ตอนที่ 25 เตรียมของขวัญ
“เสี่ยวจวินไปโรงเรียนหรือคะ ? ” เมื่อจางฉุ้ยเหลียนไม่เห็นว่าจางฉุ้ยจวินอยู่ในบ้าน เธอจึงถามเช่าหวาออกไปด้วยความสงสัย เธอคิดว่าช่วงนี้จางฉุ้ยจวินคงจะทำตัวสงบเสงี่ยม และคงจะไม่ออกไปก่อเรื่องข้างนอกอีกพักใหญ่
“ไปโรงเรียน!แล้วแกกลับมาทำไม ? ” เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนกลับมาที่บ้าน เช่าหวาจึงลุกขึ้นมานั่งบนเตียงจากนั้นจึงถามออกไปด้วยความสงสัย
“อ่อ หนูกลับมาเอาเสื้อผ้าน่ะ” ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะเดินเข้าห้อง เธอก็ได้ยินเสียงของเช่าหวาดังลอยตามหลังเธอมาว่า “ไหน ๆ วันนี้แกก็กลับบ้าน แกก็ทำกับข้าวด้วยแล้วกันนะ ฉันเหนื่อย ไม่มีแรงทำกับข้าวหรอก!”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า : “ค่ะ เดี๋ยวหนูทำกับข้าวให้!”
เมื่อพูดจบจางฉุ้ยเหลียนก็เดินตรงไปที่ห้องครัวทันที เธอเดินไปหยิบหม้อออกมาหุงข้าวก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เดินกลับเข้าไปในบ้านและถามเช่าหวาออกไปว่า : “แม่ แม่อยากกินอะไร ? ”
เช่าหวาโบกมือไปมาอย่างไม่ใส่ใจมากนัก “แล้วแต่ แกอยากทำอะไรก็ทำเถอะ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า จากนั้นจึงเดินออกไปเก็บแตงกวา แครอท พริกหยวก แล้วก็ขึ้นฉ่ายจากในสวน
จางฉุ้ยเหลียนถือโอกาสในช่วงที่ข้าวยังไม่สุก ออกไปเอาต้นอ้อต้นเล็ก ๆ มาประมาณ 10 ต้น และด้ายสีขาวจากห้องของตัวเอง เพื่อเอามาสานเสื่อม้วนข้าวปั้น ด้วยความที่เธอเคยไปทำงานสานเสื่อและผ้าม่านที่บ้านของคุณน้าเฉิน เธอจึงสานเสื่อม้วนข้าวปั้นนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว
จางฉุ้ยเหลียนคิดไปคิดมา สิ่งที่จะทำให้แม่ของกู้จื้อเฉิงประทับในตัวของเธอได้ก็คือ ฝีมือการทำอาหารของเธอ
จางฉุ้ยเหลียนจึงคิดว่าเธอจะทำอาหารอะไรไปให้กู้จื้อเฉิงดี เพราะพวกเนื้อปลาหรือเนื้อสัตว์ที่บ้านตระกูลกู้ก็ได้กินกันเป็นประจำอยู่แล้ว และการที่จะทำอาหารก็ต้องใช้วัตถุดิบที่สด มันถึงจะทำให้รสชาติของอาหารออกมาดี ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะทำข้าวปั้นญี่ปุ่นและไข่ม้วน เพราะมันเป็นอาหารที่ทำง่ายที่สุด อีกทั้งยังประหยัดมากอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ในบ้านของเธอไม่มีสาหร่ายแห้งเลย และวัตถุดิบในการทำไข่ม้วนก็มีเพียงแค่ไข่เป็ดเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรเธอก็จะทำเท่าที่เธอสามารถทำได้
หม้อหนึ่งจางฉุ้ยเหลียนใช้หุงข้าว ส่วนอีกหม้อหนึ่งเธอใช้ตุ๋นถั่วฝักยาว จางฉุ้ยเหลียนถือโอกาสในช่วงที่กำลังรอข้าวและถั่วฝักยาวสุกนี้ เดินไปเอาแตงกวา แครอท พริกหยวก และขึ้นฉ่ายมาหั่นเป็นเส้น ๆ และนำลงไปผัดในกระทะเพื่อทำเป็นไส้ข้าวปั้น
เมื่อข้าวสุก เธอก็นำข้าวที่ยังร้อน ๆ ออกมาวางพักไว้เพื่อให้มันเย็นตัวลง ตอนนี้ที่บ้านของเธอไม่มีซอสเผ็ด และถ้าจะทำตอนนี้ก็คงไม่ทัน จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่สักพัก สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจว่าเธอจะทำซอสถั่วหวานแทน
ซอสถั่วหวานนั้นทำง่ายมาก เพียงแค่ใส่น้ำ แป้งสาลี น้ำตาลและซอสถั่วเหลืองลงไปในหม้อ จากนั้นก็คนให้เข้ากัน เมื่อคนจนเป็นเนื้อเดียวกันแล้ว ก็เทลงไปในกระทะ ใช้ทัพพีคนอย่างต่อเนื่อง จนได้เป็นซอสข้นเหนียวสีดำก็เป็นอันเสร็จ
ที่จางฉุ้ยเหลียนเลือกทำไข่ม้วน ก็เพราะเธอรู้ว่าที่บ้านของเธอมีไข่เป็ดเยอะ ถึงแม้ว่าจะไม่มีเงินซื้อเนื้อ แต่ก็ยังกินไข่เป็ดประทังชีวิตได้
จางฉุ้ยเหลียนตอกไข่เป็ดประมาณ 7 - 8 ฟองลงไปในถ้วย จากนั้นก็ใส่เครื่องปรุงตามลงไป เมื่อเห็นว่าสีสันมันไม่น่ารับประทาน เธอจึงใส่ต้นหอมซอยลงไปเพื่อเป็นการเพิ่มสีสัน เมื่อเตรียมทุกอย่างเสร็จแล้ว เธอก็ทำการจุดไฟและตั้งกระทะ เธอทาน้ำมันบาง ๆ จนทั่วกระทะ จากนั้นจึงใช้ทัพพีตักไข่ใส่ลงไปจนเต็ม เมื่อไข่เริ่มแข็งตัว เธอก็ใช้ส้อมม้วนไข่ หลังจากที่ม้วนไข่ได้ 1 รอบ เธอก็เริ่มเทไข่ส่วนที่สองลงไป จากนั้นเธอก็ม้วนไข่และทำแบบเดิมซ้ำ ๆ จนได้ความหนาที่ต้องการ จากนั้นก็ตักมันขึ้นมาวางพักไว้บนเขียง เมื่อมันคลายความร้อนแล้วก็ใช้มีดหั่นเป็นชิ้น ๆ พอดีคำ จากนั้นจึงนำมันมาเรียงใส่จานจนเต็มก็เป็นอันเสร็จ
เมื่อทำไข่ม้วนเสร็จ จางฉุ้ยเหลียนก็ทำข้าวปั้นญี่ปุ่นต่อ เธอตักข้าวที่คลายความร้อนแล้ว มาวางลงบนเสื่อม้วนข้าวที่เธอสานเองเมื่อสักครู่นี้ เธอใช้หลังทัพพีแผ่ข้าวออกเป็นแผ่นบาง ๆ ทั่วเสื่อม้วน จากนั้นจึงทาซอสหวานจนทั่ว และนำแครอท แตงกวา ขึ้นฉ่าย ที่เธอผัดก่อนหน้านี้มาวางเรียงลงไป แล้วจากนั้นจึงเริ่มม้วน
จางฉุ้ยเหลียนนำข้าวปั้นและไข่ม้วนที่ทำเสร็จแล้วจัดใส่กล่อง และเดินถือมันไปเก็บไว้ในห้องของตัวเอง จากนั้นก็นำตุ๋นถั่วฝักยาว ข้าวปั้น ไข่ม้วนยกไปเสิร์ฟ
เมื่อเช่าหวาเห็นฝีมือการทำอาหารของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็อดที่จะรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ หล่อนกินพร้อมกับพูดชื่นชมจางฉุ้ยเหลียนว่า “รู้อย่างนี้ฉันส่งแกไปเป็นแม่ครัวดีกว่า แกมีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารนะ”
จางกว่างฝูก็กล่าวชื่นชมข้าวปั้นของจางฉุ้ยเหลียนอย่างไม่ขาดปาก จางฉุ้ยเหลียนทำอาหารเก่งมากจริง ๆ เขาปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอาหารที่อยู่บนโต๊ะนั้นอร่อยทุกอย่าง แต่สองสามีภรรยาก็เพิ่งจะมาเห็นความสำคัญของจางฉุ้ยเหลียน ก็ตอนที่เธอไม่อยู่ทำอาหารให้กินแล้ว
“จริงสิ แม่!เมื่อกี้หนูเห็นแตงกวา หัวไชเท้า แล้วก็แครอทในสวนเยอะเลย เรากินกันไม่หมดหรอก เราเอาไปตากไว้ทำเป็นผักดองกันดีไหม ฤดูหนาวเราจะได้ไม่ต้องซื้อผักดองไง!” ขณะที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังพูด เธอก็หันไปเห็นเสื้อผ้าที่ยังไม่ได้ซักวางอยู่บนเตียง เธอจึงหันไปมองนาฬิกาที่ติดอยู่บนผนัง ตอนนี้ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ก่อนที่เธอจะต้องกลับไปที่วิทยาลัย ถ้าเธอกลับไปตอนนี้ เธอก็คงจะไม่ได้พัก เพราะตอนนี้เป็นวิชาพละ งั้นเธอก็ยังไม่กลับดีกว่า
ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนอิ่มแล้ว เพราะตอนที่เธอทำอาหารเธอก็กินไปด้วยทำไปด้วย เธอจึงเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่ไม่ได้ซักบนเตียง จากนั้นก็เดินออกไปยังลานบ้าน เธอเติมน้ำใส่ถัง นั่งยอง ๆ และเริ่มซักเสื้อผ้าเหล่านั้นทันที
“ไอ้หยา วันนี้ช่างเป็นวันที่ดีจริง ๆ” เช่าหวาพูดออกมาอย่างสบายอารมณ์ หล่อนกินข้าวอย่างสบายใจพร้อมกับดูโทรทัศน์อยู่ในบ้าน ทางด้านลูกสาวก็กำลังนั่งยอง ๆ ซักผ้าอยู่ที่ลานบ้าน เหมือนกับเมื่อก่อนตอนที่จางฉุ้ยเหลียนอยู่บ้านอย่างไรอย่างนั้น
จางฉุ้ยเหลียนทำงานบ้านอย่างคล่องแคล่วว่องไว ตอนนี้ที่สองสามีภรรยาเพิ่งจะกินข้าวเสร็จ จางฉุ้ยเหลียนก็เอาเสื้อผ้าไปตากไว้ที่ราวแล้วเรียบร้อย
ตอนที่จางฉุ้ยเหลียนเอาผ้าออกไปตาก เธอก็หันไปเห็นพริกสองสามพวงที่แขวนอยู่ใต้ชายคา เมื่อเธอเห็นพริกเหล่านั้นเธอก็คิดอะไรดี ๆ ขึ้นมาได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอก็เดินกลับเข้าไปหาเช่าหวาในบ้าน
“แม่!บ้านเรามีถั่วเหลืองไหม ? ” เมื่อเช่าหวาได้ยินก็พยักหน้า “มี แกจะเอาไปทำอะไร ? ”
“หนูจะเอามาทำซอสพริก แม่อยากกินไหม ? ” จางฉุ้ยเหลียนพูดไปพลางเก็บจานข้าวไปพลาง เช่าหวาตบไปบนท้องของตัวเอง พร้อมกับพยักหน้าแล้วพูดว่า “แกทำไว้ก็ดีนะ แต่ว่าซอสพริกเขาใช้ถั่วเหลืองทำด้วยหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าตอบรับ จากนั้นเธอก็เดินเข้าไปหาถั่วเหลืองในห้องครัว เธอนำถั่วเหลืองพวกนั้นมาต้ม พอต้มจนสุกได้ที่แล้ว เธอก็จัดการแยกน้ำกับถั่วเหลือง
เธอพูดอธิบายให้กับเช่าหวาฟังว่า “เอาถั่วเหลืองที่ต้มแล้วไปแช่น้ำไว้ 3 วัน ส่วนน้ำที่เราได้จากการต้มถั่วเหลืองหนูก็จะเก็บไว้ในตู้กับข้าว ห้ามใครเอาออกไปใช้เด็ดขาด ครั้งหน้าหนูจะกลับมาทำซอสพริกให้”
เช่าหวาพยักหน้าเป็นการตอบรับ พร้อมกับถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปด้วยความสงสัย: “ใครเป็นคนสอนแกเนี่ย ? ”
จางฉุ้ยเหลียนจึงตอบกลับไปเบา ๆ ว่า “เพื่อนร่วมห้องเป็นคนสอนน่ะ บ้านของหล่อนเปิดโรงงานซอสพริก แม่ห้ามเอาเรื่องนี้ไปบอกใครนะ ไม่งั้นหล่อนมาปรับเงินหนูแน่ ที่เอาสูตรมาบอกคนอื่น!”
เช่าหวาถูกลูกสาวหลอกเข้าเต็มเปา เมื่อได้ยินว่าจะโดนปรับเงิน หล่อนก็ไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปบอกใครอย่างแน่นอน
“แม่!หนูต้องไปแล้ว คงจะไม่ทันเสี่ยวจวินกลับมาแล้วล่ะ !” หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนทำความสะอาดบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็หันดูนาฬิกาที่ผนังแวบหนึ่ง ก่อนจะสะพายกระเป๋าเป้ของตัวเองและเตรียมพร้อมที่จะเดินออกไป
“อือ แกวางใจเถอะ ตอนนี้เสี่ยวจวินมันเชื่อฟังมากขึ้นแล้วล่ะ!” เช่าหวายิ้มและพูดแบบออกไปแบบขอไปที ส่วนคำพูดของหล่อนจะเป็นความจริงหรือเสแสร้ง ในใจของจางฉุ้ยเหลียนก็รู้ดีอยู่แล้ว
“แม่!หนูได้ยินว่ามีโรงเรียนการรถไฟอยู่ที่หนึ่ง หลังจากที่ไปเรียนที่นั่นแล้ว มันจะทำให้รู้เส้นทางอนาคตของตัวเองมากขึ้น ถ้าเสี่ยวจวินไม่ชอบเรียนหนังสือ แม่ก็ส่งเขาไปเรียนที่โรงเรียนนั่นก็ได้นะ! ” เมื่อคิดไปถึงน้องชาย จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกปวดใจ เธอทำเป็นใจแข็งไม่ได้จริง ๆ จากนั้นจึงพูดแนะนำเรื่องโรงเรียนให้แม่ของเธอฟัง
เช่าหวาพยักหน้าแบบขอไปที “พอแล้ว ๆ ฉันรู้แล้วน่า เรื่องน้องชายแก แกไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อีกอย่างเสี่ยวจวินก็เอาแต่ผลาญเงิน คงคิดว่าพ่อกับแม่ของมันเป็นเศรษฐี แค่ค่าเทอมของแก ฉันกับพ่อแกยังไม่มีปัญญาจ่ายเลย แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนไปส่งเสี่ยวจวินเรียนล่ะ!”
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา และอดที่จะพูดเตือนออกไปไม่ได้ว่า “ค่าเทอมมันจะสักเท่าไหร่กัน !หลังจากที่ผ่านฤดูเก็บเกี่ยวผลผลิตในช่วงฤดูใบไม้ผลินี้ไปแล้ว ถ้าพ่อกับแม่ออกไปขายซาลาเปา หรือไม่ก็รับจ้างปะติดกล่องกระดาษ พ่อกับแม่ก็ทำเงินได้เยอะแล้ว!”
จางกว่างฝูพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ไอ้หยา ถ้ามันทำเงินได้เยอะจริง ๆ พวกเราก็คงทำไปแล้ว จะให้แกมาช่วยคิดทำไม แกคิดว่าแกเก่งมากนักสิ! อีกอย่างขายซาลาเปาลำบากจะตาย แล้วยังทำเงินได้น้อยอีก!”
จางฉุ้ยเหลียนหมดคำพูดกับพ่อแม่ในทันที เธอพูดขึ้นมาอย่างโมโหว่า : “ไม่ทำก็ไม่ทำค่ะ!เพราะหนูก็ไม่ได้ใช้เงินของพ่อกับแม่อยู่แล้ว พ่อกับแม่ถ่วงความเจริญของเสี่ยวจวิน ต่อจากนี้ไปก็อย่าเที่ยวไปพูดกับใครต่อใครนะคะว่าเราสองคนไม่ได้เรื่อง และพ่อกับแม่ก็นั่งมองคุณลุงคุณป้ากินข้าวในบ้านใหม่ต่อไปเถอะ อย่ามาโทษเราสองคนพี่น้องแล้วกัน”
เช่าหวาที่ได้ฟังคำพูดกระแทกกระทั้นของจางฉุ้ยเหลียน ก็รู้สึกอยากจะยกมือขึ้นมาตบหน้าของเธอให้รู้แล้วรู้รอด แต่จางฉุ้ยเหลียนก็รีบหมุนตัวและวิ่งออกไปเสียก่อน เช่าหวาจึงทำได้เพียงแค่ด่ากราดเสียงดังออกไปด้วยความเกลียดชัง “นังเด็กสารเลว คิดว่าตัวเองปีกกล้าขาแข็งมากนักรึไง”
จางฉุ้ยเหลียนกลับมาที่วิทยาลัยด้วยอารมณ์ที่คุกกรุ่น เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องพัก เธอก็เห็นหลี่ม่านนั่งรอเธออยู่ ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะได้พูดทักทายอะไรออกไป หลี่ม่านก็รีบเดินมาลากแขนของเธอให้ออกไปนอกห้องทันที
“มีเรื่องอะไรหรือ ? ” จางฉุยเหลียนถามหลี่ม่านออกไปด้วยความสงสัย
เมื่อทั้งสองคนเดินมาถึงประตูหน้าวิทยาลัย หลี่ม่านก็มองซ้ายมองขวา เมื่อเห็นว่าตรงนี้ปลอดภัยแล้ว หล่อนก็พูดกับจางฉุ้ยเหลียนออกไปเสียงเบาว่า “เธอรู้รึเปล่าว่าติงหลงหลงมีคนรักแล้ว!”
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา จากนั้นก็ยักไหล่อย่างไม่แยแส : “ติงหลงหลงมีคนรักแล้วไง มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย!”
หลี่ม่านพูดขึ้นด้วยสีหน้าหวาดกลัว : “เธอไม่รู้กฎของวิทยาลัยอย่างนั้นหรือ ? นักศึกษาไม่สามารถมีแฟนหรือแต่งงานได้ ถ้าวิทยาลัยจับได้ก็จะถูกไล่ออกนะ!”
จางฉุ้ยเหลียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าตกใจ “ใครเป็นคนบอกเธอ ? ”
หลี่ม่านมองมาทางจางฉุ้ยเหลียน และพูดออกไปว่า “มันก็มีกฎแบบนี้อยู่แล้ว เธอไม่รู้หรือ!”
จางฉุ้ยเหลียนอยากจะพูดออกไปมากว่า เธอจะไปรู้กฎนั่นได้ยังไงล่ะ ตอนที่ลูกสาวของเธอเรียนมหาวิทยาลัย ก็ไม่ใครสนใจว่านักศึกษาจะมีคนรักหรือว่าแต่งงานแล้วรึเปล่า แค่นักศึกษาคนนั้นบรรลุนิติภาวะก็เพียงพอแล้ว
“เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ใครเป็นคนบอกเธอ ? ” จางฉุ้ยเหลียนถามหลี่ม่านออกไปด้วยความสงสัย เพราะจากนิสัยของติงหลงหลง หล่อนไม่น่าจะบอกเรื่องส่วนตัวของตัวเองให้ใครรู้
“เฝิงเสี่ยวเจี๋ยเป็นคนบอกน่ะ!” หลี่ม่านตอบออกมาด้วยน้ำเสียงใสซื่อ และพูดต่อไปอีกว่า “หล่อนบอกว่าหล่อนเห็นผู้ชายวัยกลางคน ขับรถจี๊ปมารับติงหลงหลงที่หน้าวิทยาลัย”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา : “เฝิงเสี่ยวเจี๋ยอย่างนั้นหรือ ? เรื่องทุกอย่างที่ออกมาจากปากหล่อนไม่มีอะไรจริงทั้งนั้นแหละ!”
หลี่ม่านเลิกคิ้วขึ้นสูง : “อ่า? ไม่ใช่เรื่องจริงอย่างนั้นหรือ!”
จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดออกไปว่า : “ไม่เชื่อเธอก็คอยดู!เฝิงเสี่ยวเจี๋ยเป็นคนเห็นเหตุการณ์ด้วยตัวเองจริง ๆ รึเปล่าก็ไม่รู้? ถ้าผู้ชายคนนั้นเป็นพี่ชายของติงหลงหลงล่ะ ? พอความจริงเปิดเผยออกมาผู้ชายคนนั้นไม่ได้เป็นคนรักของติงหลงหลง ข่าวก็คงจะแพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งวิทยาลัยแล้ว ฉันไม่เชื่อหรอกนะว่าสิ่งที่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยพูดมามันจะเป็นความจริง ! ”
เมื่อหลี่ม่านได้ยินดังนั้น หล่อนก็รู้สึกตกใจขึ้นมาทันใด หล่อนจึงพูดออกไปว่า : “ใช่ ! เฝิงเสี่ยวเจี๋ยเป็นคนปากไม่มีหูรูด ตั้งแต่นี้ต่อไปฉันจะไม่เชื่อคำพูดหล่อนอีกแล้ว!
เมื่อได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ จากหลี่ม่านแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็คิดว่าเฝิงเสี่ยวเจี๋ยเป็นคนปากไม่มีหูรูดจริง ๆ หรือเพราะหล่อนตั้งใจจะปล่อยข่าวกันแน่
ถ้าเป็นอย่างแรกก็ดีไป แต่ถ้าเป็นอย่างหลังล่ะก็ คน ๆ นี้ก็ไม่สมควรคบค้าสมาคมด้วยอย่างเด็ดขาด!