ตอนที่ 12 สะใภ้สองบ้านทะเลาะกัน
เช่าหวาด่าคนอื่นไปทั่วอย่างไม่มีเหตุผล เพราะหล่อนก็เพิ่งจะถูกเด็กสองคนนั้นกระตุ้นความโกรธมาเมื่อสักครู่นี้ พอมาตอนนี้ก็ถูกสะใภ้ข้างบ้านชี้หน้าด่าอีก หล่อนจะอดทนได้อย่างไรกัน ?
“เธอถามว่าฉันด่าใครอย่างนั้นหรือ ? ฉันก็ด่าเธอไง !” เช่าหวาเริ่มด่าระรานคนอื่นอย่างไม่มีเหตุผล เรื่องนี้ทำให้หลิวกุ้ยเฟินโกรธมาก
สะใภ้ทั้งสองกำลังยืนทะเลาะกันเสียงดังโวยวายอยู่ระหว่างกำแพงกั้นทั้งสองบ้าน หลังจากนี้ก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
เมื่อคุณปู่และคุณย่าของจางฉุ้ยเหลียนที่อยู่ในบ้านของหลิวกุ้ยเฟินได้ยินเสียงทะเลาะกันของสะใภ้ทั้งสอง พวกเขาจึงได้รีบเข้ามาแยกพวกหล่อนออกจากกันทันที เมื่อได้สอบถามสะใภ้ทั้งสองแล้ว พวกหล่อนต่างก็ไม่ตอบว่าทะเลาะอะไรกัน
“เสี่ยวจวิน แกพูดมาสิ !” จางฉุ้ยจวินถูกปู่ของเขาถามขึ้น แต่เขากลับเมินหน้าไปทางอื่น แล้วพูดพึมพำว่า “ผมไม่รู้ ไปโทษพี่สาวของผมโน้น !”
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้อยู่ที่บ้านแล้วในตอนนี้ เพราะตอนที่เช่าหวากำลังยืนด่าคนอื่นอยู่นั้น เธอก็ได้ถือเครื่องเกมออกไปจากบ้านเพื่อที่จะเอามันไปคืนแล้ว
เธอไม่รู้เลยว่าการที่เธอได้วางระเบิดไว้เมื่อสักครู่ มันจะทำให้เรื่องบานปลายใหญ่โตจนแม่ของเธอมายืนทะเลาะกับหลิวกุ้ยเฟินป้าของเธอแบบนี้ อีกทั้งเรื่องนี้มันยังลุกลามไปทั่วทั้งตระกูลอีกด้วย เหตุก็มาจากเรื่องที่จางฉุ้ยจวินขโมยเงินที่จางฉุ้ยเหลียนสะสมไว้เป็นค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยไปซื้อเครื่องเล่นเกมนั่นเอง
“ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเป็นคนพูด จางฉุ้ยเหลียนจะรู้ได้ยังไงว่าเหล่าเซี่ยส่งเงินมาให้หล่อนทุกเดือน ? ตอนนี้หล่อนจะมาเอาเงินค่าเล่าเรียนจากฉัน พูดมาสิว่าเธอจะทำยังไง ? ” เช่าหวาโกรธมาก และหล่อนก็ทำท่าทางราวกับว่าหล่อนจะเอาเงินจากหลิวกุ้ยเฟินมาให้ได้อย่างไรอย่างนั้น
“ทำยังไงงั้นหรือ ? เดิมทีเงินนั่นมันก็เป็นเงินที่เหล่าเซี่ยส่งให้จางฉุ้ยเหลียน นั่นมันเป็นเงินของเด็กคนนั้น แต่เธอกลับเอาเงินนั่นมาใช้จ่ายส่วนตัว แล้วเธอยังมีหน้ามาถามฉันอีกเหรอว่าจะทำยังไง !” หลิวกุ้ยเฟินเองก็หมดความอดทน จึงได้พูดประชดประชันเยาะเย้ยกลับไปว่า “ฉันว่าเธอนี่มันเป็นแม่ที่มีคุณธรรมมากเลยนะ ใช้เงินของลูกสาวโดยที่ไม่บอกหล่อนสักคำ แถมยังให้ท้ายลูกชายที่มาขโมยเงินค่าเล่าเรียนของพี่สาวไปอีก เธอนี่มันสุดยอดมากเลยจริง ๆ !”
เช่าหวาถึงกับปรี๊ดแตกเลยทีเดียว เธอกัดฟันกรอด ๆ แล้วพูดว่า “นี่มันเรื่องภายในครอบครัวของฉัน ฉันไม่ได้ต้องการให้เธอมาทำเป็นหวังดีกับครอบครัวฉันหรอก”
ปู่ของจางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วและตะโกนออกไปว่า “พอที !หยุดทะเลาะกันได้แล้ว !” เมื่อได้ยินพ่อสามีเอ่ยออกมาแบบนี้ สะใภ้ทั้งสองก็ไม่กล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาอีกเลย
“เธอเป็นคนบอกเรื่องนี้กับจางฉุ้ยเหลียนใช่ไหม ? ” เมื่อเห็นสีหน้าตำหนิของพ่อสามี เช่าหวาจึงถามหลิวกุ้ยเฟินออกไปเสียงเบา
เมื่อได้ยินคำถามของเช่าหวา หลิวกุ้ยเฟินจึงส่ายหน้า : “ฉันไม่ได้เป็นคนบอก !ตั้งแต่จางฉุ้ยเหลียนสอบเสร็จ ฉันก็ไม่ได้คุยกับหล่อนอีกเลย !และหล่อนก็มักจะออกไปทำงานหาเงินทุกวัน ส่วนฉันก็ทำงานอยู่แต่ในบ้าน เธอถามคุณพ่อดูก็ได้ ตั้งแต่จางฉุ้ยเหลียนสอบเสร็จ หล่อนก็ไม่ได้มาที่บ้านของเราอีกเลย !”
“ถ้าเธอไม่ได้เป็นคนบอก แล้วจะมีใครอีกล่ะ ? ต้องเป็นเธอแน่ ๆ ที่เป็นคนบอกเรื่องนี้กับจางฉุ้ยเหลียน” เช่าหวายืดตัวขึ้น แล้วพุ่งเข้าไปดึงตัวของหลิวกุ้ยเฟินในทันที
“เอาล่ะ ๆ ! หยุดตีกันได้แล้ว ! ” คุณย่าของจางฉุ้ยเหลียนเข้ามาขวางไว้ จากนั้นก็ถลึงตาใส่เช่าหวา “จะจบหรือไม่จบ !”
เช่าหวาร้องไห้ออกมาราวกับว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไรอย่างนั้น “คุณแม่ ไม่ควรมีอคติกับหนูแบบนี้นะคะ !แม่พูดเหมือนกับว่าหนูไปรังแกหลิวกุ้ยเฟินอย่างไรอย่างนั้น ทำไมคุณแม่ถึงไม่ยอมปล่อยให้หนู้จัดการเรื่องนี้ ทั้งหมดมันต้องเป็นเพราะหลิวกุ้ยเฟิน หล่อนต้องเป็นคนไปบอกเรื่องนี้กับจางฉุ้ยเหลียนอย่างแน่นอน ครอบครัวของเราลำบากกันแค่ไหน คุณแม่ก็ไม่เคยช่วยยื่นมือเข้ามาช่วย แล้วตอนนี้คุณแม่ยังมารังแกกันแบบนี้อีกอย่างนั้นหรือ !”
คุณย่าของจางฉุ้ยเหลียนก็เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่งในละแวกนี้ เมื่อได้ยินว่าภรรยาของลูกชายคนรองพูดแบบนี้กับตัวเอง ความโกธรของหล่อนก็ประทุขึ้นมาทันที จากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางเช่าหวาและตะโกนออกไปว่า “จะร้องไห้คร่ำครวญอะไรนักหนา ! ใครตายไม่ทราบ ฉันหรือว่าแม่ของเธอตายล่ะ ถึงได้มาร้องไห้คร่ำครวญเสียใจอยู่แบบนี้ ? ”
ในตอนนั้นเองจางกว่างฝูและพี่ชายของเขาจางกว่างโหยวก็กลับเข้าบ้านมาพอดี พวกเขาได้ยินเพื่อนบ้านในละแวกนี้พูดต่อ ๆ กันมาว่าสะใภ้ทั้งสองบ้านกำลังทะเลาะกัน เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาในบ้านก็เจอเข้ากับสถานการณ์ที่ตึงเครียดตรงหน้าพอดี พวกเขาทั้งสองต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไร
“คุณนี่มันไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ ฉันโดนคนรังแกเจียนตายแต่คุณก็ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย!” เมื่อเช่าหวาเห็นสามีของตัวเองเดินเข้ามา หล่อนก็รีบพุ่งเข้าตรงเข้าไปด่ากราดสามีของตัวเองแบบไม่หยุดพัก เมื่อหล่อนด่าเขาไปจนหนำใจแล้ว หล่อนจึงได้หยุดลง
“ฉันพูดไปแล้ว ว่าฉันไม่ได้เป็นคนบอกจางฉุ้ยเหลียน เรื่องวันนี้เธอจะมาโทษฉันไม่ได้ เสี่ยวจวินเป็นคนขโมยเงินของจางฉุ้ยเหลียนไปซื้อเครื่องเล่นเกม ทำไมเธอถึงไม่สั่งสอนลูก ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนไม่มีเงินแล้ว แล้วเงินค่าเล่าเรียนมหาวิทยาลัยของหล่อนจะทำยังไง !” หลิวกุ้ยเฟินเป็นคนตรงไปตรงมาและหล่อนก็ชอบจางฉุ้ยเหลียนเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะหล่อนปรารถนาที่จะมีลูกสาวเป็นของตัวเอง แต่น่าเสียดายที่หล่อนคลอดลูกออกมา 3 คน แต่กลับไม่มีลูกสาวเลยสักคน
“ทำยังไงอย่างนั้นหรือ ? ถ้าหล่อนเอาเครื่องเกมไปคืนได้ ก็ใช้เงินตัวเองเรียนสิ พวกเราสองคนไม่สนใจหรอก ! ถ้าเอาเครื่องเกมไปคืนไม่ได้ เราจะไปทำอะไรได้ล่ะ !” เช่าหวาพูดออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่หล่อนก็ยังไม่เชื่อว่าเรื่องที่จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าพ่อบุญธรรมของเธอส่งเงินมาให้จะไม่เกี่ยวข้องกับหลิวกุ้ยเฟิน หล่อนกำลังคิดวางแผนเพื่อที่จะให้หลิวกุ้ยเฟินเป็นคนออกค่าเล่าเรียนให้กับจางฉุ้ยเหลียน
“ถ้าเธอบอกว่าเธอไม่ได้เป็นคนบอกจางฉุ้ยเหลียน ก็ถือว่าไม่ใช่เธอก็แล้วกัน แต่คุณแม่คะ แม่จับตาดูลูกสะใภ้คนนี้ไว้ให้ดีก็แล้วกันนะคะ !”
การประณามของเช่าหวาทำให้หลิวกุ้ยเฟินโกรธมาก แต่ยังไม่ทันที่จะเอ่ยปากโต้แย้งอะไรออกไป หล่อนก็ได้ยินเสียงแม่สามีพูดขึ้นมาว่า “เอาล่ะ !หลิวกุ้ยเฟินก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดบอกเรื่องนี้กับจางฉุ้ยเหลียนหรอกนะ ฉันว่าเป็นเพราะปากของหล่อนเองมากกว่าที่มันไม่มีหูรูด เที่ยวไปนินทาลูกสาวของตัวเองให้ใครต่อใครเขาฟังไปทั่วน่ะ !”
เช่าหวารีบปฏิเสธในทันใด “เป็นไปไม่ได้ ! หนูบอกเรื่องนี้กับหลิวกุ้ยเฟินแค่คนเดียวนะคะ !”
หล่อนนึกไม่ถึงเลยว่าแม่สามีจะไม่เชื่อหล่อนเลยแม้แต่นิดเดียว แถมยังยิ้มเยาะเย้ยอีกว่า “เอาล่ะ !เราก็อาศัยอยู่ในละแวกเดียวกัน จะมีสักกี่คนที่ไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อ 2 วันก่อน ภรรยาของเหล่าชูที่บ้านอยู่ทางทิศตะวันออก หล่อนมาถามฉันว่าพ่อแม่บุญธรรมที่เลี้ยงดูจางฉุ้ยเหลียนตอนเด็ก ๆ ส่งเงินมาให้หล่อนอย่างนั้นหรือ พอฉันได้ยินอย่างนั้น ฉันก็ถามหล่อนกลับไปว่าไปได้ยินใครพูดมา หล่อนบอกว่าเธอเองนั่นแหละที่เป็นคนไปพูดให้เขาฟังน่ะ !”
ครั้งนี้เช่าหวาถึงกับพูดไม่ออกเลยทีเดียว เธอก้มหน้าลงและก็ไม่เอ่ยปากปฏิเสธออกมาแต่อย่างใด เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็ไม่มีใครพูดอะไรออกมาอีกต่างก็ตกอยู่ในความเงียบงันไปชั่วขณะ
จางกว่างฝูจึงรีบถามขึ้นว่า “แล้วฉุ้ยเหลียนจะเอาเครื่องเล่นเกมไปคืนได้ไหม ? ”
จางกว่างโหยวส่ายหน้า “ยาก ! เงิน 100 หยวน แถมเครื่องเล่นเกมยังถูกใช้งานไปแล้ว แม้แต่คู่มือการใช้งานอะไรก็ไม่มี จะเอาไปแลกกับใคร ใครเขาก็ไม่เอาทั้งนั้นแหละ !”
ทุกอย่างก็เป็นเหมือนที่จางกว่างโหยวพูดมาไม่มีผิด จางฉุ้ยเหลียนอธิบายกับทุกคนจนคอแหบคอแห้ง แต่ก็ไม่มีใครยอมแลกเครื่องเล่นเกมของเธอเลย สุดท้ายก็จนปัญญา จางฉุ้ยเหลียนจึงเดินคอตกกลับมาที่บ้าน
เมื่อเห็นสีหน้าหม่นหมองของจางฉุ้ยเหลียน ทุกคนต่างก็รู้ผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน จางฉุ้ยจวินมองไปทางเครื่องเล่นเกมที่อยู่ในมือของจางฉุ้ยเหลียนด้วยสายตาลุกวาว และปรารถนาที่จะได้มัน
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางเช่าหวาแล้วพูดว่า “แม่ !แม่ต้องให้หนูยืมเงินด้วย เถ้าแก่ร้านนั้นจะคืนเงินให้หนูแค่ 50 หยวน แม่ต้องให้หนูยืมเงินอีก 50 หยวน มันถึงจะพอกับค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ตอนเข้ามหาวิทยาลัย และหนูจะคืนเงินก้อนนี้ให้แม่พร้อมดอกเบี้ยทีหลัง ! ”
จางกว่างฝูมองไปทางเช่าหวาด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบา ๆ ว่า : “ฉุ้ยเหลียน ! เงินบ้านเรามีไม่พอหรอก แกบอกว่าแกจะเอาเงินจำนวน 50 หยวนเนี่ยนะ ไอ้หยา........”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วแน่น “หนูมาคิดดูแล้ว สองวันมานี้พ่อกับแม่ขายซาลาเปาได้เงินมาก็ไม่น้อยเลยนะ หนูรู้ว่าการขายซาลาเปามันมีต้นทุน แต่เท่าที่หนูคิด ถ้าตอนนั้นไม่มีเงินของหนู พ่อกับแม่ก็ไม่มีทางหาเงินได้ แล้วอีกอย่างหนูก็เป็นลูกสาวของพ่อกับแม่ ความสามารถในการหาเงินของหนูพ่อกับแม่ก็เห็นแล้ว ให้หนูยืมเงินเถอะ พ่อกับแม่จะกลัวอะไร !”
เช่าหวาจึงเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ฉุ้ยเหลียน ! แกจะพูดแบบนี้ไม่ได้ ! แกบอกฉันมาสิ ว่าแกจะเข้ามหาวิทยาลัยไปเพื่ออะไร ? เพื่ออนาคตที่สดใสอย่างนั้นหรือ มีอนาคตที่สดใสแล้วมันจะได้อะไรขึ้นมาล่ะ ? หรือแกอยากจะมีชีวิตที่ดี แกเป็นคนพูดเองว่าฉันกับพ่อแกสองวันที่ผ่านมานี้ขายซาลาเปาได้เงินเยอะ แล้วแกคิดดูสิว่าเดือนหนึ่งแกหาเงินได้ตั้งร้อยกว่าหยวน มันยังมากกว่าเงินเดือนครูพวกนั้นอีกนะ !”
จางฉุ้ยเหลียนจ้องเขม็งไปทางแม่ของตัวเอง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เพราะงั้นแม่ก็เลยจะบอกหนูว่าไม่ต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยแล้วอย่างนั้นใช่ไหม แล้วก็ไม่จำเป็นจะต้องจ่ายเงินจำนวนมากขนาดนั้น อีกทั้งยังสิ้นเปลืองเวลาทำงานหาเงินไปตั้งหลายปีด้วยอย่างนั้นสินะ ? ”
เช่าหวาพยักหน้า “ถูกต้อง ! ฉันหมายความว่าอย่างนั้นแหละ ! อีกอย่างแกก็เป็นผู้หญิง ยังไงผู้หญิงก็ต้องแต่งงานออกเรือนอยู่แล้ว ที่แกพูดมามันถูกต้องแล้วรู้ไหม ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเมินหน้าไปทางอื่น “ช่างเถอะ ! พ่อกับแม่ไม่ให้หนูยืมเงิน หนูก็จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว พอแล้ว หนูเหนื่อย หนูอยากจะเข้าไปพักผ่อนในห้องหน่อย !”
เมื่อเห็นจางฉุ้ยเหลียนถือเครื่องเล่นเกมกลับเข้าไปในห้องตัวเอง เช่าหวาก็ไม่ได้ตามเข้าไปเถียงกับลูกสาวอีก
มื้อเย็น เช่าหวาก็เป็นคนมาเรียกจางฉุ้ยเหลียนด้วยตัวเอง แต่เพราะลูกชายของหล่อนสร้างเรื่องไว้ มื้อนี้เช่าหวาจึงต้องเป็นคนทำอาหารให้คนในบ้านกินแทน
“รีบมากินข้าวเถอะ ! แม่แกทำขาหมูตุ๋นให้แกด้วยนะ !” จางกว่างฝูเรียกจางฉุ้ยเหลียนให้มากินข้าว แม้ว่าเธอจะเห็นอาหารน่าอร่อยมากมายวางเรียงรายอยู่บนโต๊ะ แต่เธอกลับไม่มีความอยากเลยแม้แต่น้อย
“ฉุ้ยเหลียน !กินเนื้อนี่สิ ! ” เช่าหวาใช้ตะเกียบคีบเนื้อใส่ถ้วยให้จางฉุ้ยเหลียน
“หยุดโกรธน้องแกได้แล้ว เขายังเด็ก ยังไม่รู้ความ เมื่อกี้แม่ก็เพิ่งด่าเขาไปยกหนึ่ง !” ใบหน้าของเช่าหวาแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้มที่ต้องการประจบประแจง
จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าพ่อกับแม่ของเธอนั้นต้องการที่จะเอาอกเอาใจเธอ และเธอคิดว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ถ้าพวกเขาช่วยเธอคิดหาวิธีหาเงินเพื่อที่จะให้เธอได้เข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย มันยังจะดีเสียกว่าพวกเขามาพูดเอาอกเอาใจเธออยู่แบบนี้
“พี่ ! พี่จะขายเครื่องเล่นเกมจริง ๆ หรือ ? ” จางฉุ้ยจวินเคี้ยวข้าวไปพลางและถามจางฉุ้ยเหลียนไปพลาง
“เด็กคนนี้นี่ เรื่องไหนที่ไม่สมควรพูดก็พูดจังเลยนะ” เช่าหวาขยิบตาให้จางฉุ้ยจวินเพื่อบอกเขาเป็นนัย ๆ แต่จางฉุ้ยจวินก็ไม่เห็นมันแต่อย่างใด
“พรุ่งนี้ถ้าพี่จะเอาไปขาย ให้ฉันเล่นสักตาก่อนได้ไหม ไม่อย่างนั้นขาดทุนแย่เลย !” ความไร้ยางอายของจางฉุ้ยจวิน จางฉุ้ยเหลียนเห็นมานักต่อนักแล้ว
จางฉุ้ยเหลียนที่กำลังจะเอ่ยปากปฏิเสธ แต่เมื่อเธอหันไปเห็นสีหน้าของเช่าหวา เธอจึงทำได้เพียงแค่พยักหน้าอย่างฝืนใจ “ได้ !งั้นแกเอาไปเล่นได้ แต่ห้ามเล่นจนพังเด็ดขาด แล้วพรุ่งนี้ก็เอามาคืนให้ฉันด้วย !”
เช่าหวาเห็นสองพี่น้องคืนดีกันแล้ว หล่อนก็รีบปรบมือพร้อมกับพูดขึ้นมาด้วยความดีใจว่า “ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างก็ดีขึ้นแล้ว ต่อไปนี้แกก็ทำดีกับพี่แกหน่อยแล้วกันนะ !”
หลังจากที่กินข้าวเสร็จ จางฉุ้ยเหลียนก็เอาเครื่องเล่นเกมที่ซ่อนเอาไว้ในห้องของตัวเองออกมา เมื่อคิดว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว หลังจากนี้เธอก็ต้องตั้งหน้าตั้งตาหาเงินค่าเล่าเรียนต่อไป
เช้าวันที่สองจางฉุ้ยเหลียนลุกขึ้นมาทำกับข้าว และพบว่าจางฉุ้ยจวินยังคงเล่นเกมอยู่ในห้อง เมื่อคืนเขานั่งเล่นมันทั้งคืน ท่าทางหมกมุ่นเหมือนกับคนติดเกมอย่างไรอย่างนั้น
จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้สนใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับเตรียมตัวที่จะเอาเครื่องเล่นเกมไปขาย จางฉุ้ยจวินอ้อนวอนขอเล่นอีกหน่อย แต่เธอก็ไม่สนใจ
“เสี่ยวจวิน หยุดเล่นได้แล้ว ! แกเล่นมาทั้งคืนจนตาแดงไปหมดแล้ว” เช่าหวาปวดหัวกับลูกชายคนนี้มาก เมื่อเห็นท่าทางของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนจึงอดที่จะบ่นขึ้นมาไม่ได้
“ใครให้พี่เอาเครื่องเล่นเกมไปขายวันนี้เล่า ฉันเสียเงินซื้อมาตั้งเยอะก็ต้องเล่นให้คุ้มกับ 100 หยวนหน่อยสิ !” จางฉุ้ยจวินแสดงสีหน้าไม่พอใจออก ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
“แกเสียเงินซื้อไปตั้งเยอะอย่างนั้นหรือ ? นั่นมันเงินของฉันต่างหาก !ฉันให้แกเล่นมาทั้งคืนแล้ว ฉันต้องเสียเงินไปตั้งเท่าไหร่ ใครกันแน่ที่ขาดทุน !” จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปแทะข้าวโพดที่อยู่ในมือ
“พี่ พี่เอาไปขายช้ากว่านี้อีกสักสองสามวันไม่ได้รึไง ให้ฉันเล่นจนพอใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน !พี่เป็นพี่ของฉัน พี่ก็ต้องยอมให้ฉันสิ !” จางฉุ้ยจวินเลื่อนตะเกียบและถ้วยออกไปข้างหน้า และกล่าวออกมาอย่างไม่มีเหตุผล
“แกก็เป็นน้องชายของฉันเหมือนกัน ไม่รู้จักหนักจักเบาเลยรึไง ? ถ้าเถ้าแก่ไม่อยากได้มันแล้วฉันจะทำยังไงล่ะ ? เครื่องเล่นเกมนี่มันมีดีอะไร แกจะเล่นอะไรนักหนา !” เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นน้องชายของเธอไม่ยอมทำตามสิ่งที่ตกลงกับเธอไว้ เธอจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปเก็บเครื่องเล่นเกมนั่นทันที เมื่อจางฉุ้ยจวินเห็นการกระทำของพี่สาว เขาก็รีบพุ่งเข้าไปแย่งเครื่องเล่นเกมในมือของจางฉุ้ยเหลียนทันที และทั้งสองคนก็เริ่มทะเลาะกัน
“ปล่อยเดี๋ยวนี้ !นี่มันเงินของฉัน เอามันมาให้ฉัน !” จางฉุ้ยเหลียนโกรธมาก เธอทะเลาะกับจางฉุ้ยจวินพลางยกเท้าขึ้นมาถีบเขา
จางฉุ้ยจวินเองก็ไม่ยอมปล่อยมือออกเช่นเดียวกัน เขาออกแรงผลักมือของจางฉุ้ยเหลียน!
“พอได้แล้ว ! จางฉุ้ยเหลียน แกก็ให้น้องแกเล่นอีกสักหน่อยมันจะเป็นไรไป ! ให้เขาเล่นตอนเช้า ตอนบ่ายแกก็ค่อยเอาไปขายไม่ได้รึไง !” เมื่อเช่าหวาเห็นว่าลูกชายของตัวเองโดนขัดใจ หล่อนจึงเริ่มตำหนิฉุ้ยเหลียนตามนิสัยเดิมของหล่อน