ตอนที่ 24 หางานทำ
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนพูดจบ เธอก็พูดต่อไปว่า “สถานการณ์ตอนนี้ของฉันมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ฉันคิดว่ารอหางานได้ก่อน แล้วฉันค่อยไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษาของฉันอีกที”
ส่วนปัญหาทางบ้านของจางฉุ้ยเหลียน เธอก็ไม่ได้พูดมันออกไป แต่เรื่องราวทั้งหมดมันกลับไม่เป็นอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนคิด แม้ว่าจางฉุ้ยเหลียนจะบอกกับทุกคนว่า รอเธอหางานได้ก่อน แล้วจากนั้นเธอค่อยไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา แต่ก็ยังมีคนวิ่งแจ้นไปฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาของจางฉุ้ยเหลียนว่าเธอจะไม่เข้าเรียนภาคค่ำ และต้องการที่จะออกไปทำงานข้างนอก
ส่วนใครที่เป็นคนเอาเรื่องนี้ไปฟ้อง อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอก็ไม่ได้บอกเธอแต่อย่างใด ตอนที่หล่อนเรียกให้จางฉุ้ยเหลียนไปพบ หล่อนก็พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและไม่พอใจว่า “ได้ยินมาว่าเธอตั้งใจจะปลุกระดมเพื่อน ๆ ในห้องให้พากันโดดเรียนเพื่อออกไปหางานทำข้างนอกอย่างนั้นหรือ ? จางฉุ้ยเหลียน เธอว่าการที่เธอทำแบบนี้มันถูกต้องไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนโกรธมาก อาจารย์ที่ปรึกษาเอาแต่ต่อว่าเธอโดยที่ไม่ได้ถามเหตุผลของเธอแต่อย่างใด อีกทั้งยังกล่าวหาเธอว่าเธอต้องการที่จะปลุกระดมเพื่อน ๆ ในห้องให้โดดเรียนและออกไปหางานทำข้างนอกอีกต่างหาก หล่อนบอกกับจางฉุ้ยเหลียนว่าครั้งนี้ยังเป็นการตักเตือน ถ้าครั้งต่อไปยังเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก หล่อนจะลงโทษจางฉุ้ยเหลียนอย่างหนัก
เธอคิดไม่ถึงว่าในหอพักของเธอจะมีงูพิษอยู่ด้วย เมื่อหล่อนได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนอยากจะออกไปหางานทำข้างนอก หล่อนก็รีบวิ่งแจ้นไปฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาทันที ถ้าเธอรู้ว่าคนที่เป็นคนไปฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอเป็นใคร เธอก็อยากจะถามหล่อนออกไปว่า ‘เธอก็อยากออกไปทำงานข้างเหมือนกันใช่ไหม’ จากนั้นก็ถามต่อไปอีกว่า ‘เธอไม่เคยมองคนอื่นในแง่ดีบ้างเลยหรือ เธอถึงได้วิ่งแจ้นไปฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาแบบนี้’
“จางฉุ้ยเหลียน คืนนี้เธอจะไปโรงพยาบาลกับฉันไหม ? ” ในเวลานี้ทุกคนต่างก็พักผ่อนกันอยู่ในห้องพักของตัวเอง เมื่อหลี่ม่านเห็นจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามา หล่อนก็รีบเดินเข้าไปถามด้วยความกระตือรือร้นทันที
“อาจารย์ที่ปรึกษาเรียกเธอไปทำไมหรือ ? ” ติงหลงหลงถามขึ้นด้วยความอยากรู้
“เหอะ! จะเรื่องอะไรล่ะ ก็เรื่องที่ฉันพูดว่าฉันจะออกไปหางานทำข้างนอกน่ะสิ ! ” จางฉุ้ยเหลียนเดินไปนั่งที่เตียงของตัวเองและพูดออกมาด้วยความโกรธ เมื่อพูดจบเธอก็กวาดสายตามองไปทั่วทั้งห้อง
“อ้อ แล้วเป็นไงบ้าง ? อาจารย์ที่ปรึกษาเขาอนุญาตให้เธอออกไปทำงานข้างนอกไหม ? ” เมื่อติงหลงหลงได้ยินดังนั้น หล่อนก็ลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันที และถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมาด้วยความลำบากใจ : “อนุญาตอะไรกันล่ะ !เมื่อวานที่ฉันบอกกับทุกคนว่าฉันอยากจะออกไปหางานทำข้างนอก จู่ ๆ วันนี้ก็มีคนคาบข่าวไปฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษา วันนี้อาจารย์ที่ปรึกษาเลยเรียกฉันไปพบ พอฉันเดินเข้าไปหล่อนก็ต่อว่าฉันว่าเป็นคนปลุกระดมเพื่อน ๆ ให้ออกไปหางานทำข้างนอก อีกทั้งยังต้องการโดดเรียนภาคค่ำ แล้วหล่อนยังบอกอีกว่าถ้าฉันไม่มีเงินก็ไม่ต้องเรียน!”
ยิ่งจางฉุ้ยเหลียนพูดถึงเรื่องที่อาจารย์ที่ปรึกษาต่อว่าเธอ เธอก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก จากนั้นเธอมองไปรอบ ๆ ห้องเพื่อจับสังเกตอาการของเพื่อนในห้อง ติงหลงหลงจึงถามขึ้นมาว่า “มีคนเอาเรื่องนี้ไปฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาของเธออย่างนั้นหรือ ? ”
หลี่เหยา เด็กสาวที่อยู่เตียงชั้นบนก็ลุกขึ้นมานั่งทันที แล้วพูดออกมาเบา ๆ ว่า : “อาจจะไม่ใช่คนในห้องเราก็ได้นะ ! ”
ติงหลงหลงจึงพูดขึ้นมาด้วยความโกรธว่า “นอกจากห้องเราแล้ว ยังจะมีใครรู้เรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนจะออกไปทำงานข้างนอกอีกล่ะ ? ”
“ช่างมันเถอะ!ถึงยังไงเรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว ฉันก็อยากจะบอกทุกคนให้ชัดเจนเลยว่าอย่าแทงข้างหลังกันแบบนี้อีก เพราะเรายังต้องอยู่ห้องเดียวกันอีกตั้ง 3 ปี เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ฉันก็จะถือซะว่าคน ๆ นั้นมีเจตนาที่ดีก็แล้วกัน เพราะถึงอย่างไรการที่โดดเรียนภาคค่ำและออกไปทำงานข้างนอกมันก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี แต่ครั้งต่อไปก็อย่ามายุ่งกับเรื่องของคนอื่นอย่างนี้อีก!”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนพูดจบ เธอก็ถอดรองเท้าและขึ้นไปนอนบนเตียงด้วยความโกธรในทันที
เมื่อทุกคนได้ยินสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนพูด ทุกคนต่างก็พากันแยกย้ายกลับไปที่เตียงของตัวเองในทันที บางคนก็บอกกับจางฉุ้ยเหลียนว่าตนไม่ได้เป็นคนไปฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษา บางคนก็พูดแสดงความเห็นอกเห็นใจจางฉุ้ยเหลียน
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยที่ได้ฟังเรื่องราวของจางฉุ้ยเหลียน ความโกธรของหล่อนจึงประทุออกมา หล่อนด่ากราดทุกคนที่อยู่ในห้องด้วยความโกรธในทันที จนทุกคนต่างก็รู้สึกไม่ดี
“หลี่ม่าน บ่ายวันนี้ฉันจะกลับไปที่บ้านหน่อย ตอนที่ฉันกลับมาที่วิทยาลัยแล้ว เราค่อยไปโรงพยาบาลกันนะ ! ” คำถามของหลี่ม่านเมื่อสักครู่นี้ ทำให้จางฉุ้ยเหลียนอยากจะกลับไปที่บ้านเพื่อไปทำอาหารไปเยี่ยมกู้จื้อเฉิง
“เธอจะไม่เข้าเรียนคาบทบทวนบทเรียนด้วยตัวเองช่วงบ่ายนี้อย่างนั้นหรือ ? อาจารย์ที่ปรึกษาอนุญาตให้เธอกลับบ้านรึเปล่า ? ” หลี่เหยาพูดขึ้นมาลอย ๆ ด้วยน้ำเสียงที่แฝงไปด้วยความอิจฉา
“แล้วคนอื่นเขาลากลับบ้านไม่ได้เลยรึไงล่ะ ? หลี่เหยา เธอพูดแบบนี้ หรือว่าเธอเป็นคนไปฟ้องอาจารย์ที่ปรึกษาล่ะ ? ” ดูเหมือนว่าเฝิงเสี่ยวเจี๋ยจะจับพิรุธอะไรบางอย่างได้ หล่อนจึงถามหลี่เหยาออกไปด้วยความอยากรู้ในทันที
“เธออย่ามากล่าวหาฉันนะ ฉันไม่ได้เป็นคนไปฟ้องอาจารย์สักหน่อย!” หลี่เหยาลุกขึ้นมานั่งบนเตียง และเถียงออกไปด้วยความไม่พอใจ
ตอนนี้พวกเธอทั้งสองคนเหมือนกับเปิดศึกชนไก่อย่างไรอย่างนั้น พวกเธอทั้งสองคนมักจะหาเรื่องมาทะเลาะกันอยู่เสมอ และดูเหมือนว่าเฝิงเสี่ยวเจี๋ยจะไม่ชอบหลี่เหยา ส่วนหลี่เหยาก็ชอบหาพรรคหาพวก แต่ทุกคนก็ไม่ได้เข้ามายุ่งกับการทะเลาะกันของพวกเธอทั้งสองคนแต่อย่างใด
จางฉุ้ยเหลียนลุกขึ้นมานั่งบนเตียง และหันไปพูดกับกับเฝิงเสี่ยวเจี๋ยเบา ๆ ว่า “เธออย่าพูดแบบนี้เลยนะ ! เราไม่มีหลักฐาน อย่าไปกล่าวหาคนอื่นแบบนี้ และฉันก็บอกไปแล้วว่าเรื่องมันผ่านไปแล้ว เธอก็อย่าไปรื้อฟื้นมันขึ้นอีกเลย!”
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยหน้าแดงขึ้นมาด้วยความโกธร จากนั้นก็จ้องไปทางจางฉุ้ยเหลียนพร้อมกับหัวเราะด้วยน้ำเสียงเย็นชาออกมา “ก็ได้ ! ฉันมันปากไม่ดีเองแหละ ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ถ้าเธอจะโง่ เธอก็โง่ไปคนเดียวเถอะ ไม่มีใครสนใจเธอหรอก!”
ดูเหมือนเรื่องนี้จะตกมาเป็นความผิดของจางฉุ้ยเหลียนอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้หัวใจของเธอเหนื่อยล้าเหลือเกิน เธอจึงลุกออกมาจากเตียง จากนั้นจึงสวมรองเท้าแตะ แล้วเดินออกจากหอพักไปทันทีโดยไม่พูดไม่จา เธอเดินออกมาจากหอพัก และตรงไปยังห้องของอธิการบดีอย่างคุ้นเคย
เรื่องที่เธอเข้ามาเรียนในวิทยาลัยแห่งนี้และเรื่องครอบครัวของเธอ ท่านอธิการบดีก็ทราบเรื่องทุกอย่างดี การที่เธอจะออกไปทำงานข้างนอก อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอก็ไม่มีอำนาจพอที่จะตัดสินใจ และการที่เธอไม่เข้าเรียนภาคค่ำ มันจะต้องเกิดผลกระทบกับเธอในอนาคตอย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงอยากจะไปพบท่านอธิการบดีเพื่อปรึกษาเรื่องนี้
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเดินมาถึงหน้าห้องของอธิการบดี เธอก็ยื่นมือออกไปเคาะประตู 3 ที
“เข้ามา !” เมื่อได้รับอนุญาต จางฉุ้ยเหลียนจึงผลักประตูเข้าไปในห้องทันที
“จางฉุ้ยเหลียน ? ” เมื่ออธิการบดีเห็นเธอ เขาก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก “มีธุระอะไรอย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าตอบ “หนูมีเรื่องอยากจะปรึกษากับท่านน่ะค่ะ!”
อธิการบดีวางปากกาในมือลง จากนั้นก็ผสานมือเข้าหากัน พร้อมกับพยักหน้าเป็นเชิงอนุญาต : “ว่ามาสิ!”
จางฉุ้ยเหลียนยืนอยู่หน้าโต๊ะของอธิการบดี เธอตั้งใจจะพูดเรื่องที่เธอต้องการจะออกไปทำงานข้างนอกเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอม
“ท่านคงจะทราบฐานะทางบ้านของหนูแล้ว ค่าเทอม รวมทั้งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน หนูต้องเป็นคนหาเอง หนูอยากจะขออนุญาตท่านอธิการบดีออกไปทำงานข้างนอก ตอนช่วงเรียนภาคค่ำน่ะค่ะ”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนพูดในสิ่งที่เธอคิดออกไป ท่านอธิการบดีก็ส่ายหน้าปฏิเสธในทันที “เธอทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะ ! เธอมาเรียนหนังสือ แล้วถ้าออกไปทำงานข้างนอกตอนกลางคืน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ทางวิทยาลัยก็ต้องเป็นฝ่ายรับผิดชอบ เธอต้องมองในมุมของวิทยาลัยด้วย เพราะอย่างนั้นอาจารย์ไม่อนุญาตให้เธอออกไปทำงานข้างนอกเด็ดขาด!”
คำพูดของอธิการบดี ทำให้ความหวังที่จางฉุ้ยเหลียนมีก่อนหน้านี้หายไปทันที อีกทั้งคนในยุคสมัยนี้ก็มองว่าคนที่ทำงานตอนกลางคืนเป็นคนไม่ดี แต่ถ้าเธอไม่ออกไปทำงาน แล้วเธอจะเอาเงินที่ไหนใช้ล่ะ ?
“งั้นเอาอย่างนี้ไหม!” อธิการบดีครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นเขาก็พูดกับจางฉุ้ยเหลียนว่า : “ทางโรงอาหารกำลังขาดคนอยู่พอดี เธอไปทำงานที่โรงอาหารของวิทยาลัยก็ได้ ถึงแม้ว่าเงินค่าจ้างมันจะไม่เยอะ แต่มันก็ยังดีกว่าที่เธอออกไปทำงานข้างนอกนะ”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินดังนั้น ดวงตาของเธอก็เปล่งประกายแวววับขึ้นมาในทันที เธอคิดว่านี่เป็นโอกาสของเธอ และงานที่เธอกำลังจะได้ไปทำมันก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสอะไรมากมาย เธอไม่จำเป็นต้องอยู่ที่โรงอาหารทั้งวัน เธอเพียงแค่ไปทำงานตอนเวลาอาหารเท่านั้น หน้าที่ของเธอก็มีแค่ช่วยเหลือพนักงานที่โรงอาหาร เก็บโต๊ะ เช็ดโต๊ะ และทำความสะอาด
ช่วงนี้ที่โรงอาหารของวิทยาลัยขาดคน เวลาในการทำอาหารก็แทบจะทำไม่ทัน ทางโรงอาหารจึงได้ยื่นเรื่องมาทางท่านอธิการบดี ว่าอยากจะขอคนเพิ่มเพื่อไปช่วยแบ่งเบาภาระตรงนี้ และจางฉุ้ยเหลียนก็มาปรึกษาเรื่องงานของเธอได้จังหวะพอดี อธิการบดีจึงให้จางฉุ้ยเหลียนไปทำงานนี้ เพราะถ้าเธอทำงานในโรงอาหารของวิทยาลัย เธอก็จะได้ไม่ต้องออกไปทำงานข้างนอก อีกทั้งยังเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับนักศึกษาคนอื่นอีกด้วย
“ตกลงตามนี้ พรุ่งนี้เธอก็ไปหาเหล่าหวังที่โรงอาหาร เขาจะเป็นคนบอกเธอเองว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เงินเดือนในแต่ละเดือน เธอก็รับจากทางโรงอาหารได้เลย ! ” ท่านอธิการบดีช่วยจางฉุ้ยเหลียนจัดการกับปัญหาของเธอได้อย่างรวดเร็ว เมื่อจัดการกับปัญหาต่าง ๆ เรียบร้อยแล้ว จางฉุ้ยเหลียนจึงรู้สึกโล่งใจ
เมื่อออกมาจากห้องของท่านอธิการบดีแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็วิ่งไปหาอาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเองในทันที เมื่อมาถึงเธอก็แจ้งเรื่องที่เธอได้เข้าไปทำงานที่โรงอาหารของวิทยาลัยให้อาจารย์ที่ปรึกษาของเธอทราบ เมื่อหล่อนได้ยินว่าจางฉุ้ยเหลียนได้เข้าไปทำงานที่โรงอาหารของวิทยาลัย หล่อนก็หรี่ตาลงเล็กน้อยและถามจางฉุ้ยเหลียนออกไปด้วยความสงสัย “อาจารย์ไม่เห็นด้วยที่เธอจะออกไปทำงานข้างนอก เธอก็เลยไปหาท่านอธิการบดีอย่างนั้นหรือ ? ”
หล่อนคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่ให้เกียรติหล่อนเลยแม้แต่น้อย เธอไม่เคารพการตัดสินใจของหล่อนเลยหรือ ? ถึงได้วิ่งแจ้นไปหาท่านอธิการบดีแบบนี้
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้าทันควัน “ไม่ใช่นะคะ!หนูไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่เคารพการตัดสินใจของอาจารย์เลยนะคะ ที่หนูไปพอกับท่านอธิการบดี ก็เพราะหนูรู้จักกับท่านอธิการบดีเป็นการส่วนตัวอยู่แล้วน่ะค่ะ” จากนั้นเธอก็เล่าเรื่องที่เธอเข้ามาเรียนที่นี่ได้ก็เพราะท่านอธิการบดีรู้ว่าคะแนนสอบของเธอดี แต่เกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้น จึงทำให้เธอไม่สามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ ท่านอธิการบดีจึงให้เธอมาเรียนที่นี่
เมื่ออาจารย์ที่ปรึกษาได้ฟังเรื่องราวต่าง ๆ ของจางฉุ้ยเหลียน สีหน้าของหล่อนก็คลายความกังวลลง “ท่านอธิการบดีเป็นรับเธอให้เข้ามาเรียนที่นี่อย่างนั้นหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าตอบรับ “ใช่ค่ะ ท่านอธิการบดีบอกว่าคะแนนสอบของหนูค่อนข้างสูง แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย ท่านจึงให้หนูมาเรียนที่นี่ อาจารย์คะ อาจารย์ไม่รู้เรื่องนี้หรือคะ ? ”
เมื่อได้ยินคำถามของจางฉุ้นเหลียน สีหน้าของอาจารย์ที่ปรึกษาก็ไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นัก หล่อนหัวเราะออกมาเบา ๆ และพูดออกไปว่า “อื้อ ฉันรู้เรื่องของเธออยู่แล้ว แต่ที่ฉันสงสัยก็คือเธอไปทำงานที่โรงอาหารได้ยังไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เอ่อ ก่อนหน้านี้ท่านอธิการบดีเคยพูดกับหนูว่า ถ้าหนูไม่ชอบสาขาที่หนูเลือกเรียนอยู่ในตอนนี้ ก็ให้มาบอกท่านได้เลย ท่านจะทำเรื่องย้ายให้ แต่หนูคิดว่าสาขานี้เหมาะกับหนู หนูจึงไปพบท่านเพื่อที่จะบอกว่าหนูจะไม่ย้ายสาขา เมื่อพูดคุยเรื่องนี้เสร็จ ท่านก็ถามหนูเรื่องอื่นต่อ พอท่านรู้ว่าหนูอยากจะออกไปหางานทำข้างนอก ท่านก็ให้หนูไปทำงานที่โรงอาหารของวิทยาลัยแทนค่ะ ”
จางฉุ้ยเหลียนนึกไม่ถึงว่าการกลับชาติมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ เธอจะกลายเป็นคนชอบพูดโกหกแบบนี้ แต่ถึงอย่างไรเธอก็ยังชื่นชมทักษะการพูดโกหกของตัวเอง และเธอก็พบว่ามนุษย์คนนั้นมีจุดอ่อน ซึ่งจุดอ่อนของอาจารย์ที่ปรึกษาของเธอก็คือท่านอธิการบดี เมื่อเธอรู้อย่างนี้แล้ว เธอจึงหยิบยกชื่อของอธิการบดีมาพูด แต่ถึงแม้ว่าเธอจะหยิบยกชื่อของท่านอธิการบดีมาพูด แต่เธอก็ไม่ได้พูดให้มันเกินจริงแต่อย่างใด เพราะเธอก็เป็นห่วงถึงผลกระทบในอนาคตของเธอเช่นกัน
เมื่อได้ยินดังนั้นอาจารย์ที่ปรึกษาจึงพยักหน้า แล้วพูดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจว่า “เอาล่ะ อาจารย์เข้าใจแล้ว ในเมื่ออธิการบดีให้โอกาสนี้แก่เธอ เธอก็จงรับมันไว้ และตั้งใจทำงานให้ดี ขยันเรียนให้มาก และอย่าทำให้อาจารย์ต้องเสียหน้าเด็ดขาด เข้าใจไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะ อาจารย์คะ หนูเรื่องอยากจะพูดกับอาจารย์อีกเรื่องหนึ่งน่ะค่ะ หนูอยากจะขอลากลับบ้านช่วงบ่ายนี้ได้ไหมคะ ? เพราะช่วงบ่ายหนูไม่มีเรียน และอาทิตย์หน้าหนูก็ต้องเริ่มงานที่โรงอาหารแล้ว วันหยุดหนูคงไม่ได้กลับบ้าน หนูอยากจะถือโอกาสนี้กลับบ้านไปเอาเสื้อผ้า แล้วก็บอกเรื่องที่หนูได้ทำงานที่โรงอาหารให้พ่อกับแม่ของหนูรู้ด้วยน่ะค่ะ!”
เมื่อพูดขออนุญาตอาจารย์ที่ปรึกษาไปแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ได้แต่ยืนรอคำอนุญาตจากอาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเองโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
จนเวลาล่วงเลยผ่านไป อาจารย์ที่ปรึกษาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เธอบอกว่าจะกลับบ้านไม่ใช่หรือ จะมัวมายืนอยู่ตรงนี้ทำไมอีกล่ะ ทำไมยังไม่ไปอีก!”
จางฉุ้ยเหลียนรีบรับคำในทันที “ค่ะ ค่ะ ค่ะ ” เมื่อพูดจบ เธอก็หมุนตัวเดินออกไปจากห้องนี้ทันทีอย่างรวดเร็ว
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าอาจารย์ที่ปรึกษาไม่ชอบหน้าเธอ หรือมันเป็นเพราะการที่เธอไม่เคารพการตัดสินใจของหล่อนโดยการไปพบกับท่านอธิการบดีกันนะ
จางฉุ้ยเหลียนขึ้นรถประจำทางที่หน้าวิทยาลัย เพื่อกลับมาที่บ้านของตัวเองในช่วงบ่าย เมื่อลงจากรถแล้ว เธอก็ไม่เห็นพ่อแม่ของเธอออกมาขายซาลาเปาที่ริมถนนเลยแม้แต่เงา เธอคิดในใจว่าทำไมพ่อกับแม่ของเธอถึงได้ขี้เกียจสันหลังยาวแบบนี้กันนะ ?
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในลานบ้านของตัวเอง เธอก็เห็นลานบ้านที่เต็มไปด้วยขี้เป็ด เมื่อเห็นดังนั้นเธอก็ขมวดคิ้วและเดินตรงเข้าไปในบ้าน
“พ่อ แม่ หนูกลับมาแล้ว!” จางฉุ้ยเหลียนกล่าวทักทายสองสามีภรรยาที่กำลังนั่งสูบบุหรี่กันอยู่บนเตียง
“ไอ้หยา แกกลับมาได้ยังไง ? ” เช่าหวาตกใจไม่น้อยที่เห็นจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาในบ้าน
“พ่อกับแม่ไม่ออกไปขายซาลาเปาหรือ ? ” จางฉุ้ยหลียนถามออกไปด้วยความสงสัย
“ไอ้หยา ตอนนี้ก็ฤดูกาลเก็บเกี่ยวแล้ว ฉันกับพ่อแกจะเอาเวลาที่ไหนออกไปขายซาลาเปากัน ! ” เช่าหวาเบะปากเล็กน้อย “ตอนนี้รถก็วิ่งน้อยลง วันหนึ่งก็ขายซาลาเปาได้ไม่กี่ลูก!”
เป็นอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนคิดไว้จริง ๆ พ่อแม่ของเธอไม่มีทางที่จะเปลี่ยนนิสัยของตัวเองได้หรอก!