนมีผิวพรรณที่ดี มือของหล่อนก็เรียวสวย อีกทั้งยังนุ่มนิ่มน่าสัมผัสมากอีกด้วย เหมือนกับมือของคนที่เล่นเปียนโนอย่างไรอย่างนั้น แต่คุณป้าดูมือของหนูสิคะ ทั้งหยาบกร้านอีกทั้งยังมีแต่รอยจากการโดนไฟและน้ำร้อนลวก ” ภูมิหลังของตระกูลกู้นั้นก็ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะกู้จื้อชิวก็ได้เรียนเปียนโนมาตั้งแต่เด็ก ๆ เพราะอย่างนั้นเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอจึงได้แต่อิจฉาคุณอาของหล่อนมาตลอด และลูกสาวของเธอก็มักจะคิดว่าแม่ของตัวเองนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากความเป็นแม่บ้านแม่เรือน

 

กู้จื้อชิวยกมือทั้งสองข้างของตัวเองขึ้นมาพิจารณาดู จากนั้นก็เชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ยังไม่ทันที่หล่อนจะได้พูดยอมรับออกมา ว่าตนนั้นเรียนเปียนโนจริง ๆ อย่างที่จางฉุ้ยเหลียนพูด หล่อนก็ได้ยินเสียงของจางฉุ้ยเหลียนพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า “อีกทั้งหล่อนยังเป็นคนหน้าตาสะสวย  แถมอุปนิสัยของหล่อนก็แตกต่างจากเด็กสาวทั่วไปแบบเรา เหมือนกับเจ้าหญิงอย่างไรอย่างนั้น คนแบบนี้อนาคตจะต้องได้ดีอย่างแน่นอน หล่อนไม่จำเป็นจะต้องทำอาหารหรอกค่ะ แค่ให้แม่บ้านทำให้ก็พอแล้ว

 

คำพูดประจบประแจงของจางฉุ้ยเหลียนนั้น ทำให้สองแม่ลูกตระกูลกู้รู้สึกดีเป็นอย่างมาก กู้จื้อชิวมีความฝันมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วว่าหล่อนอยากจะเป็นเจ้าหญิง ดังนั้นหล่อนจึงเติบโตมาราวกับว่าเป็นโรคคลั่งเจ้าหญิงอย่างไรอย่างนั้น เพระอย่างนั้นหล่อนจึงดูแลเชี่ยวเชี่ยวลูกสาวของเธอราวกับเจ้าหญิง และนั่นก็เป็นเพราะว่าหล่อนอยากจะเติมเต็มความฝันวัยเด็กของตัวเองนั่นเอง

 

ทางด้านอันหลงก็ดีใจมากเช่นกันที่มีคนมาชมลูกสาวของตัวเอง เมื่อได้ยินคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็ยิ้มหน้าบานเลยทีเดียว

 

กู้จื้อเฉิงมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยความรู้สึกประหลาดใจ เพียงคำพูดไม่กี่คำของเธอ ก็สามารถทำให้ผู้หญิงที่จัดการยากมากที่สุดในบ้านของเขาสงบลงได้แบบนี้ นั่นจึงทำให้เขาเปลี่ยนแปลงมุมมองใหม่ และรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้น่าสนใจมากจริง ๆ

 

“ถ้าเธอทำอาหารมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วแม่ของเธอล่ะ ? ” ญาติคนไข้ที่อยู่เตียงถัดไปถามขึ้นมาด้วยความสงสัย

 

เมื่ออันหลงได้ยิน สีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนไปทันที เพราะหล่อนคิดว่าการที่จางฉุ้ยเหลียนต้องทำอาหารตั้งแต่เด็ก ๆ แบบนี้ ชีวิตของเธอจะต้องขมขื่นมากแน่ ๆ

 

จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะคิกคักออกมา “แม่ของหนูก็ทำอาหารได้ค่ะ แต่หนูทำอร่อยกว่า

 

อันหลงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ดูเหมือนว่าจางฉุ้ยเหลียนจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากเลยจริง ๆ

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าเธอมานั่งคุยอยู่ที่นี่นานแล้ว เธอจึงลุกขึ้นและเตรียมกล่าวลา : “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว หนูขอตัวกลับก่อนนะคะ หลังจากนี้ถ้ามีเวลา หนูจะมาเยี่ยมคุณป้าใหม่นะคะ

 

อันหลงเดินไปส่งจางฉุ้ยเหลียนที่หน้าประตูด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์เพราะไม่อยากจะให้เธอกลับ หล่อนดึงมือของจางฉุ้ยเหลียนไว้ ก่อนจะพูดออกไปว่า “ไอ้หยา ป้าชอบหนูจริง ๆ ทั้งมีน้ำใจ มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี หนูเรียนอยู่ที่ไหนหรือ ถ้ามีโอกาสป้าก็อยากจะให้ลูกสาวของป้าไปหาหนู จะได้สนิทกันมากขึ้นไง

 

จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า : “คุณป้าคะ หนูก็ชอบเสี่ยวชิวมากเหมือนกันค่ะ เพราะหล่อนเป็นเด็กสาวที่หนูใฝ่ฝันอยากเป็นมาตั้งแต่เด็ก ๆ ชีวิตของหล่อนราวกับเจ้าหญิงอย่างไรอย่างนั้น

 

กู้จื้อชิวที่ได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นอยากจะเป็นเหมือนกับตนเอง หล่อนก็ยืดอกเชิดหน้าขึ้นด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

 

ทางด้านอันหลง หล่อนก็ดีใจที่มีคนมาชมลูกสาวของตัวเองเช่นกัน หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนพูดแบบนั้นออกไปแล้ว เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก นอกจากกล่าวลาพร้อมกับยิ้มและเดินออกจากห้องไป

 

อันหลงเดินกลับเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย พร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง หล่อนพูดออกไปว่า “เด็กคนนี้ไม่เลวเลย แต่ก็น่าเสียดายที่อายุยังน้อยเกินไปหน่อย

 

เมื่อกู้จื้อเฉิงได้ยินคำพูดของแม่ตัวเอง เขาก็ขมวดคิ้วและพูดขึ้นมาว่า : “แม่ แม่อย่าคิดไปถึงขั้นนั้นเลยครับ เพราะมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

 

อันหลงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของลูกชาย แต่ก็อดที่จะพึมพำออกมาไม่ได้ว่า: “หล่อนอายุน้อยเกินไป แต่หล่อนก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แต่ก็น่าเสียดายแทนหล่อนจริง ๆ  ที่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย เห้อ น่าเสียดาย น่าเสียดายจริง ๆ เลย

รีวิวผู้อ่าน