px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 15 ทำกับข้าว


ตอนที่ 15 ทำกับข้าว

 

ตงลี่หวารีบไปลากตัวสามีของหล่อนกลับมาทันที จากนั้นก็พูดโน้มน้าวเขาไปว่าอย่าพึ่งทำอะไรบุ่มบ่ามเลย รอจัดการกับเรื่องของลูกให้เสร็จก่อน แล้วค่อยว่ากันเรื่องของตระกูลจางอีกทีก็ยังไม่สาย

 

ลูกค้าที่ยืนดูเหตุการณ์อยู่ ก็พูดขึ้นมาเช่นกัน “ถึงจะไปหาพวกเขาตอนนี้ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก มาจัดการเรื่องของเด็กกันก่อนเถอะ ว่าจะทำยังไงต่อไปดี”

 

เซี่ยจวินพูดขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว “สองสามีภรรยาตระกูลจางนี่มันจริง ๆ เลย ในเมื่อเลี้ยงดูไม่ได้แล้วจะเอาตัวลูกกลับไปทำไม ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนนอนอยู่บนเตียงอย่างน่าสงสาร เธอนอนมองทั้งสามคนพูดคุยกันอยู่ข้าง ๆ ตอนนี้สภาพจิตใจของเธอดีขึ้นมากแล้ว เธออยากจะพูด แต่ก็ไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดี

 

ตงลี่หวาปล่อยให้จางฉุ้ยเหลียนนอนพักอยู่ในห้อง จากนั้นหล่อนก็ไล่ให้เซี่ยจวินให้ออกไปทำงานข้างนอกต่อ ส่วนหล่อนก็ออกไปหาซื้อผักที่ตลาด เพื่อเตรียมทำอาหารอร่อย ๆ ให้กับจางฉุ้ยเหลียนกิน

 

เมื่อคนที่ตลาดเห็นตงลี่หวาเดินเข้ามาในตลาดแห่งนี้ ทุกคนต่างก็ตกใจไปตาม ๆ กัน เพราะเป็นเรื่องยากมากที่จะเห็นตงลี่หวามาปรากฎตัวที่ตลาดแห่งนี้ แม่ค้าคนหนึ่งจึงอดไม่ได้ที่จะถามตงลี่หวาออกไปว่า “ที่บ้านมีแขกมาอย่างนั้นหรือ ? ”

 

ตงลี่หวาพยักหน้า “อื้อ ลูกของฉันกลับมาที่บ้านน่ะ

 

คนในตลาดต่างพากันนิ่งงันไปทันที บางคนก็อดที่จะถามขึ้นด้วยความอยากรู้ไม่ได้ว่า “เธอไม่มีลูกไม่ใช่หรือ ? ”

 

ตงลี่หวาคลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดว่า “ก็เด็กที่ฉันรับมาเลี้ยงนั่นแหละ

 

แม่ค้าเจ้าของร้านขายเนื้อ หล่อนหั่นเนื้อไปพลางถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นไปพลางว่า “ไม่ใช่ว่าหล่อนถูกแม่ผู้ให้กำเนิดพาตัวกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วไม่ใช่หรือ ? ฝั่งนั้นเขาไม่เลี้ยงหล่อนแล้วอย่างนั้นหรือ ? ”

 

ตงลี่หวาจึงส่ายหน้าปฏิเสธ “ก็ไม่ได้อยากให้กลับไปหรอก แต่เพราะหล่อนต้องเข้าเรียนชั้นมัธยม แถมบ้านของพวกเขาก็อยู่ใกล้ตัวเมือง ถ้าไม่ใช่เพราะอยากให้ลูกได้เรียนโรงเรียนดี ๆ ล่ะก็ ยังไงฉันก็ไม่มีวันยอมให้กลับไปหรอก”

 

ทุกคนที่เพิ่งจะรู้ความจริง ต่างก็มองไปทางตงลี่หวาด้วยสายตาที่สับสน ส่วนทางด้านตงลี่หวา หล่อนก็ไม่ได้สนใจเลยว่ามีใครจะมองหล่อน เพราะหล่อนมัวแต่วุ่น ๆ อยู่กับการเลือกซื้อเนื้อ ผัก และผลไม้อย่างมีความสุข

 

“หึ หึ ! ดูท่าเธอจะดีใจมากเลยนะ ซื้อของไปเยอะแยะขนาดนี้ ! ” หญิงสาวร่างอวบอ้วนเจ้าของร้านขายเนื้อที่ได้ชำเลืองตามองไปยังถุงของกินน้อยใหญ่ในมือของตงลี่หวา จึงอดที่จะพูดขึ้นด้วยความอิจฉาไม่ได้ว่า “แล้วมันจะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ ! ยังไงก็ไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเธอ !

 

ด้วยความที่จางฉุ้ยเหลียนเหนื่อยจากการร้องไห้อย่างหนัก เธอจึงเผลอหลับไปบนเตียง ทางด้านเซี่ยจวินก็ทำงานอย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดังรบกวนการนอนของจางฉุ้ยเหลียน เมื่อเขากลับเข้ามาในบ้านเขาก็พยายามเดินให้เบามากที่สุด

 

ลูกค้าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็อดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “เถ้าแก่ ทำไมพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของหล่อนถึงโหดร้ายกับหล่อนมากขนาดนั้นล่ะ ? ”

 

เซี่ยจวินทอดถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ก็นะ ! นี่มันก็ชีวิตของหล่อน ยังไงก็ต้องสอบใหม่อีกครั้งในปีหน้า

 

ลูกค้าคนนั้นขมวดคิ้วแน่นพร้อมกับครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นจึงพูดขึ้นมาว่า “ทำไมถึงไม่ลองไปติดต่อทางกับทางโรงเรียนดูก่อนล่ะ บางทีอาจจะยังพอมีโอกาสอยู่ก็ได้ ไหน ๆ จดหมายแจ้งจากทางมหาลัยก็โดนเผาไปแล้ว ลองไปสอบถามดูก็ไม่มีอะไรเสียหายนะ ”

 

จางฉุ้ยเหลียนนอนหลับด้วยความรู้สึกสบายใจ  เมื่อเธอตื่นมาเธอก็ไม่เจอใครแล้ว เธอจึงลงจากเตียงและเดินออกไปข้างนอก จนกระทั่งเห็นตงลี่หวาที่กำลังจะฆ่าไก่อยู่ตรงลานบ้าน

 

หล่อนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กและหันหลังให้กับจางฉุ้ยเหลียน หล่อนค่อย ๆ ดึงขนไก่ออกมาทีละช่อ ๆ ด้วยใบหน้ามีความสุขยิ้มแย้มอยู่ตลอดเวลา

 

“ฉุ้ยเหลียน ตื่นแล้วหรือ ? ” เซี่ยจวินอุ้มแตงโมเข้ามาในบ้าน และเขาก็เห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนกำลังนั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่ในขณะนี้

 

เขาใช้มีดหั่นแตงโมและตัดมีนออกมาเป็นชิ้น ๆ พอดีคำ จากนั้นจึงยื่นมันไปให้กับจางฉุ้ยเหลียน “กินแตงโมรองท้องไปก่อนนะ เดี๋ยวแม่ทำกับข้าวเสร็จแล้วเราค่อยกินกัน

 

ดูเหมือนว่าตงลี่หวาจะได้ยินเสียงพูดคุยกันดังออกมาจากในบ้าน หล่อนจึงได้ตะโกนออกไปว่า “ฉุ้ยเหลียน ลูกรอก่อนนะ หิวแล้วรึยัง ? ในตู้กับข้าวมีขนมเค้ก คุกกี้ ขนมถาวซู แล้วก็ขนมเจียงหมี่เถียวอยู่ ลูกกินรองท้องไปก่อนก็ได้นะ

 

จางฉุ้ยเหลียนรู้ได้ในทันทีว่าขนมทั้งหมดเหล่านั้น คตงลี่หวาต้องตั้งใจซื้อมาให้เธออย่างแน่นอน เพราะสองสามีภรรยาที่ประหยัดมัธยัสถ์แบบนี้ คงไม่ซื้อขนมพวกนี้มากินแน่ ๆ

 

เธอจำได้ว่า ตอนเด็ก ๆ เธอมักจะโทษพวกเขาสองสามีภรรยาเสมอที่ให้เธอเอาแต่เรียนหนังสืออย่างเดียว ปิดเทอมก็ยังต้องทบทวนบทเรียนอยู่แต่ในห้องห้ามออกไปเล่นข้างนอก เด็กคนหนึ่งจะต้องอยู่กับกองหนังสือเป็นร้อย ๆ เล่มภายในห้องคนเดียว เธอจึงคิดเสมอว่าพวกเขานั้นปฏิบัติกับเธอไม่ดี แต่เธอลืมเรื่องขนมต่าง ๆ ที่พวกเขาเตรียมไว้ให้เธอเหล่านี้ไปได้ยังไง

 

เด็ก ๆ บ้านอื่นมักจะได้กินขนมแบบนี้ในช่วงวันปีใหม่เท่านั้น แต่เซี่ยจวินและตงลี่หวากลัวว่าลูกของพวกเขาจะหิวก็เลยจัดหาเตรียมเอาไว้ให้ ในยุคสมัยนี้ขนมพวกนี้ค่อนข้างที่จะหายากและมีราคาแพง แม้แต่ในท้องตลาดก็ไม่มีแม้แต่ขนมทานเล่น ซึ่งขนมเจียงหมี่เถียวและขนมเค้กก็ล้วนแต่เป็นขนมที่เธอชอบกิน ถึงแม้ว่าตอนนี้เวลาจะล่วงเลยผ่านไปแล้ว 6 ปี จนเธอเติบโตเป็นสาว นิสัยของพวกเขาสองสามีภรรยาก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

 

“อย่ามัวยืนเหม่ออยู่เลย มากินแตงโมก่อนสิ เซี่ยจวินสะกิดจางฉุ้ยเหลียน เขาเปิดโทรทัศน์พร้อมกับพูดว่า “ดูโทรทัศน์กันดีกว่า

 

จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางเซี่ยจวินที่กำลังทำหน้านิ่งเฉยด้วยรอยยิ้ม เธอรู้ว่าแท้จริงแล้วเขาอยากจะพูดคุยกับเธอ

 

“พ่อ พ่อมานั่งด้วยกันสิ มาคุยกันเถอะ จางฉุ้ยเหลียนดึงแขนของเซี่ยจวินด้วยท่าทางความสนิทสนม ก่อนจะพามานั่งลงที่เตียง

 

เซี่ยจวินค่อนข้างที่จะระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ แต่เขาก็ยอมนั่งลงอย่างว่าง่าย จางฉุ้ยเหลียนนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเล็กตรงข้ามกับเซี่ยจวิน จากนั้นก็ยื่นหน้ามาถามด้วยรอยยิ้มว่า “พ่อ ทำไมพ่อถึงได้ทำดีกับหนูแบบนี้ล่ะ

 

“อ้าว ก็ลูกเป็นลูกของพ่อไม่ใช่หรือ ” เซี่ยจวินหน้าแดงก่ำ ไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเองสักเท่าไหร่

 

“ตอนเด็ก ๆ หนูยังไม่รู้ความ ไม่นึกถึงความรู้สึกของพ่อกับแม่ บอกว่าจะไปก็ไป หลายปีมานี้ก็ไม่ได้กลับมาเยี่ยมพ่อกับแม่เลยสักครั้ง พ่อเกลียดหนูรึเปล่า ? ”

 

นี่เป็นบาดแผลที่ยากจะสมานกันภายอยู่ในใจของจางฉุ้ยเหลียนมาตลอด มันเป็นความเสียใจที่เธอมีต่อสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ย

 

“เกลียดอะไรกัน พวกเขาเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของลูก ลูกจะไปอยู่กับพวกเขามันก็ไม่เห็นจะแปลก โชคชะตาของคนเรามันก็เป็นแบบนี้แหละ ” เซี่ยจวินพูดอย่างมีเหตุผล

 

ก่อนหน้านี้จางฉุ้ยเหลียนคิดว่าพวกเขาคงจะไม่สนใจใยดีลูกสาวบุญธรรมคนนนี้แล้ว แต่หลังจากที่เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป เธอกลับเห็นความใจกว้างอันมหาศาลของพ่อแม่คู่นี้ได้อย่างชัดเจน จิตใจของผู้ชายคนนี้ ใคร ๆ ก็ไม่อาจเทียบได้

 

เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ ผู้ชายที่มีจิตใจโอบอ้อมอารีที่สุดในชีวิตของเธอคนนี้ และครอบครัวที่คอยปกป้องเธอ กลับกลายเป็นเธอเองที่เป็นคนทำร้ายครอบครัวนี้ได้อย่างเจ็บปวดที่สุด

 

แต่หลังจากนี้มันจะไม่เป็นแบบนั้นอีกแล้ว จางฉุ้ยเหลียนบอกกับตัวเองอยู่ในใจ

 

เซี่ยจวินอดที่จะถามเธอไม่ได้ว่า : “ฉุ้ยเหลียนลูกลองไปคุยกับผู้อำนวยการโรงเรียนดูก่อนดีไหม คะแนนสอบครั้งที่แล้วและหนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยของลูกที่โรงเรียนน่าจะยังมีเอกสารอยู่ แต่ถ้าไม่มีจริง ๆ พ่อจะเป็นคนออกค่าเดินทางให้ผู้อำนวยการโรงเรียนไปรายงานเรื่องนี้กับทางมหาวิทยาลัยพร้อมกับเราเอง

 

จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้า : “หนูก็กำลังคิด ๆ เรื่องนี้อยู่เหมือนกันค่ะ งั้นเราลองไปถามดูก่อนก็ได้ ถ้าไม่ได้จริง ๆ มันก็คงจะเป็นโชคชะตาของหนูแล้วล่ะค่ะ”

เซี่ยจวินขมวดคิ้วด้วยสีหน้าเคร่งเครียด :  “ถ้าไม่ได้ก็คงต้องรอไปอีก 1 ปี แล้วค่อยไปสอบใหม่อีกครั้งมันก็ไม่เสียหายอะไร

 

ไม่ใช่ว่าจางฉุ้ยเหลียนไม่อยากสอบ แต่ความจริงแล้วเธอไม่มั่นใจในตัวเองมากกว่า เธอไม่เคยอ่านหนังสือเลยตลอด 20 ปีที่ผ่านมา การที่จะรวบรวมความรู้ใหม่อีกครั้งมันย่อมเป็นเรื่องที่ยาก อย่าว่าแต่วิชาง่าย ๆ เลย วิชาอื่นเธอเองก็ลืมมันไปหมดแล้วเช่นกัน

 

สองพ่อลูกไม่ได้คุยอะไรกันอีก ทั้งสองคนต่างก็นั่งดูโทรทัศน์กันไปอย่างเงียบ ๆ เหมือนกับว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นไม่เคยไปจากบ้านหลังนี้เลยอย่างไรอย่างนั้น เซี่ยจวินจึงไม่ได้รู้สึกอึดอัดหรือลำบากใจแต่อย่างใด

 

“หนูออกไปช่วยแม่ก่อนนะคะ จางฉุ้ยเหลียนพูดกับเซี่ยจวิน จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปในห้องครัวทันที

 

เมื่อตงลี่หวาเห็นจางฉุ้ยเหลียนเดินเข้ามา หล่อนจึงรีบโบกไม้โบกมือไล่ให้เธอออกไป : “ไม่ต้อง ๆ ออกไปเถอะลูก ไปดูโทรทัศน์โน้นไป  ลูกทำอะไรเป็นที่ไหนล่ะ

 

จางฉุ้ยเหลียนแสยะยิ้มออกมา จากนั้นก็แย่งมีดไปหั่นผักพร้อมกับพูดว่า : “แม่แม่ไม่รู้อะไรซะแล้ว ฝีมือการทำอาหารของหนูในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ มันพัฒนาขึ้นเยอะมากเลยนะ หนูว่าแม่นั่นแหละที่ต้องออกไปดูโทรทัศน์ซะมากกว่า

 

เมื่อสองสามีภรรยาตระกูลเซี่ยได้ยินคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของจางฉุ้ยเหลียน พวกเขาก็รู้สึกปวดใจกับท่าทางนั้นแต่ก็ตื้นตันใจในเวลาเดียวกัน เมื่อเซี่ยจวินได้ยินประโยคนี้ เขาก็กำหมัดเคาะโต๊ะดังตึง ๆ  ทันที

 

ส่วนตงลี่หวาที่ยืนมองจางฉุ้ยเหลียนขอดเกล็ดปลาในอ่างอย่างชำนาญอยู่นั้น หล่อนก็อดที่จะแอบปาดน้ำตาไม่ได้

 

“แม่แม่ให้หนูทำกับข้าวเถอะ ไว้รอชิมฝีมือของหนูดีกว่ามันจะเป็นยังไง” จางฉุ้ยเหลียนอารมณ์ดีขึ้นมาทันที เธอคิดที่จะทำอาหารมื้อใหญ่ให้พ่อกับแม่ได้กิน เมื่อชาติที่แล้วท่านทั้งสองไม่เคยได้กินอาหารฝีมือเธอเลย ชาตินี้เธอก็อยากจะทดแทนบุญคุณของพวกท่านบ้าง

 

ตงลี่หวาถูกจางฉุ้ยเหลียนไล่ให้ออกไปดูโทรทัศน์ข้างนอก ส่วนเธอก็ทำกับข้าวไปพร้อมกับฮัมเพลงไปด้วยอย่างมีความสุข

 

ห้องครัวของบ้านตระกูลเซี่ยนั้นมีกำแพงกันไฟกั้นระหว่างห้องนอนใหญ่กับห้องครัว แต่ลักษณะของกำแพงนี้มันก็เป็นกำแพงครึ่งหนึ่งและอีกครึ่งหนึ่งเป็นหน้าต่างเหมือนกับบ้านอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไป

 

เมื่อมองทะลุผ่านหน้าต่างออกไป พวกเขาก็จะสามารถเห็นได้ว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นกำลังทำอะไร แต่ก็ไม่มีใครเข้าไปรบกวนเธอแต่อย่างใด และพวกเขาก็ไม่ได้แอบมองเธอจากทางหน้าต่างด้วยเช่นกัน

 

จางฉุ้ยเหลียนอารมณ์ดีเพราะเธอกำลังจะได้โชว์ฝีมือการทำอาหารที่สั่งสมมานานกว่า 20 ปี ให้พวกเขาทั้งสองคนได้กิน

 

ฉับ ฉับ ฉับ เสียงหั่นผักเป็นจังหวะ ตึง ตึง ตึง เสียงสับเนื้ออย่างไม่ลังเล ซ่า ซ่า ซ่า ปุด ปุด

 

ตงลี่หวาพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบา ๆ ว่า : “คุณดูสิว่าหล่อนต้องผ่านอะไรมาบ้าง หล่อนกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้วแท้ ๆ พวกเขาต้องบังคับให้หล่อนทำงานหนักขนาดไหน หล่อนถึงได้กลายเป็นแบบนี้ไปได้”

 

“พอแล้วล่ะ ๆ  พูดเบา ๆ หน่อย เซี่ยจวินเม้มปากในทันที พร้อมกับสีหน้าที่ยากจะคาดเดา

 

ผ่านไปสักพัก จางฉุ้ยเหลียนก็ยกถ้วยและตะเกียบเดินเข้ามาในห้องพร้อมพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มชื่นบานว่า : “หนูตั้งโต๊ะเสร็จเรียบร้อยแล้ว มากินข้าวกันเถอะค่ะ

 

ตงลี่หวารีบเข้ามาช่วยในห้องครัวทันที แต่หล่อนกลับเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ถูกจางฉุ้ยเหลียนทำความสะอาดจนเกลี้ยงแล้ว เพราะจางฉุ้ยเหลียนนั้นทำอาหารไปทำความสะอาดไปด้วย คนที่ไม่ได้ทำอาหารบ่อย ๆ นั้น จะไม่มีทางทำแบบนี้แน่นอน

 

หม้อถูกเช็ดจนสะอาด บนเตาก็ถูกขัดถูจนเงาวับ ขวดกระปุกที่อยู่บนตู้ก็ถูกเช็ดจนสะอาดเกลี้ยง กองฟืนก็ถูกนำมาวางซ้อน ๆ กันอย่างเป็นระเบียบ

 

เมื่อตงลี่หวาเห็นว่าทุกอย่างในครัวสะอาดเรียบร้อยดีแล้ว หล่อนจึงช่วยจางฉุ้ยเหลียนยกอาหารเข้าไปในห้อง

 

ซี่โครงหมูตุ๋น ปลานึ่ง มันฝรั่งทอด ผัดมะเขือยาว ถั่วผัดเนื้อวัวแห้ง ผัดผัก 5 สี ไก่ตุ๋นเห็ดหอม หมูสามชั้นตุ๋น เพียงแค่ 1 ชั่วโมง เธอสามารถทำอาหารทั้งหมด 8 อย่างนี้คนเดียว

 

“สุดยอดเลย เก่งกว่าแม่ของลูกซะอีก เซี่ยจวินรินเหล้าใส่แก้ว จากนั้นก็มองไปที่อาหารทั้ง 8 อย่าง ตรงหน้าพร้อมกับยกนิ้วโป้งขึ้นมาด้วยความชื่นชม

 

“เรียกว่าเป็นการบริหารเวลาที่ดีมากกว่าค่ะ จางฉุ้ยเหลียนหัวเราะคิกคักออกมา  จากนั้นก็ชี้ไปยังอาหารคาวตรงหน้า แล้วพูดว่า : “ตอนที่ตุ๋นซี่โครงหมู หนูก็นึ่งปลาไว้ด้านบนด้วย และตอนตุ๋นไก่ ด้านบนหนูก็นึ่งเนื้อไปด้วย พอทุกอย่างสุก ก็ยกมันออกมาเตา และผัดอาหารต่อได้เลย

 

ตงลี่หวาพยักหน้า : “อื้อ เนื้อตุ๋นกำลังดี ผักก็ผัดได้ไม่เฉาจนเกินไป ยอดเยี่ยมมาก นึกไม่ถึงว่าเรื่องทำกับข้าวลูกจะชำนาญมากขนาดนี้ อยู่ที่นู้นลูกทำกับข้าวบ่อยหรือ?”

 

จางฉุ้ยเหลียนจึงตอบไปโดยไม่คิดว่า : “ใช่แล้วค่ะ ตอนนั้นที่หนูออกไปขายซาลาเปาให้กับคนที่ขับรถผ่านไปผ่านมาแถวนั้นที่รินถนน หนูขายดีมากเลย หลังจากนั้นหนูก็ให้พ่อกับแม่ของหนูออกไปขายซาลาเปา หนูต้องลุกขึ้นมานึ่งซาลาเปาทุกเช้า แล้วเตาที่ใช้นึ่งซาลาเปามันก็เป็นเตาแบบนี้แหละค่ะ”

 

สองสามีภรรยาต่างมองหน้ากัน ก่อนจะทอดถอนใจออกมาเบา ๆ ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดตำหนิสองสามีภรรยาตระกูลจางแต่อย่างใด แต่กลับหัวเราะคิกคักออกมา จากนั้นก็กินข้าวไปพลางพูดชมจางฉุ้ยเหลียนไปพลาง

 

อีกด้านหนึ่ง ข่าวของจางฉุ้ยเหลียนนั้นก็ได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว บ้านตระกูลจางเองก็หาตัวจางฉุ้ยเหลียนไม่เจอ คนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ไม่มีใครเห็นเธอเช่นเดียวกัน และทุกคนต่างก็พากันส่งสายตาเกลียดชังมาให้กับจางกว่างฝู ผู้ชายบางคนก็ด่าจางกว่าฝูว่าไม่ใช่ลูกผู้ชาย

 

ที่บ้านของจางกว่างโหยว จางฉุ้ยหลินเดินเข้ามาด้วยตัวที่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ พร้อมกับส่ายหน้าไปทางแม่ของเขาอย่างร้อนใจ : “ไม่มีครับ หาจนทั่วแล้ว แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของจางฉุ้ยเหลียนเลย

 

“หาไม่เจอก็คือไม่เจอแล้ว” คุณย่าของจางฉุ้ยเหลียนพูดออกมาด้วยความโกรธ : “ถ้าอยากจะไปก็ไป ไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก

หลิวกุ้ยเฟินก็ไม่ได้สนใจกับคำพูดของแม่สามีแต่อย่างใด หล่อนถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงว่า : “ลูกไปหาที่โรงเรียนมาแล้วหรือยัง?”

 

จางฉุ้ยหลินดื่มน้ำไปสองอึก ก่อนจะถอนหายใจออกมา แล้วพูดว่า : “ไปหามาแล้วครับ ผมเจอหัวหน้าห้องของหล่อน หัวหน้าห้องของหล่อนก็บอกว่าจะลองติดต่อกับสำนักงานการศึกษาดูว่าจะสามารถช่วยอะไรได้บ้าง

รีวิวผู้อ่าน