ตอนที่ 23 ลาก่อนกู้จื้อเฉิง
จางฉุ้ยเหลียนเดินจากไปช้า ๆ อย่างเหม่อลอยด้วยความรู้สึกผิดหวัง แต่เพราะความที่เธอเดินก้มหน้าและใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นั่นจึงทำให้เธอเดินไปชนกับผู้หญิงคนหนึ่งเข้า เมื่อโดนชนผู้หญิงคนนั้นก็อุทานออกมาว่า “ไอ้หยา ! ”
จางฉุ้ยเหลียนถอยหลังไปสองสามก้าวทันทีด้วยความตกใจ พร้อมทั้งกล่าวขอโทษผู้หญิงคนนั้น “หนูขอโทษนะคะ หนูไม่ได้ตั้งใจ ! ”
“เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ ! โชคดีนะที่ฉันไม่ใช่คนป่วย ถ้าเธอเดินไปชนคนป่วยจะทำอย่างไร ถ้าเป็นคนป่วยตอนนี้คงล้มหัวฟาดพื้นไปแล้ว ! ” เสียงด่าที่คุ้นหูดังลอยเขามาในโสตประสาทของจางฉุ้ยเหลียน เธอจึงเงยหน้าขึ้นไปมองทันที
ผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอตอนนี้คือแม่สามีเมื่อชาติที่แล้วของเธอไม่ใช่หรือ ? เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าของเธอคืออันหลงแม่สามีเมื่อชาติที่แล้วของเธอ เธอก็คิดในใจว่าอังหลงตอนนี้กับอันหลงในอีก 20 ปีข้างหน้าก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันมากนัก แตกต่างเพียงแค่ใบหน้าของหล่อนในตอนนี้ที่ยังคงขาวอมชมพูและแก้มที่แดงเลือดฝาด อีกทั้งยังมีเสียงที่ก้องกังวาน
“มองอะไร ? นี่เธอโง่รึเปล่าเนี่ย ? ” อันหลงกลอกตาไปมาเมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาตอบสนองของจางฉุ้ยเหลียน เมื่อพูดจบหล่อนก็เตรียมตัวจะเดินออกไป
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกประหลาดใจและตกใจกับการปรากฏตัวของอันหลงเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเธอจะตกใจมากแค่ไหน แต่เธอก็ยังคงตีหน้านิ่งต่อไป เมื่อเห็นว่าอันหลงทำท่าจะเดินออกไป เธอจึงรีบรุดหน้าขึ้นมา พร้อมกับคลี่ยิ้มและพูดออกไปว่า “คุณป้าคะ หนูต้องขอโทษด้วยจริง ๆ นะคะ หนูเดินก้มหน้าก็เลยไม่ทันได้สังเกตคุณป้าน่ะค่ะ คุณป้าไม่เจ็บตรงไหนใช่ไหมคะ ! ”
อันหลงมองพิจารณาเด็กสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าของตนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างละเอียด ดูแล้วเด็กคนนี้น่าจะอายุราว ๆ 17 ถึง 18 ปีเห็นจะได้ หน้าตาน่ารักไร้เดียงสานั่นมองมาทางหล่อนด้วยความระมัดระวัง ทำให้ความโกธรของหล่อนที่มีก่อนหน้านี้หายไปในทันที
หล่อนจึงคลี่ยิ้มและพูดออกไปว่า “ไม่เป็นไรหรอกหนู”
เมื่อพูดจบหล่อนก็มองพิจารณาเด็กสาวคนนี้อีกครั้ง แล้วถามขึ้นว่า “เธอก็มาเยี่ยมคนป่วยเหมือนกันหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าจะพูดยังไง เธอจึงได้โพล่งออกไปว่า “อ้อ ใช่ค่ะ คุณปู่ของเพื่อนร่วมชั้นของหนูป่วย หนูก็เลยมาเยี่ยมท่าน แต่ตอนนี้ยังหาห้องพักผู้ป่วยของคุณปู่ไม่เจอน่ะค่ะ!”
อันหลงอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็คลี่ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ดูไม่ออกเลยนะเนี่ยว่าเธอจะมีน้ำใจมากขนาดนี้ แล้วคุณปู่ของเพื่อนร่วมชั้นของเธอชื่อว่าอะไรล่ะ แล้วเขาป่วยเป็นอะไร ? ”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินคำถามนี้ หล่อนก็ส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมทั้งกล่าวออกไปว่า “หนูตั้งใจว่าจะเดินตามหาไปทีละห้อง ๆ น่ะค่ะ ยังไงก็ต้องเจอแน่นอน ! ”
เมื่ออันหลงได้ยินเช่นนั้น หล่อนก็คลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ห้องพักผู้ป่วยเยอะขนาดนี้ เธอคงใช้เวลาหานานแย่เลย ! ”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมา เมื่อเธอเห็นว่าอันหลงกำลังถือถุงหนัก ๆ อยู่ในมือ เธอจึงรุดหน้าขึ้นมาแล้วถามหล่อนออกไปว่า “คุณป้าคะ ให้หนูช่วยถือนะคะ ? แล้วคุณป้าก็ช่วยแนะนำตึกผู้ป่วยนี้ให้หนู”
เธอและอันหลงเป็นลูกสะใภ้และแม่สามีกันมาตั้งนานหลายปี นิสัยของอันหลงเป็นอย่างไรเธอนั้นย่อมรู้ดี เดิมทีแล้วอันหลงมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี อีกทั้งครอบครัวของหล่อนยังอาศัยอยู่ในเมือง แต่ต่อมาเพราะปัญหากิจการของครอบครัว ฐานะของหล่อนจึงตกต่ำลง แต่ก็ถือว่าหล่อนยังโชคดีที่ได้แต่งงานกับกู้เต๋อไห่พ่อของกู้จื้อเฉิง กู้เต๋อไห่มาจากครอบครัวชาวนาธรรมดา ๆ และมีฐานะปานกลาง แต่เขาก็ทำงานเป็นทหาร ฐานะจึงถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
กู้เต๋อไห่นั้นรักหล่อนมาก แต่เพราะเติบโตมาในสภาพแวดล้อมทางครอบครัวที่แตกต่างกัน จึงทำให้ความสัมพันธ์ของกู้เต๋อไห่และอันหลงนั้นไม่เป็นไปตามที่ทั้งสองคนวาดฝันไว้ เพราะอันหลงมาจากครอบครัวที่มีฐานะดี หล่อนจึงอยากได้สิ่งของมากมายเพื่อมาเติมเต็มความพอใจของตัวเอง แต่เพราะฐานะในตอนนี้มันจึงทำให้หล่อนไม่สามารถซื้อของเหล่านั้นได้ นั่นจึงทำให้อันหลงเกิดความรู้สึกไม่พอใจมาโดยตลอด และต่อมายังมีเรื่องเปลี่ยนงานของกู้จื้อเฉิง รวมทั้งปัญหาครอบครัวของจางฉุ้ยเหลียนอีก หล่อนจึงยิ่งรู้สึกไม่พอใจมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นจึงทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่สามีกับลูกสะใภ้เริ่มย่ำแย่ลงไปเรื่อย ๆ เมื่อเกิดปัญหามากมายเหล่านี้ขึ้นมา กู้เต๋อไห่จึงรู้สึกเสียใจและล้มป่วยเสียชีวิต มันจึงส่งผลให้อันหลงยิ่งเกลียดเธอมากขึ้นไปอีก
แต่ในตอนนี้อันหลงก็ยังไม่ได้เจอกับสถานการณ์ที่สามีของตัวเองต้องล้มป่วยและเสียชีวิต รวมทั้งเรื่องการหย่าร้างของลูกชาย นั่นจึงทำให้หล่อนไม่มีมีอคติต่อจางฉุ้ยเหลียน เมื่อได้ยินจางฉุ้ยเหลียนบอกว่าจะช่วย หล่อนจึงยื่นของที่อยู่ในมือให้กับจางฉุ้ยเหลียนไปถือในทันที
หล่อนเดินพร้อมกับชื่อนชมจางฉุ้ยเหลียนว่า “เธอนี่ใจดีจังเลย!”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย เธอคิดในใจว่าถ้าไม่ใช่เพราะเธออยากเจอกู้จื้อเฉิง เธอก็คงไม่มาเสแสร้งแกล้งทำอยู่แบบนี้หรอก แต่เธอก็ไม่สามารถพูดความในใจของเธอออกไปได้ เธอจึงทำได้เพียงแค่ปั้นหน้ายิ้มให้กับอันหลงเพียงเท่านั้น
เมื่อเดินมาถึงหน้าห้องพักผู้ป่วยห้องหนึ่งที่อยู่ติดกับสวนดอกไม้ อันหลงก็ผลักประตูเข้าไปพร้อมกับพูดกับจางฉุ้ยเหลียนอย่างยิ้ม ๆ ว่า “ลูกชายของฉันก็มารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้ด้วยเหมือนกัน เข้ามาก่อนสิแม่หนู มานั่งดื่มชากันก่อน”
จางฉุ้ยเหลียนยืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับโบกมือไปมาเพื่อเป็นการปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอกค่ะคุณป้า หนูยังต้องไปเยี่ยมคุณปู่ของเพื่อนร่วมชั้นของหนูอีก”
เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนปฏิเสธคำเชิญชวนของตัวเอง อันหลงจึงเดินเข้าไปดึงแขนของจางฉุ้ยเหลียนให้เดินตามเข้ามาในห้อง จากนั้นก็แย่งของในมือของจางฉุ้ยเหลียนเอาไปวางไว้บนโต๊ะ ก่อนจะหันหน้าไปพูดกับจางฉุ้ยเหลียนว่า “เธอยังเด็ก ไม่เข้าใจอะไรหรอก ! ”
เมื่อพูดจบหล่อนก็หันหน้ากลับไปพูดกับกู้จื้อเฉิงที่กำลังแสดงสีหน้าประหลาดใจอยู่ในขณะนี้ว่า “เด็กคนนี้แม่เจอระหว่างทางที่เดินมาที่นี่น่ะ คุณปู่ของเพื่อนร่วมชั้นของเธอป่วย เธอเลยมาเยี่ยมเขา แต่ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าห้องพักผู้ป่วยของเขาอยู่ที่ไหน ลูกว่าหาไปทีละห้อง ๆ มันเสียเวลาไหมล่ะ”
กู้จื้อเฉิงมองไปทางเด็กสาวที่กำลังก้มหน้าก้มตาซ่อนใบหน้าที่แดงก่ำของตัวเองอยู่ ก่อนจะคลี่ยิ้มและพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลว่า “เธอไปถามนางพยาบาลสิ ว่าเขาป่วยเป็นอะไร และพักอยู่ที่ห้องไหน ฉันว่าวิธีนี้น่าจะง่ายกว่าการเดินหาไปทีละห้องนะ!”
ก่อนหน้านี้จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าชาตินี้เธอคงไม่มีโอกาสได้เจอกับกู้จื้อเฉินอีกแล้ว เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เธอคิดว่าชาตินี้เธอก็คงไม่ได้เจอพ่อแม่บุญธรรมของเธออีกแล้วเช่นกัน ไม่มีใครรู้หรอกว่าการนอนร้องไห้คนเดียวนั้นมันน่าขมขื่นและน่าหวาดกลัวมากแค่ไหน เธอไม่เคยคิดเลยว่าหัวใจดวงน้อย ๆ ของเธอดวงนี้ มันจะกลับมาเต้นแรงขนาดนี้ได้อีกครั้ง ในตอนนี้ที่เธอได้ยินเสียงของกู้จื้อเฉิง ความรู้สึกกังวลและหวาดกลัวที่เกิดขึ้นภายในใจของเธอมันก็ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น
เธอเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปทางกู้จื้อเฉิงที่กำลังเอนกายพิงกับหัวเตียงอยู่ เขาสวมใส่ชุดผู้ป่วยสีเขียวเข้มของทางโรงพยาบาล ตัดผมสั้นดูสะอาดสะอ้าน เหมือนเมื่อชาติที่แล้วที่เธอได้เจอกับเขาเป็นครั้งแรกอย่างไรอย่างนั้น ร่างกายของเขาในตอนนี้ไร้ซึ่งร่องรอยการบาดเจ็บใด ๆ เหมือนเขาไม่ใช่คนป่วยอย่างไรอย่างนั้น
“อ้อ ขอบคุณค่ะ ! ” จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า แล้วหันไปพูดกับอันหลงว่า “งั้น หนูไม่รบกวนคุณป้าแล้วดีกว่าค่ะ หนูขอตัวก่อนนะคะ ! ”
อันหลงรีบโบกไม้โบกมือไปมา “เดี๋ยวก่อนหนู ! ” เมื่อพูดจบหล่อนก็ล้วงมือไปหยิบแอปเปิลออกมาจากถุง 2 ลูก จากนั้นก็ยื่นมันไปให้กับจางฉุ้ยเหลียน “แม่หนู หนูเอาแอปเปิลนี่ไปสัก 2 ลูกสิ”
จางฉุ้ยเหลียนอึ้งไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าอันหลงจะทำแบบนี้ เพราะอันหลงเมื่อชาติที่แล้วที่เธอรู้จัก หล่อนไม่ได้เป็นคนมีปฏิสัมพันธ์กับคนแปลกหน้าแบบนี้ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?
“คุณป้าคะ หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ ! ” จางฉุ้ยหลียนรีบปฏิเสธออกมาและทำท่าจะเดินออกไป เมื่ออันหลงเห็นดังนั้นหล่อนก็พูดออกไปว่า “เด็กคนนี้นี่ ทำไมไม่เชื่อฟังกันเลย เธอฟังนะ การไปเยี่ยมคนป่วยไม่ได้ใช้แค่ความจริงใจเท่านั้น มันต้องมีของฝากติดไม้ติดมือไปด้วย”
จางฉุ้ยเหลียนถึงกับนิ่งอึ้งไปอีกครั้ง เธอถอยหลังไปสองก้าวพร้อมกับคลี่ยิ้ม และพูดว่า “งั้นหนูก็รับของจากคุณป้าไม่ได้หรอกค่ะ ! ”
อันหลงหัวเราะออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็พูดว่า “เมื่อกี้เธอบอกฉันว่าเธอเป็นนักศึกษา นักศึกษาจะไปเอาเงินมาจากไหนล่ะ อีกอย่างบ้านของป้าก็ไม่ได้ขาดแคลนผลไม้ หนูรับไปเถอะ ถือซะว่านี่เป็นโชคชะตาของเราสองคนแล้วกันนะ!”
เมื่อพูดจบหล่อนก็ยัดแอปเปิล 2 ลูกใส่มือของจางฉุ้ยเหลียน จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม ก่อนจะพูดออกไปว่า “งั้น... หนูรับไว้ก็ได้ค่ะ เอ่อ... ไม่รู้ว่า ลูกชายของคุณป้าจะออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่หรือคะ ถ้าวันไหนหนูหยุดไม่มีเรียน หนูจะมาเยี่ยมคุณป้ากับพี่ชายนะคะ!”
กู้จื้อเฉิงเข้าใจความหมายของจางฉุ้ยเหลียน เขาจึงรีบลุกขึ้นมานั่งพร้อมกับโบกมือไปมาเพื่อเป็นการปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก เธอไม่ต้องลำบากมาเยี่ยมก็ได้!”
เมื่อได้ยินในสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนพูด อันหลงก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก หล่อนจึงพูดออกไปว่า “เรายังอยู่ที่โรงพยาบาลอีกหนึ่งอาทิตย์น่ะ ! ถ้าวันไหนหนูหยุดหรือไม่มีเรียน หนูก็มาเยี่ยมเราที่โรงพยาบาลได้นะ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่ตัวเอง กู้จื้อเฉิงจึงได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา เขายิ้มออกมาพร้อมกับพูดว่า “แม่ครับ!”
แต่อันหลงก็ไม่ได้สนใจเสียงคัดค้านของลูกชายแต่อย่างใด หล่อนมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยความรู้สึกชอบใจ “แม่หนู แล้วตอนนี้หนูเรียนอยู่ที่ไหนล่ะ ? ป้าชอบคนมีความรู้แบบหนูนะ ไอ้หยา เมื่อกี้พอป้าเห็นหนูปุ๊ป ป้าก็รู้ได้ในทันทีเลยว่าหนูต้องเป็นเด็กดีมากแน่ ๆ! ”
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง!จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจได้ในทันทีว่าทำไมนิสัยของอันหลงถึงได้เปลี่ยนไป นั่นก็เป็นเพราะตอนนี้สถานะของเธอเปลี่ยนไป เธอไม่ใช่เด็กสาวที่จบแค่มัธยมปลายคนนั้นเมื่อชาติที่แล้วอีกแล้ว แต่ตอนนี้สถานะของเธอคือนักศึกษาแล้วนั่นเอง
เธอยิ้มพร้อมกับพูดว่า “หนูชื่อจางฉุ้ยเหลียน และตอนนี้ก็กำลังเรียนอยู่ที่วิทยาลัยครูค่ะ!”
เมื่ออันหลงได้ยินดังนั้น หล่อนก็พยักหน้าตอบรับ “อื้อ วิทยาลัยครูก็ไม่เลวนะ”
จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าตอนนี้เธอควรที่จะกลับไปหาหลี่ม่านได้แล้ว เธอจึงหันไปลาพวกเขาทั้งสองคนอย่างสุภาพ จากนั้นก็เดินตรงไปยังห้องพักผู้ป่วยของคุณปู่ของหลี่ม่านในทันที
เมื่อเดินมาถึงระเบียงทางเดิน จางฉุ้ยเหลียนก็เจอกับหลี่ม่านที่ตอนนี้หน้าผากของหล่อนกำลังเต็มไปด้วยเหงื่อ เมื่อหล่อนหันกลับมาเห็นจางฉุ้ยเหลียน หล่อนจึงได้ตะโกนออกไปว่า “เธอไปไหนมาเนี่ย ทำไมถึงได้เดินไปไหนมาไหนตามใจตัวเองแบบนี้ ไปไหนก็ไม่บอกกันสักคำ ทำไมถึงได้ทำตัวเหมือนที่บ้านไม่สั่งสอนแบบนี้ เธอคิดว่าตัวเองเป็นคนในเมืองแล้วจะทำอะไรก็ได้อย่างนั้นหรือ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนให้อภัยให้กับคำพูดที่รุนแรงของหลี่ม่าน เพราะเดิมทีหลี่ม่านก็กังวลเรื่องอาการป่วยของคุณปู่ของหล่อนอยู่แล้ว แล้วหล่อนยังต้องมากังวลกับการหายตัวไปของเธออีก
“ฉันขอโทษจริง ๆ นะ เรื่องที่ฉันไปไหนแล้วไม่ได้บอกเธอก่อน” เมื่อเห็นดังนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงได้กล่าวขอโทษหลี่ม่านออกไป จากนั้นก็ยื่นแอปเปิลในมือให้กับหลี่ม่าน “ฉันไปหาผลไม้มาเยี่ยมคุณปู่ของเธอน่ะ”
หลี่ม่านเพิ่งจะสังเกตเห็นแอปเปิลที่อยู่ในมือของจางฉุ้ยเหลียน ความร้อนใจของหล่อนก่อนหน้านี้จึงค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความลำบากใจในทันที “ขอโทษนะ เมื่อกี้ฉันไม่น่าตะโกนใส่เธอแบบนั้นเลย!”
จางฉุ้ยเหลียนยื่นแอปเปิลไปให้กับหลี่ม่าน ก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้านิ่งเฉยว่า “ไม่เป็นไร ฉันไม่โกธรเธอหรอก!”
หลี่ม่านเองก็ไร้เดียงสา หล่อนรับแอปเปิล 2 ลูกนั่นมา จากนั้นจึงเดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยด้วยความดีใจ พร้อมกับบอกคนในบ้านว่านี่เป็นผลไม้ที่จางฉุ้ยเหลียนเพื่อนของหล่อนซื้อมาเยี่ยมคุณปู่
จางฉุ้ยเหลียนรับรู้ได้ถึงความชื่นชมและขอบคุณเธอของคนในตระกูลหลี่ เธอจึงได้แต่ขอโทษคุณปู่ของหลี่ม่านอยู่ในใจเงียบ ๆ ว่า ‘คุณปู่คะ หนูไม่ได้ตั้งใจจะโกหกนะคะ ไหน ๆ เรื่องนี้มันก็เกิดขึ้นแล้ว ก็ถือซะว่ายืมดอกไม้คนอื่นมาไหว้พระแล้วกันนะคะ!’
คนในตระกูลหลี่คิดว่าวิธีที่จางฉุ้ยเหลียนแนะนำให้กับหลี่ม่านนั้นไม่เลวเลยทีเดียว อาหารในโรงอาหารของวิทยาลัยนั้นก็มีราคาถูกกว่าข้างนอกมาก อีกทั้งหลี่ม่านก็ยังสามารถมาดูแลคุณปู่ได้ทุกวัน วันละ 3 เวลาอีกด้วย และนั่นมันก็ช่วยให้คนในบ้านหายใจหายคอไปได้มากทีเดียว
จางฉุ้ยเหลียนเองก็รู้สึกดีใจ แบบนี้เธอก็จะมาเยี่ยมกู้จื้อเฉิงได้ทุกวันด้วยเช่นกัน
เพราะจางฉุ้ยเหลียนช่วยถือของ อันหลงจึงอยากตอบแทนเธอ และด้วยความที่ตระกูลกู้ก็เป็นคนมีฐานะ หล่อนจึงให้แอปเปิลจางฉุ้ยเหลียนเป็นการตอบแทน อีกทั้งอันหลงยังเป็นคนที่ห่วงภาพลักษณ์หน้าตาของตัวเอง หล่อนจึงคิดเสมอว่า ถ้าให้แล้วไม่ดี ไม่ให้เสียยังจะดีเสียกว่า
ตกค่ำจางฉุ้ยเหลียนและหลี่ม่านก็กลับมาที่วิทยาลัย เมื่อเดินเข้ามาในห้องพัก เพื่อน ๆ ต่างก็กรูกันเข้ามาถามไถ่ถึงอาการของคุณปู่ หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากหลี่ม่านแล้ว ทุกต่างก็ยินดีช่วยเหลือหลี่ม่านกันอย่างเต็มที่
หลี่ม่านรู้สึกดีกับจางฉุ้ยเหลียนมากขึ้น หลังจากที่ได้อยู่กับจางฉุ้ยเหลียนมาตลอดทั้งวัน การที่จางฉุ้ยเหลียนอาสาไปส่งหลี่ม่านที่โรงพยาบาลมันก็ทำให้เธอได้เจอกับกู้จื้อเฉิง ขอเพียงแค่ได้ใกล้ชิดกับกู้จื้อเฉิงมากขึ้น ตัวเธอก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
“หลี่ม่าน ! ” จางฉุ้ยเหลียนหันไปเรียกหลี่ม่านเสียงเบา “วันพรุ่งนี้ให้ฉันไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนเธอนะ เธอเดินไปคนเดียวแบบนั้นอันตรายแย่เลย”
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันไปเองได้ ให้จางเว่ยไปเป็นเพื่อนฉันก็พอแล้วล่ะ!” เมื่อหลี่ม่านพูดจบ หล่อนก็หันไปมองทางจางเว่ย เพราะพวกเธอทั้งสองคนสนิทกันมานาน จางเว่ยจึงอาสาไปเป็นโรงพยาบาลเป็นเพื่อนหลี่ม่าน
จางเว่ยคลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า : “ฉันไปเป็นเพื่อนหล่อนเอง รบกวนเธอมาเยอะแล้วล่ะ!”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วพร้อมกับส่ายหน้าไปมา “ฉันคิดว่าให้ฉันไปเป็นเพื่อนหลี่ม่านดีกว่านะ ทางมันไกล แล้วพวกเธอทั้งสองคนก็ยังไม่ชินทางด้วย ฉันรู้กสึกเป็นห่วงน่ะ จางเว่ย เธอจะสอบชิงทุนการศึกษาไม่ใช่หรือ ถ้าเธอไปเป็นเพื่อนหลี่ม่าน เธอก็ไม่มีเวลาอ่านหนังสือแล้วยังต้องขาดเรียนอีกน่ะสิ แล้วอย่างนี้เธอจะสอบชิงทุนได้ยังไงล่ะ ? ”
เมื่อจางเว่ยได้ยินดังนั้น สีหน้าของหล่อนก็แสดงออกถึงความลำบากใจขึ้นมาทันที หลี่ม่านขมวดคิ้วแล้วถามจางฉุ้ยเหลียนว่า “แล้วเธอล่ะ? คะแนนเธอก็สูง ไม่สอบชิงทุนเหมือนกับคนอื่นบ้างหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า “ฐานะทางบ้านของฉันไม่ค่อยดี ค่าเทอมฉันก็ต้องหาเอง อีกอย่างฉันก็บอกเรื่องนี้กับอาจารย์ที่ปรึกษาไปแล้ว ฉันอยากจะถือโอกาสนี้ที่ได้ออกไปโรงพยาบาลกับเธอ ไปลองหางานพิเศษทำน่ะ อาจจะไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟหรือไม่ก็พนักงานล้างจาน ถ้าหากว่าเขารับฉันเข้าทำงาน ฉันก็คงจะไม่เรียนภาคค่ำแล้วล่ะ”
ความคิดที่จะออกไปทำงานข้างนอกเพื่อหาค่าเทอมของจางฉุ้ยเหลียน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ถึงกับอึ้งและตกใจ เพราะในยุคนี้ไม่มีใครที่ทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย
“อ่า ? ทำได้อย่างนั้นหรือ ? ” เด็กสาวคนหนึ่งถามขึ้นมาด้วยความสงสัย แม้แต่ติงหลงหลงที่ไม่ค่อยสนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ก็ถึงกับต้องลุกขึ้นมาเพื่อนั่งฟังเลยทีเดียว
“จะทำได้หรือไม่ได้ ยังไงก็ต้องลองดูถึงจะรู้!” จางฉุ้ยเหลียนเม้มปาก