px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 22 พบกันอีก


ตอนที่ 22 พบกันอีก

 

ติงหลงหลงเงยหน้าขึ้นมองจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังมองมาที่ตัวเองอยู่ในขณะนี้ และคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนก็คงอยากจะอ่านหนังสือเหมือนกัน หล่อนจึงหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากใต้หมอน แล้วโยนมันไปให้กับจางฉุ้ยเหลียน “เฮ้ นี่เล่มของเดือนที่แล้ว เธอเอาไปอ่านก่อนสิ ! ”

 

จางฉุ้ยเหลียนรับหนังสือเล่มนั้นมา เมื่อเปิดอ่านดูเนื้อหาข้างในก็เป็นเรื่องราวเชิงบวกที่น่าประทับใจเฉกเช่นเดิม

 

จางฉุ้ยเหลียนทำการหาที่อยู่ในการจัดส่งของสำนักพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้ ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีอินเตอร์เน็ตใช้ ทุกคนต่างก็ส่งจดหมายกันด้วยวิธีการดั้งเดิม นั่นก็คือการเขียนต้นฉบับด้วยลายมือ จากนั้นก็ส่งไปยังสำนักพิมพ์ ถ้าถูกจ้าง ทางนั้นก็จะส่งตั๋วแลกเงินไปรษณีย์กลับมาให้

 

เธอไม่ใช่คนที่มีพรสวรรค์อะไรมากมาย แต่เธอมีจุดแข็งอย่างหนึ่งนั่นก็คือการที่เธอมีอายุมากกว่าอายุปัจจุบันของเธอในตอนนี้ถึง 20 ปี และเธออ่านหนังสือมามากกว่าอายุของเธอในตอนนี้ถึง 20 ปีแล้วเช่นกัน เธอคิดว่าความรู้ของเธอนั้นมีมากพอ เหลือเพียงแค่ความอดทน จิตใจที่แน่วแน่ และความเชื่อมั่นในตัวเองเท่านั้น

 

เช้าวันที่สอง หลังจากที่ทุกคนล้างแปรงฟันและหน้าหวีผมเรียบร้อยแล้ว ตามหนังสือแจ้งให้ทราบจากทางวิทยาลัยทุกคนจะต้องไปเข้าเรียน เหมือนกับตอนที่ทุกคนไปโรงเรียนตามปกติ

 

จางฉุ้ยเหลียนเลือกเรียนเอกภาษา ติงหลงหลงเลือกเรียนเอกศิลปะ ส่วนหลี่เหยาและเฝิงเสี่ยวเจี๋ยพวกเธอทั้งสองคนต่างก็เลือกเรียนเอกการศึกษาก่อนถึงเกณฑ์อายุ

 

และอีกสองคนที่อยู่ห้องพักเดียวกันกับเธอ มีคนหนึ่งเลือกเรียนเอกภาษาอังกฤษ อีกคนก็เลือกเรียนเอกคณิตศาสตร์

 

จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่รู้เช่นกันว่าทางวิทยาลัยเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ในการแบ่งหอพัก เพราะทุกคนในหอพักของเธอต่างก็เรียนคนละวิชาเอกกัน

 

ในเมื่อไม่ได้เรียนวิชาเอกเดียวกัน จางฉุ้ยเหลียนและเพื่อนร่วมห้องอีกสองคนจึงต้องเดินไปเรียนด้วยกัน พวกเธอทั้งสองคนเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงแม้ว่าพวกเธอจะพอมีฐานะอยู่บ้าง แต่พวกเธอก็แต่งตัวธรรมดา ๆ จางฉุ้ยเหลียนและพวกเธอทั้งสองคนก็ได้แนะนำตัวกันไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว

 

เด็กสาวคนหนึ่งที่มีรูปร่างสูง ผิวเข้ม มีชื่อว่าหลี่ม่าน ส่วนเด็กสาวอีกคนหนึ่งที่มีรูปร่างเตี้ย แต่กลับมีดวงตายาวสวยคนนั้นมีชื่อว่าจางเว่ย ทั้งสองคนมาจากชนบทเหมือนกัน แต่อยู่คนละเมือง แต่ด้วยความที่โรงเรียนเดียวกันมาตั้งแต่เล็กจนโตจึงทำให้ทั้งสองคนสนิทกัน พวกเธอทั้งสองคนจึงได้ลงสมัครเรียนวิชาเอกเดียวกัน ความสนิทของพวกหล่อนก็เปรียบได้กับผ้าเช็ดหน้าที่ขาดกันไม่ได้

 

เมื่อทุกคนได้ยินเรื่องคะแนนสอบของจางฉุ้ยเหลียน ทุกคนต่างก็พากันเสียดายที่จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย  แต่จางฉุ้ยเหลียนรู้อยู่แก่ใจดีว่าถึงแม้ว่าเธอจะได้เข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย เธอก็อาจจะเรียนไม่จบ เพราะเธอลืมความรู้ต่าง ๆ สมัยมัธยมไปจนหมดแล้ว โชคดีที่วิทยาลัยแห่งนี้เธอได้เรียนแค่วิชาคณิตศาสตร์ กับภาษาเท่านั้น  ถ้าเธอได้เรียนวิชาวัฒนธรรมกับฟิสิกส์แล้วล่ะก็ เธอไม่มีทางเรียนจบแน่ ความจริงแล้วที่เธอเลือกเรียนภาษา เพราะเธออยากจะไปเป็นครูสอนเด็กประถม มันเป็นสิ่งที่เธอใฝ่ฝันมาโดยตลอด

 

เมื่อเริ่มเรียนได้หนึ่งสัปดาห์ ตามกฎระเบียบแล้ว คนที่บ้านอยู่ในเมืองก็จะสามารถกลับบ้านได้ จางฉุ้ยเหลียนนั้นก็ถือว่าบ้านอยู่ในเมืองเช่นเดียวกัน  แค่นั่งรถประจำทางเพียงหนึ่งสายก็สามารถกลับบ้านได้แล้ว  การที่นักศึกษาที่บ้านอยู่ในเมืองต่างก็พากันกลับบ้านในช่วงวันหยุดเสาร์ อาทิตย์ นั่นก็เป็นเพราะมันประหยัดค่าข้าวและยังสามารถดูโทรทัศน์อยู่บ้านได้ตั้งสองวัน

 

แต่จางฉุ้ยเหลียนไม่คิดอย่างนั้น เธอไม่กลับบ้านในช่วงวันหยุด เพราะเธออยากจะใช้ช่วงเวลาเหล่านี้ฝึกซ้อมเขียนบทความ เธออยากจะลองเขียนบทความต่าง ๆ ที่ตัวเองอยากจะเขียน และเธอก็คิดว่าถ้าบทความของเธอผ่านการพิจารณาเธอก็อาจจะได้รับค่าต้นฉบับก็ได้

 

หลายปีที่ผ่านมานี้ เธออ่านทั้งหนังสือทั้งนิตยาสารต่าง ๆ จนจำได้ขึ้นใจ เธอรู้ว่าคนในยุคสมัยนี้ชื่นชอบบทความแบบไหน

 

จางฉุ้ยเหลียนศึกษารูปแบบการเขียนนิตยสารเล่มนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน จากลักษณะการเขียนเรื่องสั้นของพวกเขาที่มีชื่อเรื่องว่า สะใภ้ผู้มาจากขุนเขา เมื่อเธอคิดว่าเธอศึกษาวิธีการเขียนมาอย่างดีแล้ว เธอจึงฉีกกระดาษบาง ๆ มาทำเป็นซองจดหมาย แล้วจากนั้นก็ซื้อสแตมป์มาติด

 

เมื่อก้มลงมองดูซองจดหมายสีขาวในมือของตัวเอง จางฉุ้ยเหลียนก็อดที่จะส่ายหัวให้กับความตระหนี่ขี้เหนียวของตัวเองไม่ได้ แม้แต่จดหมายฉบับเดียวเธอก็ยังตัดใจซื้อด้วยความอาลัยอาวรณ์ แต่ตามกฎแล้ว แค่มีรหัสไปรษณีย์ แสตมป์ และที่อยู่ทั้งสองฝ่ายชัดเจน ก็สามารถส่งจดหมายได้แล้ว

 

การขายผลงานในครั้งนี้ของจางฉุ้ยเหลียนก็เหมือนการเปิดทางให้กับอนาคตของเธอก็ไม่ปาน เธอรู้ว่าตัวเองไม่ใช่นักเขียนที่มีฝีมือเก่งกาจอะไรเบอร์นั้น ไม่มีทางที่บทความของเธอจะเข้าตาของบรรณาธิการได้ทุกครั้ง เธอจึงถือโอกาสในช่วงที่เธอกระตือรือร้นนี้เขียนบทความ จนตอนนี้เธอก็เขียนบทความรวม ๆ กันได้ทั้งหมด 6 บทความแล้ว

 

เธอบอกตัวเองในใจเสมอว่ามันจะต้องมีสักบทความที่เข้าตาบรรณาธิการอย่างแน่นอน ก่อนที่จะเปิดเรียนอีกครั้งในวันจันทร์ เธอเลยออกไปซื้อจดหมายมากองหนึ่ง จากนั้นก็เขียนทั้ง 6 บทความที่เธอแต่งลงไป

 

ต้นฉบับที่ถูกส่งออกไปราวกับมันจมหายลงไปในมหาสมุทรอย่างไรอย่างนั้น  ไม่มีแม้แต่ข่าวคราวใด ๆตอบกลับมา ! จางฉุ้ยเหลียนเฝ้ารอมันอย่างท้อแท้ บางทีบทความของเธออาจจะแย่มากจริง ๆ ก็ได้ ดังนั้นเธอจึงเขียนบทความเพิ่มอีก 7 บทความ

 

จู่ ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็คิดถึงวันนี้เมื่อชาติก่อนขึ้นมาได้ วันนี้เมื่อชาติก่อนเป็นวันที่เธอได้รับหนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัย แต่เช่าหวาแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอกลับเผาหนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยของเธอทิ้ง เพียงเพราะไม่อยากให้เธอได้เข้าเรียนและหล่อนอยากจะให้เธอแต่งงานเพื่อเอาเงินสินสอดมาให้หล่อน นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเธอถึงได้แต่งงานกับกู้จื้อเฉิง

 

ความจริงแล้วเธอคิดว่าการที่เธอกลับมาเกิดใหม่ในครั้งนี้ เธอก็อาจจะไม่มีวาสนาได้คู่ครองกับกู้จื้อเฉิงอีกแล้วก็ได้ แต่ภายในใจของเธอก็ยังหวังอยู่ลึก ๆ เพราะเธอไม่อยากจะพลาดผู้ชายดี ๆ อย่างกู้จื้อเฉิงไป

 

ประการแรกเพราะเขาเป็นผู้ชายที่เธอรักด้วยใจจริงอย่างสุดหัวใจ และประการสองเพราะเธออยากตอบแทนเขาให้มากที่สุดจากสิ่งต่าง ๆ ที่เขาทำให้เธอเมื่อชาติที่แล้ว

 

“ฮือ ฮือ ฮือ ! ” ช่วงพักกลางวัน จางฉุ้ยเหลียนที่เพิ่งกลับมาจากโรงอาหาร เธอก็เห็นหลี่ม่านเพื่อนร่วมชั้นของเธอกำลังนั่งปิดหน้าร้องไห้อยู่ในห้อง ส่วนเพื่อนคนอื่น ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ต่างก็พากันช่วยปลอบใจหล่อน

 

“เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนถามขึ้นด้วยความสงสัย ติงหลงหลงจึงกระซิบข้างหูของเธอว่า “เมื่อกี้คนที่บ้านของหล่อนมาหา บอกว่าคุณปู่ของหล่อนป่วยหนัก ต้องเข้าโรงพยาบาล ถ้าหล่อนว่างก็ให้ไปช่วยดูแลคุณปู่ที่โรงพยาบาลด้วย ! ”

 

“ฉัน ฉัน กลัวมาก ฉันไม่รู้จะต้องทำยังไงฮือ ฮือ ฮือ” หลี่ม่านยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาของตัวเองที่มันไหลออกมาไม่หยุด แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร

 

หลี่เหยาส่ายหน้า พร้อมกับเท้าสะเอวและพูดออกไปว่า : “ให้ตายเถอะเราโตแล้วนะ แล้วตอนนี้เราก็เปิดเทอมแล้วด้วย ทำไมถึงต้องมาเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นด้วยเนี่ย เรื่องแบบนี้ผู้ใหญ่ต้องเป็นคนจัดการไม่ใช่รึไง

 

หลี่ม่านเงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับพูดไปพลางร้องไห้สะอึกสะอื้นไปพลาง “แต่ตอนนี้คนที่บ้านกำลังยุ่ง ทุกคนต่างก็ทำงานกันอย่างขะมักเขม้น พ่อกับแม่ของฉันก็ไปนอนเฝ้าคุณปู่ที่โรงพยาบาลไม่ได้ ตอนนี้ก็มีแต่คุณอา คุณลุง ที่ผลัดเวรกันมาเฝ้าคุณปู่ แต่ตอนนี้มันก็ใกล้ถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยวแล้ว พวกเขาก็ต้องนอนเพื่อที่จะได้มีแรงลุกขึ้นไปทำงาน

 

เมื่อหลี่เหยาได้ยินดังนั้น หล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก จางฉุ้ยเหลียนเคยมีประสบการณ์การดูแลผู้สูงอายุมาก่อน และเมื่อเธอได้ฟังปัญหาของหลี่ม่าน เธอจึงได้ช่วยคิดหาวิธี

 

เธอเอ่ยปากออกไปว่า “ความจริงแล้วเธอก็ซื้ออาหารจากโรงอาหารของวิทยาลัยเราวันละ 3 มื้อ ไปเยี่ยมคุณปู่ที่โรงพยาบาลก็ได้นะ เพราะราคาอาหารมันก็ถูกกว่าข้างนอกมาก แบบนี้เธอก็จะได้ไปเยี่ยมคุณปู่ทุกวัน แล้วเธอยังช่วยแบ่งเบาภาระที่บ้านได้อีกด้วย ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์เธอก็ไปอยู่เฝ้าคุณปู่ที่โรงพยาบาล ให้ที่บ้านได้พักหายใจสักวันสองวันไง

 

ความคิดของจางฉุ้ยเหลียนนั้นไม่เลวเลย เธอทำให้หลี่ม่านนั้นรู้สึกดีขึ้นมากเลยทีเดียว หล่อนเงยหน้ามองจางฉุ้ยเหลียน  พร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นเล็กน้อยว่า “มันทำแบบนั้นได้จริง ๆ หรือ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่สักพัก แล้วจึงพูดกับหลี่ม่านว่า “เอาแบบนี้ไหมล่ะ เดี๋ยวฉันไปขอลาหยุดกับหัวหน้าห้องเป็นเพื่อนเธอเอง ตอนบ่ายเราค่อยไปโรงพยาบาลด้วยกัน ไปเยี่ยมคุณปู่ของเธอก่อนว่าอาการของเขาตอนนี้เป็นยังไงบ้าง แล้วค่อยไปปรึกษากับครอบครัวของเธออีกที ฉันว่า ถ้าคุณปู่เห็นความกตัญญูของเธอ เขาก็อาจจะสบายใจมากขึ้นก็ได้นะ”

 

คำพูดน่าฟังใคร ๆ ก็พูดได้ หลี่เหยาแอบเบะปากอยู่เงียบ ๆ  ส่วนติงหลงหลงที่อยู่ข้าง ๆ  ก็มองจางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป

 

จางเว่ยที่สนิทกับหลี่ม่านก็ได้ตบหน้าอกของตัวเองเบา ๆ แล้วพูดว่า “พวกเธอสองคนไม่ต้องลาหยุดหรอก เดี๋ยวฉันไปบอกหัวหน้าห้องให้ว่าถ้าหลี่ม่านต้องไปโรงพยาบาลทุกวัน หลังจากวันนี้ฉันก็จะไปโรงพยาบาลเป็นเพื่อนหล่อนเอง”

 

เฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็พูดคล้อยตามว่า “ใช่ ๆ หอพักเราก็มีคนตั้งเยอะตั้งแยะ ทุกคนก็ไปเป็นเพื่อนเธอได้ ผลัดเวรกันไปแต่ละวันจะได้ไม่เหนื่อยไง”

 

หลี่ม่านเช็ดน้ำตา จากนั้นทุกคนหัวเราะออกมาทั้งน้ำตา  เมื่อตกลงกันได้แล้วหล่อนก็เดินตามจางฉุ้ยเหลียนออกมาจากวิทยาลัยตรงไปยังโรงพยาบาลทันที

 

เมื่อเดินออกมาจากประตูวิทยาลัย จางฉุ้ยเหลียนก็นึกอะไรขึ้นได้ เธอจึงหันไปถามหลี่ม่านว่า “คุณปู่ของเธออยู่โรงพยาบาลไหนหรือ ? ”

 

หลี่ม่านครุ่นคิด “โรงพยาบาลสาม ทำไมหรือ ห่างจากที่นี่ไกลรึเปล่า ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิด ความจริงมันก็ไม่ไกลมากหรอก  เดินไปตามทางก็น่าจะใช้เวลาแค่ 20 นาที เพื่อความประหยัด พวกเธอทั้งสองคนจึงเดินไปที่โรงพยาบาลแทนการนั่งรถประจำทาง  เมื่อตกลงกันได้แล้วก็ออกเดินทางโดยไม่พูดไม่จาทันที

 

หลี่ม่านเดินไปพลางทอดถอนหายใจไปพลาง “ยังไงก็ต้องขอบคุณเธอนะ ไม่อย่างนั้นฉันก็คงจะเอาแต่ร้องไห้ มึนงงไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี แล้วปกติเธอมาในเมืองบ่อยหรือ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนอยากจะพูดออกไปว่า เธอจะมาในเมืองบ่อยได้อย่างไร เพราะเธอเคยใช้ชีวิตอยู่ในเมืองมามากกว่า 20 ปีเมื่อชาติที่แล้วต่างหาก เธออาศัยอยู่ในเมืองมานานขนาดนั้น เป็นใคร ใครก็ต้องจำทางได้อยู่แล้ว

 

แต่จางฉุ้ยเหลียนก็ทำได้เพียงแค่ยิ้ม และพูดแก้ตัวออกไปว่า “ฉันเคยดูแผนที่ แล้วจำทางได้น่ะ”

 

หลังจากที่ทั้งสองคนเดินมาถึงโรงพยาบาล หลี่ม่านก็ยังรู้สึกกลัวอยู่ในใจ จางฉุ้ยเหลียนจึงเป็นคนเดินเข้าไปสอบถามหมายเลขห้องที่คุณปู่ของหลี่ม่านพักรักษาตัวกับนางพยาบาล เมื่อรู้ว่าคุณปู่ของหล่อนพักอยู่ที่ห้องไหน พวกเธอทั้งสองคนก็ตรงไปที่ตึกผู้ป่วยนอกทันที เมื่อเดินมาถึงก็ช่วยกันหาชื่อของคุณปู่ที่ติดอยู่ที่หน้าประตูห้องพักผู้ป่วย

 

“312 ? อ่า ขอบคุณค่ะ ” จางฉุ้ยเหลียนที่กำลังตามหาห้องพักผู้ป่วยที่คุณปู่ของหลี่ม่านพักอยู่ด้วยความยากลำบาก ในที่สุดเธอก็หามันจนเจอจากนามสกุลหลี่ที่ติดอยู่ตรงหน้าประตู

 

วินาทีที่หลี่ม่านได้เจอกับคุณปู่ หล่อนก็ปล่อยโฮออกมาทันที ส่วนจางฉุ้ยเหลียนที่ปวดขาจากการเดินทางมาที่โรงพยาบาลรวมทั้งวิ่งหาห้องพักผู้ป่วย ก็ได้แต่นั่งทุบขาตัวเองอย่างเงียบ ๆ

 

คุณปู่ของหลี่ม่านเป็นโรคหัวใจ แต่ไม่ได้ร้ายแรงมากนัก เขาแค่ทำงานหนักเกินไป บวกกับไม่ได้นอนมาหลายวันติดต่อกันจนเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ แต่เพราะเขาอายุมากแล้ว และไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองเท่าที่ควร ร่างกายจึงอ่อนแอลง สุดท้ายโรคหัวใจของเขาจึงกำเริบและได้มานอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล

 

โชคดีที่ลูกหลานตระกูลหลี่ต่างก็เป็นคนดี กตัญญูรู้คุณ เมื่อคุณปู่ล้มป่วย ไม่ว่าญาติทางพ่อของหลี่ม่านจะผลัดเปลี่ยนแบ่งวันกันมาเฝ้าแล้ว ทุกคนต่างก็ร่วมมือร่วมใจกันดูแลคุณปู่อย่างดีที่สุด

 

พ่อแม่ของหลี่ม่านไม่เพียงแต่จะต้องทำงานในส่วนของบ้านตัวเองแล้วเท่านั้น พวกเขายังต้องทำงานในส่วนของคุณปู่อีกด้วย และช่วยนี้ก็เป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวญาติคนอื่น ๆ ก็ต้องทำงานของตัวเองเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ค่อยมีผู้ใหญ่มาผลัดเปลี่ยนเวรเพื่อมาดูแลคุณปู่กับหลี่ม่านเท่าไหร่นัก พ่อของหลี่ม่านจึงรู้สึกเป็นกังวล ว่าคุณปู่จะไม่มีคนดูแลจึงได้มาหาลูกสาวที่วิทยาลัย และกำชับกับลูกสาวอยู่สามรอบว่าถ้าหล่อนว่างยังไงก็ต้องมาช่วยดูแลคุณปู่ที่นอนอยู่โรงพยาบาลให้ได้

 

พ่อของหลี่ม่านนั้นเป็นคนพูดไม่เก่ง และเขาเองก็ไม่รู้ว่าอาการป่วยของคุณปู่นั้นเป็นอย่างไร ส่วนหลี่ม่านก็เป็นเด็กสาวแสนซื่อ นั่นจึงทำให้การสื่อสารของทั้งสองคนขาดตกบกพร่องไป และหลี่ม่านก็ร้องไห้ออกมาใหญ่โต ทุกคนเลยคิดว่าสภาพร่างกายของคุณปู่ของหลี่ม่านต้องแย่มากแน่ ๆ

 

หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนทักทายทำความเคารพคุณปู่ของหลี่ม่านตามมารยาทแล้ว เธอก็เห็นว่าในห้องพักผู้ป่วยแห่งนี้มีคนอยู่เยอะมากอีกทั้งยังแออัด เธอจึงเดินได้ออกไปรอหลี่ม่านข้างนอก

 

“โรงพยาบาลสามเมื่อ 20 ปีก่อน เป็นแบบนี้นี่เองทรุดโทรมอย่างไรก็อย่างนั้น  ” จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางผนังสีฟ้าที่มีความสูงประมาณครึ่งเมตรตรงบริเวณทางเดิน นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีพ่อค้าไม้คนหนึ่งที่กำลังยืนบ่นพึมพำกับบานพับเหล็กที่ทรุดโทรมอยู่

 

หล่อนลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง ? จางฉุ้ยเหลียนเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมาในใจ จู่ ๆ เรื่องราวบางอย่างมันก็แวบขึ้นมาในหัวสมองของเธอ  ชาติที่แล้วกู้จื้อเฉิงเคยบอกกับเธอว่าเดิมทีเขาอยากจะเป็นทหารอยู่ในโรงพยาบาล

 

เพราะโรงพยาบาลสามแห่งนี้อยู่ใกล้กับบ้านของเขา และทุกคนในบ้านก็สามารถเดินทางมารับการรักษาที่นี่ได้สะดวก

 

จางฉุ้ยเหลียนนับนิ้วตัวเอง ถ้าโชคดีหน่อย ตอนนี้กู้จื้อเฉิงก็อาจจะอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

 

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จางฉุ้ยเหลียนก็ตัวสั่นไปทั้งตัวด้วยความตื่นเต้น เธอเดินยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไปหานางพยาบาล แล้วถามขึ้นด้วยความตื่นเต้นว่า “คุณพยาบาลคะ หนูขอถามอะไรหน่อยได้ไหมคะ แผนกกระดูกไปทางไหนหรือคะ ? ”

 

พยาบาลคนนั้นขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นก็พูดอย่างเยาะเย้ยขึ้นมาว่า : “เธอนี่ยังยิ้มหน้าระรื่นตอนที่มีคนเข้าโรงพยาบาลได้อยู่อีกงั้นหรือ ? แผนกกระดูกอยู่ที่ชั้นหนึ่ง

 

จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า จากนั้นก็วิ่งลงไปที่ชั้นหนึ่งทันที เมื่อมาถึงชั้นหนึ่ง เธอก็เดินหาจนทั่ว แต่ก็ไม่เจอกู้จื้อเฉิงเลยแม้แต่เงา

 

เธอจึงรู้สึกผิดหวังขึ้นมาและคิดในใจว่า หรือกู้จื่อเฉิงจะไม่ได้อยู่ที่นี่กันนะ ?

 

 

รีวิวผู้อ่าน