ตอนที่ 21 เพื่อนร่วมห้องเจอกัน
เมื่อเหล่าบรรดาผู้ปกครองของนักศึกษากลับไปกันหมดแล้ว พวกเด็กสาวต่างก็เริ่มพูดคุยทำความรู้จักกัน เมื่อรวมหลี่เหยาและเด็กสาวคนหนึ่งที่เพิ่งจะเดินออกจากห้องเพื่อไปกินข้าวเมื่อสักครู่นี้ ห้องพักแห่งนี้ก็มีคนอยู่รวมกันทั้งหมด 8 คน พวกเธอต่างก็แนะนำตัวเองให้กับคนอื่น ๆ ได้รู้จัก และไม่นานทุกคนก็เริ่มที่จะคุ้นเคยกัน
เด็กสาวที่อยู่เตียงชั้นบนของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนมาจากตระกูลที่ร่ำรวย หล่อนมีชื่อว่าเฝิงเสี่ยวเจี๋ย นิสัยของหล่อนค่อนข้างที่จะตรงไปตรงมาและไม่อ้อมค้อม
“หลี่เหยาคงจะเบื่อขี้หน้าฉันแล้วล่ะ!เพราะฉันกับหล่อนเรียนโรงเรียนเดียวกันมาก่อน ตอนที่หล่อนเรียนอยู่ที่โรงเรียน หล่อนมีชื่อเสียงมากเลยนะ! ” จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้าอย่างเงียบ ๆ ดูแล้วนิสัยของหล่อนน่าจะเป็นคนตรง ๆ มาถึงปุ๊ปก็เริ่มนินทาคนอื่นปั๊ป เห็นได้ชัดเลยว่าบรรดาเด็กสาวนั้นต่างก็ชอบซุบซิบนินทากัน
เมื่อได้ยินสิ่งที่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยพูด สายตาของทุกคนก็หันไปมองที่หล่อนเป็นตาเดียว เมื่อเห็นว่าทุกคนต่างก็ให้ความสนใจกับคำพูดของตัวเอง เฝิงเสี่ยวเจี๋ยจึงเริ่มพูดออกมาว่าหลี่เหยาในความคิดของหล่อนนั้นเป็นคนอย่างไร
สาเหตุที่หลี่เหยามีชื่อเสียงในโรงเรียน นั่นก็เป็นเพราะว่า หล่อนเป็นคนที่กล้าแสดงออกมาก ไม่ว่าจะเป็นการแสดงร้องเพลงหรือว่าเต้นรำ หล่อนก็สามารถแสดงได้หมดทุกอย่าง เมื่อมีงานแสดงที่โรงเรียนหล่อนก็มักจะไปลงชื่อสมัครอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าหล่อนจะไม่ค่อยชำนาญเรื่องกู่ฉิน หมากล้ม ตำราและการวาดภาพ แต่หล่อนก็กล้าที่จะแสดง
แม่ของหล่อนก็คอยให้ท้ายลูกสาวของตัวเองอยู่เสมอ ถ้ามีการแสดงอะไรก็ตามที่ลูกสาวของตัวเองตกรอบ หล่อนก็จะวิ่งแจ้นมาร้องห่มร้องไห้อ้อนวอนกับทางโรงเรียนให้ลูกสาวของตัวเองผ่านเข้ารอบให้ได้ ดังนั้นมนุษย์สัมพันธ์ภายในโรงเรียนของหลี่เหยาจึงไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก
เด็กสาวที่อยู่รอบ ๆ ต่างพากันพยักหน้า เมื่อได้ฟังเรื่องของหลี่เหยา: “หล่อนเป็นคนแบบนี้นี่เอง!”
เด็กสาวคนหนึ่งที่นั่งใกล้ ๆ กับเฝิงเสี่ยวเจี๋ยก็พูดขึ้นมาว่า “ตอนที่เจอกับแม่ของหล่อน ฉันก็รู้ได้ในทันทีเลยว่า แม่ของหล่อนต้องเป็นคนเรื่องเยอะมากแน่ ๆ”
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยรู้สึกภูมิใจที่หล่อนสามารถทำให้คนอื่นคล้อยตามคำพูดของตัวเองได้ ตอนที่หล่อนเรียนอยู่ที่โรงเรียนหล่อนไม่ชอบขี้หน้าหลี่เหลาเอาซะเลย และหล่อนก็ไม่นึกว่าหล่อนจะได้มาเรียนที่วิทยาลัยเดียวกันกับหลี่เหยา แถมยังอยู่ห้องพักเดียวกันอีกต่างหาก เมื่อเห็นว่าทุกคนคล้อยตามเรื่องที่หล่อนพูด หล่อนก็ยิ่งตีไข่ใส่สีเรื่องของหลี่เหยามากขึ้นไปอีก
“ฉันจะบอกอะไรให้นะ ตอนที่หลี่เหยาอยู่ที่โรงเรียนน่ะ หล่อนเป็นพวกชอบเรียกร้องความสนใจ ชอบตกเป็นเป้าสายตาอยู่เสมอ อีกทั้งยังแอบนัดกับพวกผู้ชายหลังเลิกเรียนทุกวันด้วย ตอนที่ครูฝ่ายปกครองจับได้ พวกเขาก็เชิญแม่ของหล่อนมาที่โรงเรียน แต่แม่ของหล่อนกลับไม่ยอมรับว่าลูกของตัวเองมีพฤติกรรมแบบนั้น แล้วแม่ของหล่อนยังดูถูกผู้ชายคนนั้นอีกว่า ลูกสาวของหล่อนไม่มีทางตาต่ำไปเอาผู้ชายที่ไม่มีอนาคตแบบนั้นหรอก” ความจริงแล้วเรื่องทั้งหมดที่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยพูดมานี้ มันเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น ถึงแม้ว่าเฝิงเสี่ยวเจี๋ยจะไม่ได้เห็นกับตาตัวเองว่าเรื่องทั้งหมดนี้มันคือเรื่องจริงรึเปล่า แต่หล่อนก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด
“อ่า ? ทำไมหล่อนเป็นคนแบบนี้ล่ะ ไม่ละอายแก่ใจบ้างเลยหรือ ? ” เฝิงเสี่ยวเจี๋ยมองไปทางเด็กสาวคนนั้นที่พูดออกมาด้วยสายตาพึงพอใจที่หล่อนสามารถทำให้เด็กสาวคนนั้นคล้อยตามได้ จากนั้นหล่อนก็พูดออกไปความภาคภูมิใจว่า “เรื่องของหล่อนยังมีมากกว่านี้อีก พูดทั้งวันก็คงไม่จบ!”
เรื่องที่หล่อนติดผู้ชายทำให้การเรียนของหล่อนแย่ลงมาก เดิมทีหล่อนสอบเข้ามัธยมปลายไม่ได้ด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่รู้ว่าหล่อนใช้วิธีการอะไร หล่อนถึงได้เข้ามาเรียนมัธยมปลายได้ แต่หล่อนก็ไม่ได้โดดเด่นอะไรมากมาย เป็นเพียงแค่เด็กมัธยมปลายธรรมดาทั่วไปเท่านั้น
“ตอนที่หล่อนเรียนมัธยมปลาย ด้วยความที่แม่ของหล่อนกลัวว่าลูกของตัวเองจะตกเป็นเป้าสายตาและไม่ได้รับความเป็นธรรม แม่ของหล่อนถึงกลับมาเช่าห้องอยู่ใกล้ ๆ โรงเรียน เพื่อที่จะได้มาดูแลหล่อนได้ ตอนเช้ามาส่งหล่อนที่โรงเรียน ตอนกลางวันก็เอาข้าวมาให้ ส่วนตอนเย็นก็มารับหล่อนกลับบ้าน ! ” เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินคำพูดที่ไม่ดีเหล่านี้ของเฝิงเสี่ยวเจี๋ย เธอก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที
ในยุคสมัยนี้พ่อแม่ที่อยู่ตามชนบทมักจะมาเรียนเป็นเพื่อนลูกของพวกเขาเสมอ พวกเขาต่างก็มาเช่าบ้านหรือห้องพักใกล้ ๆ โรงเรียนเพื่ออยู่เป็นเพื่อนลูกตลอดระยะเวลา 3 ปี บางคนอาจจะคิดว่าการที่พ่อกับแม่มาอยู่เป็นเพื่อนลูกนั้นพวกเขาทำเกินไปรึเปล่า แต่ถ้าใครไม่เป็นพ่อเป็นแม่คงไม่มีทางเข้าใจหรอก เพราะฝีปากที่จัดจ้านของเฝิงเสี่ยวเจี๋ย ทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าเธอไม่ควรไปยุ่งเกี่ยวกับหล่อน
“การที่แม่ของหล่อนไปเช่าห้องอยู่ใกล้ ๆ โรงเรียนหล่อนตั้ง 3 ปี มันเสียเงินไปไม่น้อยเลยนะ หล่อนก็น่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ ได้ไม่ใช่หรือ ? ” เด็กสาวคนหนึ่งถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยแสยะยิ้ม และพูดออกมาว่า “อีกาก็ยังเป็นอีกาอยู่วันยังค่ำนั่นแหละ มันจะกลายเป็นหงส์ได้อย่างไร ถึงแม้ว่าแม่ของหล่อนจะไปเรียนด้วยตลอดระยะเวลา 3 ปี แล้วมันจะทำอะไรได้ ? คนอย่างหล่อนสอบเข้าวิทยาลัยครูแห่งนี้ได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว ! ” เมื่อเฝิงเสี่ยวเจี๋ยพูดจบ หล่อนก็เกิดความรู้สึกไม่ดีขึ้นมาในใจ ราวกับว่าตนเองก็ไม่เก่งเช่นกันที่ได้มาเรียนที่วิทยาลัยแห่งนี้
จากนั้นหล่อนก็พึมพำออกมาว่า “ความจริงแล้วฉันก็ไม่ได้อยากจะมาเรียนที่วิทยาลัยครูแห่งนี้หรอกนะ เพราะถึงอย่างไรฐานะทางบ้านของฉันก็ร่ำรวย ฉันอยากจะไปเรียนในเมืองมากกว่า แต่แม่ของฉันน่ะสิอยากให้ฉันเป็นครู ฉันถึงต้องจำใจมาเรียนที่นี่ ทั้งที่ความจริงแล้วฉันเกลียดการเป็นครู ! ”
ติงหลงหลงที่นั่งอยู่บนเตียงฝั่งตรงข้าม เมื่อได้ยินสิ่งที่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยพูด หล่อนก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “วิทยาลัยครูไม่เหมาะกับเธออย่างนั้นหรือ ! แต่ฉันเคยได้ยินมานะว่า มีเด็กที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ พ่อแม่ก็ชอบส่งลูกให้มาเรียนที่วิทยาลัยแห่งนี้ หรือว่าเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้กันนะ ที่แม่ของเธออยากให้เธอเป็นครูมันก็ต้องมีเหตุผลสิ! ”
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยดูออกว่าติงหลงหลงเป็นคนพูดตรง และเมื่อดูจากการแต่งกาย รวมทั้งชุดเครื่องนอนของหล่อนแล้ว เธอก็รู้ได้ในทันทีว่าหล่อนต้องมาจากตระกูลที่ร่ำรวยกว่าเธออย่างแน่นอน อีกทั้งหล่อนยังอาศัยอยู่ในเมือง
คำพูดที่ติงหลงหลงพูดออกมา ทำให้เฝิงเสี่ยวเจี๋ยแสดงท่าทางอ่อนลงราวกับแพ้ชนไก่อย่างไรอย่างนั้น ไม่มีกิริยาท่าทางฮึกเหิมเหมือนอย่างตอนแรกแต่อย่างใด จากนั้นก็ยิ้มแล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ไม่ใช่อย่างนั้นนะ พ่อกับแม่ของฉันต่างก็เป็นชาวนาที่มีความซื่อสัตย์!และพวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย แม่ของฉันคิดว่าการที่ฉันมาเป็นครู ก็ถือว่าสุดยอดมากแล้ว!”
ในขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น หลี่เหยาก็เดินนำแม่ของหล่อนเข้ามาในห้องพร้อมกับยิ้มจนตาหยี เพียงแค่เดินเข้ามาในห้องหลี่เหยาก็ได้กลิ่นอาหารตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้อง หล่อนจึงขมวดคิ้วพร้อมกับพูดออกไปด้วยความไม่พอใจว่า : “ทำไมถึงมีกลิ่นอาหารในห้องนอนล่ะ ! ต้องไปกินที่โรงอาหารไม่ใช่รึไง ! ”
ในห้องนี้มีคนอยู่ทั้งหมด 6 คน มีเพียงจางฉุ้ยเหลียนและติงหลงหลงเท่านั้นที่ยังไม่ได้กินข้าว เมื่อหลี่เหยาพูดออกมาแบบนี้ 4 คนที่เหลือก็แสดงอาการไม่พอใจออกมาทันที
“กินข้าวที่นี่แล้วมันยังไง กินไม่ได้รึไง ! ” เฝิงเสี่ยวเจี๋ยที่เพิ่งสาบานว่าจะเป็นปริปักษ์กับหลี่เหยา ก็อดที่จะพูดเยาะเย้ยขึ้นมาไม่ได้
หลี่เหยาเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นจึงเบะปากแล้วพูดขึ้นมาว่า “ห้องนอนมีไว้นอนและเอาไว้อ่านหนังสือทบทวนบทเรียน ถ้ามีกลิ่นอาหารในห้องแบบนี้ ก็ถือว่าเป็นการรบกวนคนอื่น ! ”
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยปีนขึ้นไปบนเตียง จากนั้นก็นั่งลงและเริ่มหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “พูดเหมือนกับว่าเธอเป็นคนในเมืองมีอภิสิทธิ์พิเศษเหนือกว่าคนอื่นอย่างนั้นแหละ เธอก็ไม่ใช่คนในเมืองเหมือนกันนั่นแหละ ! ”
ดูเหมือนหลี่เหยาจะไม่รู้ว่าเฝิงเสี่ยวเจี๋ยเคยเป็นเพื่อนโรงเรียนเก่าของตัวเอง เมื่อได้ยินในสิ่งที่เฝิงเสี่ยวเจี๋ยพูด หล่อนก็หันไปแม่ของตัวเอง แม่ของหล่อนจึงพูดจาประชดประชันให้ท้ายลูกสาวออกไปว่า “พวกเราสองคนแม่ลูกไม่ใช่คนในเมืองแล้วไงล่ะ เธอก็เป็นนักเรียนในวิทยาลัยครูเหมือนกัน กินข้าวที่ไหน นอนที่ไหน ไม่รู้บ้างเลยหรือ ? ต่อไปนี้ถ้าจะกินข้าวก็ต้องออกไปกินที่โรงอาหาร!” เมื่อพูดจบหล่อนก็ตบไปบนไหล่ของหลี่เหยาเบา ๆ “ต่อไปลูกก็อย่าไปคบกับคนที่บ้านไม่สั่งสอนแบบนี้นะ!”
เฝิงเสี่ยวเจี๋ยพูดอย่างยิ้มแย้มว่า “ไอ้หยา กินข้าวในห้องก็หาว่าที่บ้านไม่สั่งสอน คนที่อยู่หอพักเขาก็กินข้าวในห้องกันทั้งนั้น งั้นก็แสดงว่าคนพวกนั้นก็ไม่มีใครสั่งสอนเหมือนกันน่ะสิ เธอได้รับการสั่งสอน เธอก็ออกไปอยู่ที่อื่นสิ ห้องข้าง ๆ มีเตียงว่างอยู่นะ เธอก็ย้ายไปอยู่ห้องนั้นซะสิ ! ”
แม่ของหลี่เหยาอึ้งไปเล็กน้อย เมื่อรู้สึกว่าทุกคนกำลังมองมาที่หล่อน หล่อนจึงเงยขึ้นไปมองทุกคน ซึ่งสายตาของทุกคนที่มองมาก็แสดงออกถึงความไม่พอใจ เมื่อเห็นดังนั้นหล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
ติงหลงหลงจึงหันมาพูดกับจางฉุ้ยเหลียนว่า “เธอเก็บของเสร็จแล้วใช่ไหม ? ถ้าเก็บเสร็จแล้ว ออกไปข้างนอกกับฉันหน่อยสิ!”
จางฉุ้ยเหลียนก็กำลังคิดที่จะออกไปข้างนอกอยู่พอดี เธอจึงพยักหน้าตอบตกลงแล้วทั้งสองก็พากันเดินออกไปข้างนอกทันที
“ขนาดห้องพักเล็ก ๆ แบบนี้ยังมีเรื่องกันได้ นี่เพิ่งจะเปิดเทอมวันแรกเองนะ หลังจากนี้จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอีกก็ไม่รู้!” จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า แล้วพูดพร้อมกับทอดถอนหายใจออกมา
ติงหลงหลงส่งเสียง หึ หึ ! ออกมาอย่างเย็นชา “อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้นแหละ อย่าตำหนิคนอื่นเขา ในเมื่อตัวเราก็ไม่ต่างกัน หลังจากนี้เราก็อยู่ให้ห่างจากพวกนั้นไว้ ถ้าอนาคตเกิดปัญหาขึ้นมาจริง ๆ เราก็ทำเรื่องขอย้ายหอแล้วกัน”
หลังจากที่พวกเธอทั้งสองคนกินข้าวเสร็จก็พากันเดินกลับมาที่ห้อง เมื่อเข้ามาในห้องพวกเธอก็พบว่าแม่ของหลี่เหยานั้นได้กลับไปแล้ว และบนเตียงของพวกเธอทั้งสองคนก็มีลูกแอปเปิลวางอยู่ ยังไม่ทันที่พวกเธอจะถามออกไปว่าแอปเปิลที่อยู่บนเตียงนี้เป็นของใคร หลี่เหยาก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียง จากนั้นจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงร่าเริงว่า “แอปเปิลพวกนั้นแม่ของฉันซื้อมาให้น่ะ แบ่ง ๆ กันกินนะ กินสิ มันหวานมากเลยนะ”
ติงหลงหลงหยิบแอปเปิลที่อยู่บนเตียงของเธอขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นมันคืนไปให้กับลี่เหยา “ฉันไม่ชอบกินแอปเปิล!”
การกระทำเช่นนี้สร้างความตกใจให้กับทุกคนที่อยู่ในห้องนี้ไม่น้อย ต้องบอกก่อนว่าในสมัยนี้การจะได้กินผลไม้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ที่แม่ของหลี่เหยาทำเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้ลูกสาวของหล่อนถูกใครรังแกและแม่ของหล่อนพยายามเพื่อลูกสาวมากเลยทีเดียว
หลี่เหยามองแอปเปิลที่อยู่ในมือของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ จากนั้นหล่อนก็หันไปพูดกับติงหลงหลงด้วยน้ำเสียงไม่พอใจว่า “เธอไม่ชอบกินแอปเปิลอย่างนั้นหรือ ? ทำไมล่ะ ? เธอรู้รึเปล่าว่าแอปเปิลนี่มันแพงขนาดไหน ! ”
ติงหลงหลงทำเพียงแค่ยิ้มเยาะ จากนั้นก็พลิกตัวนอนบนเตียงแล้วพูดพึมพำว่า “ถ้ามันแพงขนาดนั้นก็เก็บไว้กินเองเถอะ”
จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้กินแอปเปิลนั้นเช่นกัน เธอเอามันไปวางไว้บนตู้ระหว่างเตียงทั้งสองแทน จากนั้นเธอก็ถอดรองเท้าแล้วขึ้นไปนอนพักผ่อนบนเตียง
เมื่อหลี่เหยาเห็นดังนั้นหล่อนก็เบะปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา คนในห้องต่างก็นอนหลับพักผ่อนหรือไม่ก็อ่านหนังสือกันตามอัธยาศัย จนกระทั่งฟ้ามืดจึงเริ่มมีคนเปิดประตูออกไปเข้าห้องน้ำ
จางฉุ้ยเหลียนนอนอยู่บนเตียง เธอรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมา เรื่องแรกก็คือ เธอจะหาเงินได้ยังไงเพื่อที่เธอจะได้ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ได้อย่างราบรื่น และเรื่องที่สองก็คือเรื่องของกู้จื้อเฉิง
ตลอดชีวิตนี้เธอไม่เพียงแต่จะต้องตอบแทนบุญของคุณพ่อแม่บุญธรรมแล้วเท่านั้น เธอยังต้องดูแลกู้จื้อเฉิงด้วย แต่โชคชะตาชีวิตของเธอตอนนี้ มันได้เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว แล้วอย่างนี้เธอจะเจอกู้จื้อเฉิงได้ยังไง ?
จางฉุ้ยเหลียนพลิกตัวหันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อคิดถึงเรื่องราวในชาติก่อนของตัวเอง
ในตอนนั้นเธอได้เจอกับกู้จื้อเฉิงช่วงประมาณเดือนตุลาคม คนที่แนะนำกู้จื้อเฉิงให้กับเธอก็คืออาสะใภ้ของเขา ตอนนั้นกู้จื้อเฉิงก็เพิ่งจะออกจากโรงพยาบาล ขาของเขายังไม่หายดี อันหลงแม่ของกู้จื้อเฉิงจึงเป็นกังวลเรื่องขาของเขาว่ามันอาจจะส่งผลกระทบต่อการหาคู่ชีวิตของเขาได้
ด้วยความร้อนใจ หล่อนจึงได้ไหว้วานให้อาสะใภ้ของกู้จื้อเฉิงไปเสาะหาหญิงสาวจากทั่วทุกสารทิศ การหาสะใภ้ในครั้งนี้หล่อนก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก เพราะหล่อนแค่อยากจะหาหญิงสาวสักคนที่ไม่ถึงกับแย่มาแต่งงานกับลูกชายของหล่อนให้เร็วที่สุด เพราะหล่อนเกรงว่าเรื่องอาการบาดเจ็บที่ขาของลูกชายจะทำให้ลูกชายของหล่อนไม่สามารถหาหญิงสาวมาแต่งงานด้วยได้
สุดท้ายอาสะใภ้ของกู้จื้อเฉิงจึงได้มาพบกับเช่าหวา เพียงแค่เงินจำนวน 3,000 หยวน ก็สามารถ “ขาย” จางฉุ้ยเหลียนออกไปได้แล้ว
หลังจากนั้นไม่กี่ปี ทุกครั้งที่อันหลงทะเลาะกับจางฉุ้ยเหลียน หล่อนก็มักจะหยิบยกเรื่องนี้มาพูดอยู่เสมอว่า : “ตอนนั้นฉันไม่น่าเอาเงินมากมายขนาดนั้นไปซื้อตัวเธอมาเลยจริง ๆ ! พ่อแม่ของเธอมันหน้าเงิน แล้วเธอก็หน้าไม่อาย!”
จางฉุ้ยเหลียนคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ครั้งนี้เธอจะไม่ยอมให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้นมาได้อีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่ การที่กู้จื้อเฉิงต้องการภรรยา เขาก็ย่อมอยากได้ภรรยาที่น่าเคารพนับถือ
จางฉุ้ยเหลียนพลิกตัวลุกขึ้นนั่ง เธออยากจะลองถามติงหลงหลงดูว่าหล่อนมีความคิดอะไรดี ๆ เกี่ยวกับเรื่องหางานบ้างไหม เพราะฐานะทางบ้านของหล่อนก็ค่อนข้างดี บางทีหล่อนอาจจะพอมีลู่ทางอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้คำตอบอะไรจากติงหลงหลง แต่เธอก็อยากจะลองถามดู
ตอนนี้ติงหลงหลงกำลังนั่งอ่านหนังสือบนเตียงของตัวเอง แสงแดดที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้เสื้อเชิ้ตสีเขียวลายจุดที่หล่อนกำลังสวมใส่อยู่นั้นดูโดดเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด หล่อนกำลังกระดิกเท้าที่สวมถุงเท้าสีขาวนั่นไปมาอย่างอารมณ์ดี
หล่อนนั่งพิงผนังและวางหนังสือไว้บนตักของตัวเอง จางฉุ้ยเหลียนมองไม่เห็นใบหน้าของหล่อน แต่ก็สามารถมองเห็นหนังสือที่อยู่ในมือของหล่อนได้อย่างชัดเจน
ในตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกสนใจหนังสือที่อยู่ติงหลงหลงกำลังอ่านอยู่เป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าชาติที่แล้วเธอจะไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่ความกระหายในการอ่านหนังสือของเธอก็เพิ่มมากขึ้นทุกปี ๆ
วรรณกรรมเริ่มตีพิมพ์ในตอนที่เธออายุได้ 16 ปี ส่วนนิตยสารวัยรุ่นตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 1981 หนังสือทั้งสองเล่มนี้ต่างก็ตีพิมพ์ออกมาจนถึงปี 2012 ซึ่งเธอก็ยังซื้อมาอ่านอยู่ทุกเดือน ๆ
ดูเหมือนสวรรค์จะเปิดโอกาสให้กับจางฉุ้ยเหลียนแล้ว เธอสามารถใช้วิธีการเขียนบทความเพื่อหาเลี้ยงตัวเองได้