
1514 วันที่แล้ว
40 ปีแบบนางเอก ให้ไปตายอีกรอบ แล้วไม่ต้องเกิดใหม่มาเลยจะดีมาก คนอะไร เกิดใหม่ อายุเก่าแก่หงำละ ยังนิสัยถอดแบบเดิมมาเลย โง่
ตอนที่ 20 รายงานตัว
เป็นอย่างที่จางฉุ้ยเหลียนคิด ทุกคนต่างช่วยกันออกเงินค่าประกันตัวของจางฉุ้ยจวินคนละเล็กคนละน้อย เพราะคนในยุคช่วงสมัยนี้เป็นคนจริงใจและซื่อตรง ลูกของตนเป็นเช่นไรพวกเขาย่อมรู้อยู่แก่ใจดีและยอมรับมัน
ความเป็นพันธมิตรกันของแต่ละบ้านจึงเริ่มก่อตัวขึ้น พวกเขาต่างช่วยกันออกเงินค่ารักษาพยาบาลให้กับเด็กผู้เคราะห์ร้ายคนนั้นรวมทั้งค่าประกันตัวของจางฉุ้ยจวิน เรื่องใหญ่ขนาดนี้ตระกูลจางไม่มียอมทางกลับบ้านโดยที่ตัวเองต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
เมื่อทุกคนกลับมาถึงบ้าน สิ่งแรกที่ทุกคนเห็นก็คือ กับข้าวที่วางเรียงรายกันอยู่บนโต๊ะอาหาร ซึ่งอาหารเหล่านี้ก็เป็นฝีมือจางฉุ้ยเหลียน เมื่อเห็นดังนั้นพวกเขาจึงพร้อมใจกันนั่งลงกินข้าว หลังจากที่ไปเผชิญหน้ากับครอบครัวอื่นมา ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสามารถพูดคุยและตกลงกันได้อย่างสันติภาพ
เมื่อกินข้าวเย็นเสร็จ จางฉุ้ยเหลียนก็เดินออกมาจากบ้านของคุณลุงอย่างเงียบ ๆ เมื่อกลับมาที่บ้านของตัวเอง เธอก็เจอกับสภาพบ้านที่รกรุงรัง มีแต่ของวางระเกะระกะเรี่ยราดเต็มไปหมด เธอจึงถือโอกาสนี้เริ่มเก็บกวาดบ้านในทันที
หลังจากที่เก็บกวาดบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เธอก็กลับเข้าไปในห้องนอนเล็ก ๆ ของตัวเอง จากนั้นก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวและหลับไปด้วยความรู้สึกที่ไม่สบายใจ ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอมีที่เรียนแล้ว แต่จางฉุ้ยเหลียนก็ยังคงกังวลและนอนไม่หลับพลิกตัวกลับไปกลับมามาตลอดทั้งคืน จนกระทั่งได้ยินเสียงกรนของจางกว่างฝูดังมาจากนอกห้อง นั่นจึงทำให้จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกตัวว่าตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนที่นอนยังไงก็นอนไม่หลับ เธอจึงลุกมาจากเตียง และเดินไปหยิบกระเป๋าเดินสะพายของตัวเองที่เก็บของทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ออกมาตรวจเช็คความเรียบร้อยอีกครั้ง จากนั้นก็ค่อย ๆ เดินออกจากห้องไปเก็บผักจากในสวน แล้วกลับมาทำอาหารเช้าในครัวต่อ
ในวันนี้เช่าหวาและจางกว่างฝูไม่มีแรงลุกออกไปซื้อของมาทำซาลาเปา พวกเขาจึงได้ให้เงินกับจางฉุ้ยเหลียนเพื่อไปจ่ายตลาดซื้อของมาให้พวกเขาในตอนเช้าแทน
สองสามีภรรยาลุกขึ้นมาจากที่นอนด้วยอาการงัวเงีย พอออกมาจากห้อง พวกเขาก็เห็นอาหารเช้าที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ ตั้งรอพวกเขาอยู่บนโต๊ะอาหารเรียบร้อยแล้ว พวกเขาจึงเริ่มปรึกษาหารือกันว่าพวกเขาจะไปรับจางฉุ้ยเหลียนกลับมาด้วยการร้องไห้ฟูมฟายตอนไหนดี เพื่อที่จางฉุ้ยเหลียนจะได้ให้เงินพวกเขามาสักนิดสักหน่อย และเงินที่เหลือ ก็ได้ให้เป็นค่าขนมของจางฉุ้ยจวินด้วย
สามีภรรยายิ่งพูดก็ยิ่งฮึกเหิม พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้จะเป็นวันที่จางฉุ้ยเหลียนจะต้องไปเรียนที่วิทยาลัย
“เสี่ยวเหลียน ทำไมแกไม่นึ่งซาลาเปาล่ะ ? เดี๋ยวฉันกับพ่อแกจะออกไปรับเสี่ยวจวิน แกก็นึ่งซาลาเปาให้เรียบร้อยแล้วกัน” เมื่อเช่าหวากินข้าวเสร็จ หล่อนก็วางตะเกียบลง และออกคำสั่งกับจางฉุ้ยเหลียนทันที
“แม่ !แม่ลืมไปแล้วหรือ วันนี้เป็นวันที่หนูจะต้องไปรายงานตัวที่วิทยาลัยนะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหนูจะไปอยู่ที่วิทยาลัย หลังจากนี้พ่อกับแม่ก็ต้องนึ่งซาลาเปาเอง” จางฉุ้ยเหลียนที่กำลังจัดระเบียบเสื้อผ้าของตัวเองที่อยู่หน้ากระจก เมื่อได้ยินสิ่งที่เช่าหวาพูด เธอจึงหันมาพูดกับหล่อน
“ไอ้หยา ไหนแกลองบอกฉันมาสิว่าแกมีประโยชน์อะไรบ้าง เอาแต่บอกว่าจะไปเรียนที่วิทยาลัย ๆ อยู่นั่นแหละ แกทำให้การหาเงินเข้าบ้านล่าช้านะ ! ” เช่าหวากลอกตาไปมา ด้วยความไม่พอใจ
จางฉุ้ยเหลียนชินกับความคิดแบบนี้ของแม่ตัวเองแล้ว เธอเงยหน้าขึ้นไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง จากนั้นก็หันหลังกลับมาพูดกับทั้งสองคนว่า “พ่อ แม่ หนูต้องไปรายงานตัวแล้ว หนูไปก่อนนะ ”
จางกว่างฝูใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากคำหนึ่ง ก่อนจะเคี้ยวมันอย่างเอร็ดอร่อย เมื่อได้ยินคำพูดของจางฉุ้ยเหลียน เขาจึงปลายตามองและถามขึ้นมาว่า “อ่า แกมีเงินหรือ ? ต้องจ่ายเงินค่าเทอมรึเปล่า ? ”
ยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะตอบอะไรกลับไป เช่าหวาก็กลอกตาไปมาพร้อมกับแสยะยิ้ม “แล้วคุณมีเงินจ่ายหรือ ? ” เพราะกลัวว่าจางฉุ้ยเหลียนจะยื่นมือออกมาขอเงิน หล่อนจึงรีบพูดขึ้นไปว่า “ตอนแรกเราก็คุยกันแล้ว ถ้าแกจะเรียนต่อวิทยาลัย แกก็เรียนไป แต่แกต้องหาเงินค่าเล่าเรียนเอง ฉันเลี้ยงดูแกมาตั้ง 18 ปี ลูกสาวบ้านอื่นเขาก็แต่งงานออกเรือนเอาเงินสินสอดมาให้พ่อกับแม่กันหมดแล้ว ฉันไม่ได้ขอเงินจากแก แกก็เลยพอใจมากเลยสินะ!”
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา แต่ก็ยังพยักหน้ารับ และกล่าวออกไปด้วยความสัตย์จริงว่า “พ่อกับแม่วางใจเถอะค่ะ หลังจากที่เรียนจบจากวิทยาลัยครูแล้ว หนูจะหาคนรักที่ดีกว่าพวกหล่อนให้ได้”
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนพูดจบ เธอก็สะพายกระเป๋าเป้ของเธอและเดินออกจากบ้านไป
หลังจากที่นั่งอยู่บนรถประจำทางมาเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ในที่สุดจางฉุ้ยเหลียนก็เดินทางมาถึงวิทยาลัยครู เมื่อเธอเดินมาถึงหน้าประตูทางเข้าของวิทยาลัย เธอก็เจอกับอาจารย์ที่ออกมายืนต้อนรับนักศึกษาใหม่ที่หน้าประตู เธอจึงยื่นหนังสือแจ้งจากทางวิทยาลัยไปให้กับอาจารย์คนนั้น หลังจากที่อาจารย์คนนั้นได้รับหนังสือแจ้งจากทางวิทยาลัยของเธอไปอ่านเรียบร้อยแล้ว อาจารย์คนนั้นก็อธิบายการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ที่จางฉุ้ยเหลียนต้องทำด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า ห้องพักของจางฉุ้ยเหลียนนั้นอยู่ที่ไหน และหลังจากนี้เธอจะต้องดำเนินการอย่างไรต่อไป
จางฉุ้ยเหลียนตรงไปเก็บกระเป๋าสัมภาระที่เธอนำติดตัวมาด้วยที่ห้องพักของเธอก่อนเป็นอันดับแรก เมื่อนำสัมภาระไปเก็บที่ห้องพักของเธอเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นเธอจึงไปรายงานตัวนักศึกษาใหม่
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามาที่ห้องพักของเธอ เธอก็เห็นกับเพื่อนร่วมห้องของเธอสองสามคนนั่งอยู่ในห้องนี้ก่อนแล้ว จากนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงกวาดตามองมองไปยังเตียงนอนสองชั้นทั้งสี่เตียงที่อยู่ภายในห้อง ซึ่งเตียงชั้นล่างแต่ละเตียงก็มีคนมาจับจองเป็นเจ้าของกันหมดแล้ว เธอจึงใจต้องเลือกเตียงนอนชั้นบนที่อยู่ติดริมหน้าต่างแทน เมื่อตัดสินใจได้แล้วเธอก็นำกระเป๋าสัมภาระของเธอไปวางไว้บนเตียงนั้นทันที
“เธอ เธอมาคนเดียวหรือ ? ” เด็กสาวที่มีรูปร่างเล็กกะทัดรัดใบหน้าอวบอิ่มคนหนึ่งเดินเข้ามาถามจางฉุ้ยเหลียนด้วยความอยากรู้อยากเห็น
จางฉุ้ยเหลียนจึงพยักหน้าและตอบว่า “ใช่ ฉันมาคนเดียว”
เด็กสาวคนนั้นหัวเราะออกมา แล้วจึงถามต่อว่า “แล้วเธอไปจ่ายค่าเทอมมารึยัง รู้รึเปล่าว่าต้องไปจ่ายที่ไหน ? ”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า จากนั้นไม่นานเธอก็เห็นแม่ของเด็กสาวคนนี้เดินเข้ามา หล่อนยื่นมือไปลูบศีรษะของลูกสาวด้วยความรักใคร่ ก่อนจะยิ้มแล้วพูดขึ้นมาว่า “ลูกต้องหัดเรียนรู้จากคนอื่นบ้างนะ ดูสิว่าเธอเก่งขนาดไหนที่เธอมาวิทยาลัยคนเดียวได้”
จากนั้นหล่อนก็หันมาพูดกับจางฉุ้ยเหลียนว่า “เด็กคนนี้ชื่อหลี่เหยา หล่อนเป็นลูกสาวคนเดียวของน้าเอง หล่อนค่อนข้างที่จะคุ้นเคยกับการมีคนมาทำอะไรให้ เพราะที่บ้านหล่อนไม่ได้ทำอะไรเลย หลังจากนี้พวกเธอทั้งสองคนก็เป็นเพื่อนกันแล้วนะ ยังไงก็ต้องรบกวนเธอให้คอยช่วยเหลือหล่อนด้วย ! ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ได้ค่ะ เราต่างก็เป็นเพื่อนร่วมห้องกัน หลังจากนี้ก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกันอยู่แล้วค่ะ!”
แม่ของหลี่เหยามองไปยังเตียงชั้นล่างของจางฉุ้ยเหลียน และเห็นว่ามีเด็กสาวคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เตียงนั้น เด็กสาวคนนั้นก็มาคนเดียวเช่นกัน อีกทั้งยังไม่ได้เก็บสัมภาระของตัวเองแต่อย่างใด หล่อนจึงถามเด็กคนนั้นออกไปว่า “หนู ลูกสาวของน้าก็อยู่เตียงชั้นล่างเหมือนกับหนู น้าเห็นเด็กคนนี้เลือกเตียงชั้นบนเตียงของหนู เพื่อความสะดวก น้าอยากจะให้หนูสลับเตียงกับลูกสาวของน้าได้ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนอึ้งไปเล็กน้อย นึกไม่ถึงว่าแม่ของหลี่เหยาจะร้องขอเพื่อลูกสาวของหล่อนมากขนาดนี้ แต่แม่ของหลี่เหยาก็นึกไม่ถึงเช่นเดียวกันว่า เด็กสาวคนนั้นจะปฏิเสธหล่อนได้อย่างหน้าตาเฉยแบบนี้ “ไม่ค่ะ หนูไม่ชอบที่ตรงนั้น!”
บางทีอาจจะเป็นเพราะหล่อนคิดไม่ถึงว่าจะมีใครกล้ามาถูกปฏิเสธคำร้องขอของตัวเอง ใบหน้าแม่ของหลี่เหยาจึงได้สลดลงไปในทันที
หล่อนกัดฟันกรอด จากนั้นก็พูดออกมาอย่างไม่พอใจว่า “แล้วตำแหน่งไหนมันไม่ดีบ้างล่ะ ? ที่ตรงไหนมันก็อยู่ติดริมหน้าต่างเหมือนกันทั้งนั้น เธอก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไรสักหน่อย เธอก็แค่ย้ายที่กับลูกสาวของฉันเท่านั้นเอง ถ้าเธอไม่พอใจ ฉันก็จะเอาเตียงมาเสริมให้เธอ”
เด็กสาวที่อยู่เตียงชั้นล่างของจางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นมา พร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “คุณจะให้เตียงเสริมกับหนูอย่างนั้นหรือคะ ถ้าคุณคิดว่าเตียงตำแหน่งนี้มันดี คุณก็ไปเลือกเตียงตำแหน่งนี้ที่ห้องอื่นสิคะ!”
แม่ของหลี่เหยาส่ายหน้าไปมา พร้อมกับแสดงสีหน้าไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม ส่วนหลี่เหยาก็บุ้ยปาก ดวงตากลมโตคู่นั้นเบิกกว้าง จากนั้นหล่อนจึงหันหน้ามามองที่จางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตาน่าสงสาร หล่อนขอความช่วยเหลือจากจางฉุ้ยเหลียนด้วยการพูดว่า “ไม่งั้น เธอก็สลับเตียงกับฉันสิ”
เมื่อได้ยินดังนั้นแม่ของหลี่เหยาก็อ่อนลงในทันที จากนั้นหล่อนก็หันหน้ามาพูดกับจางฉุ้ยเหลียนด้วยสีหน้าเบิกบานใจว่า “ใช่ หนูสลับที่กับลูกสาวของน้าแล้วกันนะ เราก็ไม่ได้อยากจะรู้จักกับหล่อนอยู่แล้ว จากนี้หนูก็มาเป็นเพื่อนกับหลี่เหยานะ !”
วันแรกของการเปิดเรียนก็มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกันแล้ว จางฉุ้ยเหลียนหมดคำพูดกับสองแม่ลูกคู่นี้ในทันที แต่สุดท้ายก็เธอยิ้มออกมาแล้วพูดว่า : “คุณน้าคะ จากนี้ยังไงเราก็ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปอีกหลายปี อยู่เตียงไหนมันก็เหมือน ๆ กันแหละค่ะ หนูเองก็ชอบตำแหน่งนี้ของตัวเอง เพราะนอนตรงนี้แล้วสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ข้างนอกได้ทั่วทั้งวิทยาลัย แต่ว่าเตียงฝั่งนั้นมันอยู่ติดกับหอพักฝั่งตรงข้าม หนูไม่ชอบค่ะ!”
เดิมทีแล้วจางฉุ้ยเหลียนก็พูดออกไปอย่างนั้นเอง เพราะเธอไม่อยากที่จะสลับเตียง แต่นึกไม่ถึงเลยว่าคำพูดของเธอมันจะดึงดูดความสนใจของหลี่เหยาได้ หล่อนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า “จริงหรือ ? ”
ด้วยความที่หล่อนไม่เชื่อ หล่อนจึงปีนขึ้นมาบนเตียงของจางฉุ้ยเหลียน และหล่อนก็ได้เห็นกับตาตัวเองว่าเตียงตำแหน่งนี้มันสามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้ทั่วทั้งวิทยาลัยได้จริง ๆ หลี่เหยายืนอยู่บนเตียงพร้อมกับตะโกนบอกแม่ของตัวเองว่า : “แม่ ตรงนี้มองเห็นวิวทิวทัศน์ได้สุดลูกหูลูกตาเลย หนูมองเห็นทั่วทั้งวิทยาลัยเลย แถมยังเห็นสนามกีฬาด้วย!”
แม่ของหลี่เหยาก็พูดสนับสนุนลูกสาวของตัวเองเต็มที่ว่า : จริงหรือลูก ? ตำแหน่งตรงนี้มันดีจริง ๆ ชั้น 6 ถึงมันจะสูงไปสักหน่อย แต่มันก็โปร่งโล่งสบาย!”
หลี่เหยานั่งลงบนเตียงและเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดเอาแต่ใจว่า: “แม่ หนูจะเอาเตียงนี้”
แม่ของหลี่เหยารีบรุดขึ้นหน้ามาแล้วพูดขึ้นว่า “ไม่ได้ มันสูงเกินไป ถ้าคืนไหนที่ลูกนอนแล้วพลัดตกลงมาบนพื้นล่ะ จะทำยังไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนหมดคำพูดขึ้นมาทันที ชาติก่อนตอนที่เธอไปส่งลูกสาวของเธอที่มหาวิทยาลัย เธอยังไม่เคยเห็นแม่ลูกคู่ไหนกระเง้ากระงอดเท่าสองแม่ลูกคู่นี้มาก่อนเลย
“ไม่ หนูไม่อยากนอนเตียงนั้น มันรู้สึกไม่สบายอึดอัดยังไงก็ไม่รู้ แถมที่ตรงนั้นยังติดกับกำแพงหอฝั่งตรงข้ามอีก ตอนเช้าแสงแดดก็ส่องเข้าไม่ถึง หนูไม่ชอบ!” หลี่เหยานั่งกอดขาอยู่บนเตียง และเริ่มพูดกระเง้ากระงอดเอาแต่ใจตัวเองโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด
แม่ของหลี่เหยาเองก็หมดปัญญาเช่นกัน หล่อนจึงทำได้เพียงแค่พูดกับจางฉุ้ยเหลียนด้วยสีหน้าไม่พอใจว่า “หนู หนูช่วยย้ายเตียงกับลูกสาวของน้าหน่อยนะ ยังไงลูกสาวน้าก็อยู่เตียงชั้นล่าง ถึงยังไงเตียงชั้นล่างก็ดีกว่าเตียงชั้นบนอยู่แล้ว หนูก็ไม่ได้เสียเปรียบอะไรเลย!”
จางฉุ้ยเหลียนรีบส่ายหน้าทันที “คุณน้าคะ ถ้าหนูสลับเตียงกับลูกสาวของคุณน้าแล้ว หลังจากนี้ลูกสาวของคุณน้าอยากสลับเตียงคืนล่ะคะ? สลับไปสลับมาวุ่นวายกันพอดี! ”
หลี่เหยารีบโบกมือทันที : “เธอวางใจได้เลย ฉันจะไม่ย้ายเตียงอีกแล้ว ตอนที่เข้ามาที่ห้องนี้ตอนแรก ฉันก็เลือกเตียงนี้เหมือนกัน แต่แม่ของฉันไม่ยอม ถ้าหลังจากนี้มีใครมาขอย้ายเตียงกับฉัน ฉันก็จะไม่ยอมย้ายแน่นอน!”
จางฉุ้ยเหลียนขี้เกียจจะทะเลาะกับสองแม่ลูกคู่นี้แล้ว จึงได้แต่พยักหน้าและตอบตกลง จากนั้นแม่ของหลี่เหยาจึงได้ทำการขนย้ายชุดเครื่องนอนจากเตียงชั้นล่างขึ้นมาที่เตียงชั้นบน ระหว่างที่ขนย้ายชุดเครื่องนอนเหล่านั้น หล่อนก็พูดสั่งสอนหลี่เหยาไปด้วยสองสามประโยค
แต่สำหรับจางฉุ้ยเหลียนแล้ว มันเหมือนเป็นแค่การปลอบใจเท่านั้น หลี่เหยามีแม่ที่รักหล่อนมากขนาดนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าการที่มีแม่รักและตามใจแบบนี้เป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีกันแน่
หลังจากที่จัดเตียงเรียบร้อยแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เดินออกมาจากหอพักเพื่อไปจ่ายค่าเทอม เธอเดินออกจากประตูห้องพักมาได้ไม่กี่ก้าว เธอก็เจอกับเด็กสาวที่มีใบหน้าเย็นชาคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี เด็กสาวคนนี้เป็นเพื่อนร่วมห้องและเป็นคนที่นอนอยู่เตียงชั้นล่างของเธอเมื่อสักครู่นี้นั่นเอง จางฉุ้ยเหลียนจึงเดินเข้าไปทักทายหล่อน หล่อนจึงพยักหน้าตอบรับ ทั้งสองคนพูดคุยกันสองสามประโยคจากนั้นก็แยกกันไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเอง
เด็กสาวที่มีใบหน้าเย็นชาคนนี้มีชื่อว่าติงหลงหลง บ้านของหล่อนอยู่ไม่ไกลจากวิทยาลัยแห่งนี้ ดังนั้นจึงมาที่วิทยาลัยคนเดียว ส่วนเรื่องอื่น ๆ หล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่อย่างใด หล่อนพูดเพียงแค่แนะนำสถานที่ต่าง ๆ ภายในวิทยาลัยคร่าว ๆ ให้กับจางฉุ้ยเหลียนเท่านั้น
จางฉุ้ยเหลียนเพิ่งจะรู้ว่าวิทยาลัยแห่งนี้แตกต่างกับมหาวิทยาลัยของลูกสาสวของเธอมากเลยทีเดียว วิทยาลัยครูแห่งนี้มีสภานักศึกษาและอาจารย์ที่ปรึกษาให้แก่นักศึกษาอย่างละ 1 คนเท่านั้น สภานักศึกษารับหน้าที่ดูแลเรื่องการเรียน ส่วนอาจารย์ที่ปรึกษาทำหน้าที่ดูแลเรื่องการใช้ชีวิตภายในรั้ววิทยาลัย ตอนนี้นักศึกษาที่เข้ามาใหม่ทุกคนต้องไปจ่ายเงินที่สภานักศึกษาก่อน จากนั้นจึงไปพบอาจารย์ที่ปรึกษาของตนเองเพื่อลงทะเบียนเข้าหอพัก
การที่จางฉุ้ยเหลียนเดินมาพร้อมกับติงหลงหลงนั้น มันทำให้เธอประหยัดน้ำลายไปได้มากเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าติงหลงหลงจะไม่ได้เล่าเรื่องที่บ้านของตัวเองให้เธอฟัง แต่ดูจากการพูดคุย รวมทั้งการแต่งกายของหล่อน จางฉุ้ยเหลียนก็รู้ได้ในทันทีว่าฐานะทางบ้านของติงหลงหลงจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
“เอ่อ ก่อนที่จะออกมาจากหอพัก ฉันสลับเตียงกับหลี่เหยาแล้วนะ” จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าเธอควรจะบอกเรื่องนี้ให้ติงหลงหลงทราบ เพราะเมื่อสักครู่นี้ที่เธอสลับเตียงกับหลี่เหยา ติงหลงหลงไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วย
“อ่อ ไม่เป็นไรหรอก แม่ของหล่อนก็แค่ต้องการพูดกวนอารมณ์ฉันเท่านั้นแหละ และฉันก็ไม่ได้สนใจหล่อนด้วย!” ติงหลงหลงยักไหล่อย่างไม่แยแส จากนั้นก็ตบไปบนไหล่ของจางฉุ้ยเหลียน : “เธอเองก็เหมือนกัน อย่าเป็นคนดีให้มันมากนัก ถ้าเธอยังเป็นคนดีอยู่แบบนี้ถ้าไม่มีคนจ้องจะเล่นงานเธอ เธอก็จะกลายเป็นคนใช้!”
จางฉุ้ยเหลียนอยากยกนิ้วชื่นชมเด็กสาวคนนี้จริง ๆ นี่ก็เป็นสิ่งที่เธอนั้นเป็นกังวลอยู่เหมือนกัน จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าถ้าติงหลงหลงอยู่ให้เหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ด้วย หล่อนก็จะไม่เห็นด้วยกับการที่เธอสลับเตียงกับหลี่เหยาแน่นอน
เธอใช้ชีวิตมามากว่า 40 ปีแล้ว แต่เธอก็เพิ่งจะมาเข้าใจหลักเหตุผลเมื่อไม่นานมานี้เอง เธอนึกไม่ถึงว่าเด็กสาวที่มีใบหน้าเย็นชาและอายุไม่ถึง 20 ปีคนนี้ จะจัดการแก้ไขปัญหาตรงหน้าได้อย่างง่ายดายแบบนี้ เมื่อเธอได้เจอกับติงหลงหลง เธอก็คิดว่าการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ นั้นคงไม่เกี่ยวกับอายุ แต่มันเกี่ยวข้องกับอีคิวในการแก้ปัญหาที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของแต่ละคนมากกว่า
หลังจากที่ทั้งสองคนจัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว พวกเธอก็พากันไปซื้อถังน้ำและของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน เมื่อพวกเธอทั้งสองกลับมาถึงหอพัก พวกเธอก็เห็นคนยืนออกันเต็มหน้าประตูหอพักเต็มไปหมด อีกทั้งยังมีคนมากมายเดินออกมาจากโรงอาหาร แต่เมื่อเข้ามาในห้องพักหลี่เหยาและแม่ของหล่อนก็ไม่ได้อยู่ในห้องนี้แล้ว
40 ปีแบบนางเอก ให้ไปตายอีกรอบ แล้วไม่ต้องเกิดใหม่มาเลยจะดีมาก คนอะไร เกิดใหม่ อายุเก่าแก่หงำละ ยังนิสัยถอดแบบเดิมมาเลย โง่