ตอนที่ 17 เมื่อมีโอกาส โชคชะตาก็อาจเปลี่ยนแปลง
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่านี่เป็นวิธีการพูดปลอบประโลมของตงลี่หวา เธอจึงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็เดินไปปลดกระเป๋าที่เธอสะพายอยู่ออก แล้วส่งมันไปให้กับตงลี่หวา “หนูขออยู่ที่นี่จนกว่าจะเปิดเทอมนะคะ ถ้าเปิดเทอมแล้วหนูก็จะกลับไปเรียน!”
จางฉุ้นเหลียนคิดว่าในเมื่อพวกเขาคอยปกป้องและห่วงใยเธอขนาดนี้ เธอก็จะลองพยายามดูสักครั้ง ถึงแม้ว่าสุดท้ายมันจะทำให้เธอต้องผิดหวัง แต่อย่างน้อยเธอก็ยังได้พยายาม
เมื่อตงลี่หวาเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนนำเสื้อผ้าติดตัวมาด้วย หล่อนจึงคลี่ยิ้มออกมา ก่อนจะหันไปพูดกับเซี่ยจวินว่า : “เมื่อเช้าไปตลาด ทำไมไม่ซื้อเสื้อผ้าให้ลูกสักสองสามชุดล่ะ!”
เซี่ยจวินกลอกตาไปมา เมื่อเขาเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้าไปในห้องแล้ว เขาจึงพูดกับภรรยาว่า “เราสองคนจะไปมีกะจิตกะใจซื้ออะไรได้ล่ะ ? ”
ตงลี่หวาก็ได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา : “ไอ้หยา สงสารลูกจริง ๆ !”
เซี่ยจวินเดินเข้าไปในครัว จากนั้นเขาก็มองไปรอบ ๆ ก่อนจะเดินไปบอกจางฉุ้ยเหลียนในห้องของเธอว่า “ฉุ้ยเหลียน ลูกไปเก็บผักในสวนมาให้พ่อหน่อยนะ แล้วก็ล้างแตงกวา กระหล่ำปลี ผักกาดหอม ผักชี เสร็จแล้วก็ช่วยหั่นมันฝรั่งกับพริกไว้ให้พ่อหน่อย พ่อยังคุยกับแม่ไม่เสร็จ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น จางฉุ้ยเหลียนก็เดินเข้าไปเก็บผักในสวน เธอเก็บผักไปด้วยฮัมเพลงไปด้วยอย่างอารมณ์ดี หลังจากที่เซี่ยจวินใช้ให้จางฉุ้ยเหลียนออกไปเก็บผักเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปพูดกับตงลี่หวาด้วยเสียงเบา ๆ ว่า : “ฉันไปที่บ้านตระกูลจางมา ยังไม่ทันจะได้เข้าไปก็เจอภรรยาของจางกว่างฝูเข้าเสียก่อน!”
ตงลี่หวาเงยหน้าขึ้น แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “เจอแล้วยังไง คุณได้ต่อว่าหล่อนไปบ้างรึเปล่า? หล่อนมันจิตใจดำอำมหิต ฉุ้ยเหลียนก็ออกจะเป็นเด็กดี แล้วดูที่หล่อนเลี้ยงลูกของเราสิผอมจนเห็นโครงกระดูกแบบนี้ได้ยังไง คุณดูคางของลูกสิ เหมือนกับใบมีดปลายแหลมเข้าไปทุกที ๆ หลังจากที่เห็นร่างกายที่ซูบผอมของลูกแบบนั้นแล้ว คุณว่าจะมีครั้งไหนไหม ที่ฉันกลับมาจากในเมืองแล้วจะไม่ร้องไห้ !”
เซี่ยจวินก็ได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา : “ตอนที่เจอหล่อน ฉันก็พูดกับหล่อนไปว่าเหตุผลที่ฉันมาที่นี่ก็เพราะอยากจะมาหาจางฉุ้ยเหลียน เพราะฉันได้ยินมาว่าจางฉุ้ยเหลียนได้รับหนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยแล้ว ฉันอยากรู้ว่าลูกสอบติดมหาวิทยาลัยรึเปล่า แต่หล่อนกลับโกหกฉันหน้าด้าน ๆ ว่าจางฉุ้ยเหลียนเรียนไม่เอาไหน สอบไม่ติดมหาวิทยาลัย เมื่อเห็นว่าหล่อนโกหก ฉันทนไม่ไหวจึงพูดออกไปว่าฉันรู้ความจริงทุกอย่างหมดแล้วว่าพวกเธอเป็นคนเผาหนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยของจางฉุ้ยเหลียน เมื่อหล่อนได้ยินก็ทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก อีกทั้งยังไม่ยอมบอกเรื่องที่ลูกชายของหล่อนเป็นคนเผาหนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยของจางฉุ้ยเหลียนด้วย เมื่อเห็นดังนั้นฉันจึงบอกหล่อนไปว่าถ้าหล่อนไม่ยอมให้ลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เงินที่ฉันส่งให้จางฉุ้ยเหลียนตลอด 6 ปีที่ผ่านมา ต้องมาคิดบัญชีย้อนหลังกันแล้วล่ะ ตอนที่หล่อนได้ยินว่าต้องคืนเงิน หล่อนก็หน้าเสียทันทีและรีบพูดออกมาว่าหล่อนไม่ได้มีความคิดที่จะไม่ให้จางฉุ้ยเหลียนเรียนต่อมหาวิทยาลัยเลยแม้แต่นิดเดียว และยังบอกอีกว่าฉันมาที่บ้านของหล่อนได้เวลาเหมาะเจาะจริง ๆ เพราะหล่อนกำลังจะให้ฉุ้ยเหลียนมาหาเราที่บ้านพอดี!คุณดูความหน้าด้านของหล่อนสิ!”
ตงลี่หวาทอดถอนใจออกมา “ฉันรู้มานานแล้วล่ะ ว่าหล่อนเป็นคนยังไง !ตอนที่เห็นฉุ้ยเหลียนร้องไห้มาหาเราแบบนั้น ฉันก็รู้แล้ว”
“หล่อนเป็นแม่ผู้ให้กำเนิด ทำไมถึงไม่อยากให้ลูกได้ดีกันนะ นี่ขนาดว่าหล่อนมีลูกแค่ 2 คนยังลำเอียงถึงขนาดนี้ แล้วถ้าหล่อนมีลูก 8 ถึง 10 คน เหมือนคนอื่น ๆ ล่ะ หล่อนจะลำเอียงขนาดไหน!เพราะหล่อนไม่ได้เลี้ยงจางฉุ้ยเหลียนมาตั้งแต่เกิด มันจึงทำให้หล่อนไม่เกิดความรู้สึกรักและผูกพันอย่างนั้นหรือ แต่ถึงอย่างไรจางฉุ้ยเหลียนก็ยังเป็นลูกของหล่อน หล่อนจะปฏิบัติกับลูกดี ๆ ไม่ได้เลยหรือ ? ”
ตงลี่หวาส่ายหน้าอย่างปลงอนิจจัง “ปากคนเรามันจะพูดอย่างไรก็ได้ หล่อนหลอกให้จางฉุ้ยเหลียนกลับไปอยู่กับหล่อน ตอนที่ลูกอยู่กับเราร่างกายของลูกยังอ้วนท้วมสมบูรณ์แข็งแรงอยู่เลย แต่พอลูกกลับมาหาเราอีกครั้งหลังจากที่ผ่านไปแล้ว 6 ปี ลูกก็กลายเป็นไก่ตัวน้อยร่างกายผอมแห้งไปซะอย่างนั้น” เพราะเหตุนี้ในแต่ละมื้อตงลี่หวาจึงทำอาหารเป็นจำนวนมากให้จางฉุ้ยเหลียนได้กิน เพื่อให้ร่างกายของจางฉุ้ยเหลียนกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“ลูกกลับไปเรียนที่โรงเรียนคราวนี้ ให้ลูกอยู่หอพักของโรงเรียนเถอะ ค่าใช้จ่ายมันจะสักเท่าไหร่กันเชียว คุณก็จะได้ทำอาหารไปส่งให้ลูกด้วย! ” เซี่ยจวินที่กำลังนั่งยอง ๆ อยู่กับพื้นพูดในสิ่งที่เขาคิดออกมา
ตงลี่หวาเองก็พยักหน้าเห็นด้วยเช่นกัน “ฉันก็กำลังจะพูดเรื่องนี้กับคุณอยู่พอดี !ฉันคิดเรื่องนี้มาทั้งวันแล้ว ถ้าเกิดว่าในโรงเรียนไม่มีหอพักเหลือแล้วจริง ๆ ฉันก็จะเป็นคนไปหาหอพักใกล้ ๆ โรงเรียนให้ลูกเอง และฉันก็จะทำอาหารไปส่งให้ลูกทุกวัน วันละ 3 มื้อด้วย แบบนี้ลูกก็จะได้อยู่ที่โรงเรียน และไม่ต้องถูกทรมานเหมือนอยู่ที่บ้าน” สองสามีภรรยาช่วยกันคิดหาวิธีเพื่อให้จางฉุ้ยเหลียนนั้นได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
“ไอ้หยา มีความสุขกันจังเลยนะ ” สามคนพ่อแม่ลูกมานั่งย่างเนื้อกันอยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน มันจึงดึงดูดความสนใจให้กับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
จางฉุ้ยเหลียนมองไปยังหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาด้วยความรู้สึกที่คุ้นเคย แต่นึกเท่าไหร่เธอก็นึกไม่ออกว่าหล่อนเป็นใคร
หญิงสาวที่กำลังเดินเข้ามา มองพิจารณาจางฉุ้ยเหลียนตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า : “เธอคือจางฉุ้ยเหลียนใช่ไหม ? ”
เซี่ยจวินพยักหน้าตอบ แล้วจึงถามผู้หญิงคนนั้นออกไปว่า : “กินข้าวมารึยังล่ะ? มากินด้วยกันก่อนสิ!”
หญิงสาวคนนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า : “ไอ้หยา ฉันกินข้าวมาแล้วล่ะ ถ้ารู้เร็วกว่านี้ว่าบ้านของพวกพี่จะย่างเนื้อกัน ฉันก็คงไม่ทำอาหารหรอก!”
ตงลี่หวาคลี่ยิ้ม พร้อมกับพูดกับจางฉุ้ยเหลียนว่า : “ฉุ้ยเหลียนไปหยิบถ้วยกับตะเกียบมาให้คุณน้าสิ!”
จางฉุ้ยเหลียนที่เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าคนที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้าของเธอนั้นเป็นใคร ก็ได้รีบเดินไปหยิบถ้วยกับตะเกียบมาให้หล่อนทันที : “นี่ค่ะ คุณน้า”
หลี่หงมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยใบหน้าที่ไม่เป็นมิตร ก่อนจะถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า “เธอมาทำอะไรที่นี่ล่ะ ? เธอกลับบ้านไปอยู่กับแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอแล้วไม่ใช่หรือ ? ”
ตงลี่หวาที่เห็นจางฉุ้ยเหลียนมีสีหน้าลำบากใจ จึงขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้นมาว่า : “พวกเราเป็นคนไปรับลูกกลับมาเอง ช่วงนี้ลูกปิดเทอม ก็เลยให้มาอยู่ที่บ้านกับเราสักสองสามวันน่ะ!”
หลี่หงเบะปาก ก่อนจะพูดว่า : “พวกพี่นี่มีความสุขกันจริง ๆ เลยนะ นี่เนื้อวัวใช่ไหม? เดี๋ยวฉันกลับบ้านไปเรียกลูกชายของฉันให้มากินด้วยกันดีกว่า เพราะเขาชอบกินเนื้อวัวมาก!”
สองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา จางฉุ้ยเหลียนเองก็ไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมาเช่นเดียวกัน ทางด้านหลี่หง หล่อนก็กินไปด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่น และในระหว่างที่กินอยู่นั้น ก็ไม่รู้ว่าหล่อนส่งสายตาเขม่นใส่จางฉุ้ยเหลียนไปกี่ครั้งแล้ว
หลังจากที่กินเสร็จ จางฉุ้ยเหลียนก็ออกไปรดน้ำที่สวนผัก เธอถือฝักบัวรดน้ำใบหนึ่ง จากนั้นจึงเดินไปตักน้ำ เมื่อตักน้ำใส่ฝักบัวจนเต็มแล้ว เธอก็เดินไปรดน้ำที่แปลงผัก
ขณะที่เธอกำลังรดน้ำผักอยู่นั้น เธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะลาง ๆ ดังมาจากในบ้าน ไม่นานนักเธอก็เห็นเซี่ยจวินที่เดินออกมา จากนั้นเขาก็แจ้งข่าวดีกับเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มว่า “เมื่อกี้พ่อโทรไปหาเพื่อน เขาบอกว่าเขารู้จักกับอธิการบดีวิทยาลัยครู แล้วเขายังบอกอีกนะว่าอธิการบดีวิทยาลัยครู ท่านรู้มาว่าลูกสอบได้คะแนนดี แต่น่าเสียดายที่หนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยของลูกถูกเผา ท่านจึงอยากจะช่วยให้ลูกได้เรียนต่อ พ่อก็เลยจะมาถามลูกว่า ลูกอยากจะไปหาอธิการบดีวิทยาลัยครูกับพ่อไหม!”
จางฉุ้ยเหลียนตกอยู่ในอาการนิ่งอึ้งในทันทีจากข่าวที่เธอได้รับ ขณะเดียวกันนั้นเองตงลี่หวาก็เดินเข้ามาจับมือของจางฉุ้ยเหลียนไว้ด้วยความดีใจ “วิทยาลัยครูก็ดีนะลูก ถึงแม้ว่าความจริงแล้วลูกจะต้องได้เรียนมหาวิทยาลัย แต่ว่าพอลูกเรียนจบ ลูกก็ยังหางานทำได้ ไปเป็นครูสอนเด็กประถมก็ไม่แย่นะ”
“แล้วจะเป็นครูสอนเด็กอนุบาลได้ไหมคะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนถามออกไปด้วยความอยากรู้ เซี่ยจวินจึงอดที่จะยื่นมือออกไปลูบหัวของลูกสาวไม่ได้ “ถ้าลูกจะเป็นครูสอนเด็กอนุบาล ลูกก็ต้องจบปริญญาตรี”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้ารับด้วยความดีใจ “ได้ค่ะ!”
ถึงแม้ว่าตงลี่หวาจะดีใจ แต่หล่อนก็อดที่จะรู้สึกเสียดายไม่ได้ “ลูกสาวของแม่สอบได้คะแนนสูงขนาดนี้ ถ้าได้เรียนมหาวิทยาลัยก็คงจะดี ถึงแม้ว่าจะเป็นวิทยาลัยครูก็เถอะ ไอ้หยา น่าเสียดายจริง ๆ !”
จางฉุ้ยเหลียนโผเข้าไปกอดตงลี่หวาแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ เดิมทีมันก็เป็นชะตาของหนูอยู่แล้ว !อีกอย่างหลังจากที่หนูเรียนจบและได้ทำงาน หนูก็ยังมีเวลาทบทวนอ่านหนังสือเพื่อไปสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้!”
เมื่อเซี่ยจวินได้ยินดังนั้น เขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ดี !การที่ลูกสาวของพ่อมองการณ์ไกลแบบนี้ เป็นเรื่องที่ดี แต่ว่าตอนนี้ลูกจะต้องเข้าเรียนที่วิทยาลัยครูก่อน พอจบออกมาก็ไปทำงาน แล้วถ้าลูกยังอยากจะเรียนต่อมหาวิทยาลัย ลูกก็ค่อยไปสอบอีกทีก็ยังไม่สาย”
แม้แต่หลี่หงที่ไม่ได้เดินเข้ามาในบ้าน หล่อนก็ยังได้ยินเสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของสามคนพ่อแม่ลูกได้อย่างชัดเจน หล่อนจึงแผดเสียงถามออกไปว่า “มีเรื่องอะไรกันอย่างนั้นหรือ พวกพี่ถึงได้ดีใจกันขนาดนี้ ? ”
ตงลี่หวาจึงพูดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจว่า “อ่อ ฉุ้ยเหลียนของเราได้เข้าเรียนวิยาลัยแล้วน่ะ เธอว่าเราควรจะดีใจไหมล่ะ!”
หลี่หงจึงยิ้มเยาะออกมา “งั้นหรือ? ไหนว่าเข้าเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้แล้ว ? ”
ตงลี่หวาเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยความภูมิใจว่า “มันก็ใช่ แต่ลูกของเราเรียนเก่ง อธิการบดีวิทยาลัยครูก็เลยให้ลูกของเราไปเรียนที่นั่น”
หลี่หงยิ้มอย่างเย็นชา “วิทยาลัยครู ก็ต้องย้ายไปอยู่ในเมืองน่ะสิ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนรู้สึกว่าคุณน้าคนนี้ตั้งตนเป็นศัตรูกับเธออย่างไม่ทราบสาเหตุ โดยที่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเธอไปล่วงเกินอะไรหล่อนไว้ตอนไหน เธอจึงได้แต่ก้มหน้าลงและไม่พูดอะไร หลี่หงกลอกตาไปมา จากนั้นหล่อนจึงหันไปมองทางตงลี่หวาแล้วพูดว่า “บ้านพี่ยังมีข้าวโพดเหลืออยู่รึเปล่า ? ฉันจะเอาไปต้มกินพรุ่งนี้ ที่บ้านฉันมันเหลืออยู่ถ้วยเดียว มันไม่พอกิน!”
ตงลี่หวาพยักหน้า “มีสิ เธอเอาไปได้เลย!” หลี่หงกวาดตามองเข้าไปในบ้าน ก่อนจะส่งเสียงจิ๊จ๊ะออกมา จากนั้นจึงเดินออกไป
หลังจากที่หลี่หงเดินออกไปได้ไม่นาน ลูกชายของหล่อนก็เดินเข้ามา เมื่อเขาเดินเข้ามาในบ้านเขาก็ตะโกนเรียกเซี่ยจวินที่กำลังดูโทรทัศน์เสียงดังทันที “คุณอาสาม!”
เซี่ยจวินถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ : “อือ แกมาทำอะไร ? ”
เด็กคนนั้นพูดขึ้นมาอย่างไม่มีความเกรงใจว่า “แม่ผมบอกว่าบ้านคุณอามีของอร่อย ผมก็เลยมาที่นี่!”
จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมาโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา และคิดในใจว่าหลี่หงเป็นคนตรงมากจริง ๆ
เซี่ยจวินหยิบขนมตรงชั้นวางทีวีออกมา จากนั้นก็ยื่นมันไปให้กับเด็กน้อยคนนั้น : “เอาไปกินสิ!”
เด็กคนนั้นรับขนมมากอดไว้ จากนั้นก็เดินมายืนมองพิจารณาจางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตาอยากรู้อยากเห็น จางฉุ้ยเหลียนจึงคลี่ยิ้มแล้วถามว่า “นายมองหน้าฉันทำไม ? ”
เด็กคนนั้นไม่ตอบอะไร นอกจากถลึงตาใส่จางฉุ้ยเหลียนแล้วจึงเดินจากไป แต่ไม่นานเขาก็ย้อนกลับเข้ามาอีกครั้ง พร้อมกับนำถุงขนมที่เขากินหมดแล้วมาคืน
เขายืนตะโกนบอกเซี่ยจวินอยู่หน้าประตูบ้านว่า “คุณอาสาม ผมหิวแล้ว!”
เซี่ยจวินถามขึ้นด้วยความประหลาดใจว่า : “เมื่อกี้ก็กินขนมไปตั้งครึ่งห่อแล้วยังหิวอีกหรือ ? ”
เด็กน้อยทำปากมุ่ย “ผมอยากกินเนื้อ แม่บอกว่าคุณอาย่างเนื้อให้พี่สาวคนนั้นกิน แต่คุณอาไม่เหลือไว้ให้ผม!” เด็กน้อยชี้นิ้วไปทางจางฉุ้ยเหลียนด้วยความโกรธ จากนั้นเขาก็เดินมายืนประจันหน้ากับจางฉุ้ยเหลียน โดยไม่สนเซี่ยจวินเลยแม้แต่น้อย
เซี่ยจวินขมวดคิ้ว “แม่แกไปพูดอะไรไร้สาระให้แกฟังอีกล่ะ!”
เด็กน้อยคนนั้นล้มตัวลงไปบนพื้นและเริ่มกลิ้งตัวไปมาอย่างไม่ยอม “ไม่เอา ไม่เอา ผมจะกินเนื้อ”
สิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนเกลียดมากที่สุดก็คือเด็กดื้อเอาแต่ใจ เมื่อเห็นท่าทางเอาแต่ใจของเด็กน้อยคนนี้แล้ว เธอจึงเดินลงมาจากเตียงและเข้าไปดึงตัวของเด็กคนนั้นให้ลุกขึ้นมา จากนั้นเธอก็ชี้นิ้วไปที่หน้าของเด็กคนนั้นและพูดออกไปเสียงดังว่า “ฉันจะบอกอะไรนายให้นะ คุณอาสามของนายน่ะเก็บเนื้อย่างไว้ให้นายแล้ว แต่แม่นายนั่นแหละที่เป็นคนกินส่วนของนายไป และตอนนี้ก็ไม่มีเนื้อย่างเหลือแล้ว ! ”
เด็กคนนั้นตะโกนออกมาอย่างดื้อรั้นว่า “ฉันไม่เชื่อ เธอโกหก!”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา “แม่นายไม่ได้บอกนายรึไงว่าฉันเป็นนักศึกษา ? นักศึกษาไม่เคยโกหกใคร!ฉันเป็นคนเอาถ้วยกับตะเกียบมาให้แม่ของนายเองกับมือ ฉันจะไม่รู้ได้ยังไง กลับบ้านไปซะ แม่นายแอบกินมาเนื้อย่างที่บ้านของเราโดยที่ไม่บอกนาย ไหนนายลองบอกมาสิว่าใครกันแน่ที่โกหกนาย! ”
“ฉุ้ยเหลียน !” เซี่ยจวินนั้นรู้ว่าญาติของตัวเองเป็นคนอย่างไร เขาจึงคิดว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องไปสนใจคนแบบนั้น
“นายลองคิดดูนะว่า แม่นายเคยโกหกนายรึเปล่า ถ้าแม่นายไม่เคยโกหกนายเลยสักครั้ง นายไม่ต้องเชื่อคำพูดของฉันก็ได้นะ แต่ฉันเคยโกหกนายหรือ ? แล้วทำไมฉันจะต้องโกหกนายด้วย ? ฉันบอกแล้วว่าฉันเป็นนักศึกษา นายก็รู้ว่านักศึกษาหมายความว่ายังไง!” เด็กในยุคสมัยนี้ให้ความเคารพต่อนักศึกษามหาลัยเป็นอย่างมาก นั่นจึงทำให้เธอยกเหตุผลนี้มาพูดโน้นน้าวเด็กชายนิสัยไม่ดีคนนี้ เมื่อได้ยินสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนพูดเขาก็วิ่งออกไปจากบ้านทันที ด้วยความรู้สึกที่เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เมื่อจัดการกับเด็กนิสัยไม่ดีเรียบร้อยแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็เดินไปหยิบมีดมาหั่นแตงโม เมื่อเซี่ยจวินเห็นว่าเธอกำลังหั่นแตงโมอยู่ เขาก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกลืนไม่เข้าคายไม่ออกว่า “ลูกยังมาหั่นแตงโมให้พ่อกินอีกหรือ? แค่ลูกทำอาหารให้พ่อกับแม่กินก็ถือว่ารบกวนลูกมากแล้วนะ!”
จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะออกมาพร้อมกับพูดว่า “ที่หนูหั่นแตงโมพวกนี้ ก็เพราะจะเก็บเปลือกแตงโมไว้ทำเป็นอาหารเย็นวันพรุ่งนี้น่ะค่ะ”
ตงลี่หวาเดินเข้ามาในห้องก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “เปลือกแตงโมกินได้ด้วยหรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า “กินได้ค่ะ นำส่วนที่เป็นเนื้อสีขาวมาหั่นเป็นเส้น ๆ แล้วใส่น้ำส้มสายชูลงไป รสชาติของมันจะทำให้รู้สึกสดชื่นค่ะ หรือไม่ก็เอาไปสับเป็นไส้เกี๊ยว ก็อร่อยเหมือนกันนะคะ !”
ในขณะที่จางฉุ้ยเหลียนกำลังพูดอยู่นั้น หลี่หงก็พาลูกชายของเธอเดินมาที่บ้านของตระกูลเซี่ย หล่อนจะมาถามพวกเขาว่าทำไมถึงพูดกับลูกชายของหล่อนแบบนั้น แต่พอหล่อนเดินมาถึงหน้าประตูบ้านตระกูลเซี่ย หล่อนก็พบว่าประตูบ้านถูกล็อคเรียบร้อยแล้ว หล่อนจึงเคาะที่ประตูพร้อมกับตะโกนเรียกคนในบ้านออกไปสองสามครั้ง แต่ก็ไม่มีใครออกมาเปิดประตูแต่อย่างใด
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครออกมาเปิดประตู หลี่หงจึงลากลูกชายของตัวเองกลับบ้านไปด้วยอารมณ์โกธร ไม่นานก็มีเสียงร้องไห้ของเด็กคนนั้นดังลอยมาแต่ไกล
ตงลี่หวาที่อยู่ในบ้านจึงพูดขึ้นมาอย่างจนปัญญาว่า “หลี่หงนี่นะ ทำเกินไปแล้วจริง ๆ!”
จางฉุ้ยเหลียนเองก็นึกไม่ถึงเหมือนกันว่าผู้หญิงคนนั้นจะมาถึงหน้าบ้านขนาดนี้ : “หล่อนต้องการอะไรกันแน่ ? ”
เซี่ยจวินยิ้มเยาะ “ไอ้หยา หล่อนก็เป็นแบบนี้แหละ ไม่เคยอ่อนข้อให้ใคร จนกว่าคนที่ทำให้หล่อนทุกข์ จะทุกข์มากกว่าหล่อน”
จางฉุ้ยเหลียนหมดคำพูดขึ้นมาทันที นึกไม่ถึงเลยว่านิสัยหลี่หงและลูกชายของหล่อนจะเหมือนกับแม่ผู้ให้กำเนิดและน้องชายของเธอมากขนาดนี้ แต่หลี่หงนั้นเป็นคนฉลาด สวย ทำงานเก่ง และมีความกระตือรือร้นมากกว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอ
“ฉุ้ยเหลียน วันนี้ก็เข้านอนเร็วหน่อยนะ พรุ่งนี้ลูกต้องไปวิทยาลัยครูในเมืองกับพ่อ ลูกต้องเข้าเรียนที่นี่ให้ได้!”