ตอนที่ 11 ด่ากันกลางถนน
เมื่อเห็นท่าทางทุบหม้อข้าว จมเรือ ตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของจางฉุ้ยเหลียน จางฉุ้ยจวินและเช่าหวาต่างก็ตกใจขึ้นมาทันทีทันใด จากนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็มองไปทางจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังจะเตรียมก้าวเท้าออกไปจากบ้าน เช่าหวาจึงรีบรุดหน้าเข้ามาดึงตัวเธอเอาไว้
“แกจะทำอะไร ? ” เช่าหวาแผดเสียงถามขึ้น ท่าทางของหล่อนนั้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อลูกสาวของตัวเองให้รู้แล้วรู้รอดอย่างไรอย่างนั้น
“ทำอะไรอย่างนั้นหรือ ? ก็เงินที่หนูเก็บไว้เพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัยมันหายไป หนูก็ต้องไปสถานีตำรวจสิ หนูอยากเห็นสัตว์เดรัจฉานใจดำอำมหิตที่ขโมยเงินของหนูถูกตำรวจจับเข้าคุกเข้าตารางยังไงล่ะ” เมื่อได้ยินจางฉุ้ยเหลียนพูดแบบนี้ จางฉุ้ยจวินก็หมดความอดทนในทันที
เดิมทีจางฉุ้ยจวินมักจะเป็นคนที่อ่อนโยนทำตัวเป็นคนดีต่อหน้าคนภายนอกเสมอ แต่มักจะวางอำนาจกับคนในบ้าน การที่เขาขโมยเงินไปซื้อเครื่องเล่นเกมนั้นสร้างความเสียใจให้กับจางฉุ้ยเหลียนเป็นอย่างมาก บวกกับที่แม่ของเธอรู้ความจริงอยู่เต็มอก แต่หล่อนกลับไม่ตำหนิเขาแต่เลือกที่จะช่วยเขาโกหกเธอแทน ดังนั้นเดิมทีจากความรู้สึกผิดเล็กน้อยภายในใจของเขามันก็เลยเปลี่ยนกลายไปเป็นความไม่เกรงกลัวต่อสิ่งใดเพราะมีคนหนุนหลัง
แต่ถึงอย่างไรอายุของเขาก็ยังน้อย อีกทั้งความรู้ก็ยังมีไม่มาก เมื่อได้ยินว่าพี่สาวของตัวเองกำลังจะไปแจ้งความจับคนที่ขโมยเงินของเธอเข้าคุก เขาก็เกิดความขี้ขลาดขึ้นมาในทันที
เขาพุ่งเข้าไปหาจางฉุ้ยเหลียนพร้อมกับร้องห่มร้องไห้แล้วพูดว่า “พี่ ฉันผิดไปแล้ว ฉันจะเอาเครื่องเล่นเกมไปคืนให้พี่เอง พี่อย่าไปแจ้งตำรวจมาจับฉันเข้าคุกเลยนะ !”
เมื่อเช่าหวาได้ยินลูกชายตกใจจนร้องห่มร้องไห้ หล่อนก็รู้สึกเจ็บปวดใจไม่น้อย หล่อนจึงเดินเข้าไปหยิกจางฉุ้ยเหลียนอย่างแรง พร้อมกับด่าสาดเสียเทเสียออกไปว่า “แกดูสิว่าน้องแกกลัวมากแค่ไหน ทำไม การที่แกสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้มันทำให้แกมีความสามารถมากนักรึไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มอย่างเย็นชาออกมา “แม่ แม่บอกว่ามันไม่ใช่ฝีมือของเสี่ยวจวินไม่ใช่หรือ ? แล้วนี่มันหมายความว่ายังไง ? ”
เช่าหวาพูดอะไรไม่ออกในทันที จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดออกไปด้วยความโกรธว่า “แม่ แม่รู้ไหมว่าแม่กำลังทำร้ายเสี่ยวจวินทางอ้อม ความรักของแม่ที่มีต่อเขามันต้องมีระดับกันบ้าง แต่ที่แม่กำลังทำมันคือความรักแบบไม่ลืมหูลืมตา แม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์บ้างไหม ? แม่เห็นรึเปล่าว่าคนที่ถูกจับเข้าคุกไปส่วนใหญ่แล้วเป็นเด็กที่มาจากการที่แม่ของพวกเขาเลี้ยงดูมาอย่างผิด ๆ กันทั้งนั้น !”
เช่าหวาเชิดคอขึ้น และพูดด้วยความโกรธ “อะไรที่บอกว่าฉันเลี้ยงลูกอย่างผิด ๆ แล้วทำไมลูกชายของฉันจะต้องโดนจับเข้าคุกด้วย ? ”
จางฉุ้ยเหลียนชี้ไปทางน้องชาย “เสี่ยงจวินอายุยังน้อย เขายังไม่รู้ความ เขาเอาเงินหนูไปซื้อเครื่องเล่นเกม นั่นมันเป็นสิ่งที่ผิด แต่แทนที่แม่เห็นแม่จะสั่งสอนเขา แล้วดูสิ่งที่แม่กำลังทำสิมันถูกต้องอย่างนั้นหรือ ? แม่ไม่เพียงแต่จะไม่สอนเขา แต่แม่ยังช่วยเขาปิดบังและโกหกหนูอีก !”
เช่าหวาเมินหน้าหนีโดยไม่พูดอะไรออกมา จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้าไปรับเครื่องเล่นเกมมาจากเสี่ยวจวิน เธอมองไปที่เครื่องเล่นเกมที่อยู่ในมือ จากนั้นก็ทอดถอนใจออกมา “ตอนนี้เสี่ยวจวินยังอยู่ในช่วงที่ไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก ตอนนี้แม่เต็มใจช่วยเขา แต่ถ้าหลังจากนี้เขาทำเรื่องที่ผิดมากกว่านี้ล่ะ ถ้าเขาไปฆ่าคนหรือวางเพลิง แม่ยังจะช่วยเขาได้อีกไหม ? ”
เมื่อเช่าหวาได้ยินจางฉุ้ยเหลียนยิ่งพูดก็ยิ่งไม่เข้าหู เหมือนกับกำลังถือโอกาสนี้สั่งสอนหล่อนอย่างไรอย่างนั้น หล่อนจึงเท้าสะเอวแล้วด่ากราดออกไปว่า “นังเด็กบ้า แกคิดว่าแกกินข้าวอิ่มมาไม่กี่มื้อ อ่านหนังสือมาไม่กี่หน้า แล้วจะมาสั่งสอนฉันได้อย่างนั้นหรือ ? ฉันกินเกลือมามากกว่าแกที่กินข้าวซะอีก ฉันอาบน้ำร้อนมาก่อนแกเยอะ แกคิดว่าแกเป็นใคร ? ”
จางฉุ้ยเหลียนมองผู้เป็นแม่ก่อนจะพูดด้วยจิตใจที่นิ่งสงบ “แม่ ! หนูไม่ได้จะมาสั่งสอนแม่ หนูแค่บอกเหตุผลให้แม่ฟัง ตอนนี้เสี่ยวจวินอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เราต้องคอยชี้แนะในสิ่งที่ถูกต้องให้กับเขา อนาคตของเขาจะได้สดใส ถ้าเราปล่อยให้เขาเอาแต่เล่นเกมไปวัน ๆ แบบนี้ แล้วอนาคตของเขาหลังจากนี้จะทำยังไง ? ”
“อนาคตของเขาจะเป็นยังไงอย่างนั้นหรือ ? ลูกของฉันก็จะได้เป็นข้าราชการใหญ่โตและมีชีวิตที่ดีกว่าแกไง ! ” เช่าหวานั้นไม่อยากจะฟังสิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนพูดอีกต่อไป เมื่อหล่อนด่าทอจางฉุ้ยเหลียนแล้ว หล่อนก็เดินหนีออกไป
จางฉุ้ยเหลียนได้แต่ทอดถอนหายใจออกมา เธอคิดว่าแม่ของเธอนั้นไม่มีเหตุผลเลยแม้แต่น้อย ก็เห็น ๆ อยู่ว่าแม่ของเธอทำไม่ถูกต้อง แต่ก็ยังไม่สนใจ
เธอลากจางฉุ้ยจวินมาพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เสี่ยวจวิน พี่จะไม่ถือโทษโกรธแก แกบอกความจริงมา ว่าแกซื้อมันมาจากร้านไหน ฉันจะได้เอามันไปคืน !”
จางฉุ้ยจวินขมวดคิ้วเล็กน้อยแล้วพูดพึมพำว่า “เจ้าของร้านไม่ให้คืนหรอก !”
จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจดี แต่เธอก็อยากจะลองดู เลยเอ่ยปากพูดออกไปว่า “ฉันจะลองไปถามเขาดู พูดคุยกับเขาด้วยเหตุผล ถ้าฉันไม่มีเงินนี้ ฉันก็เข้าเรียนมหาวิทยาลัยไม่ได้ !”
เมื่อจางฉุ้ยจวินเห็นว่าพี่สาวไม่โกรธตัวเองแล้ว เขาจึงเริ่มอวดเบ่งขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นก็พูดออกไปอย่างไม่มีเหตุผลว่า : “เข้ามหาวิทยาลัยมันดีตรงไหน ? พี่เป็นผู้หญิง อีก 2 ปีก็ต้องแต่งงานออกเรือนแล้ว จะเสียเงินมากมายไปเรียนทำไม ไม่มีประโยชน์เลยสักนิด ! ”
เมื่อเช่าหวาที่เดินตากลมอยู่บริเวณลานบ้านได้ยินดังนั้น หล่อนก็พูดเสริมลูกชายอีกว่า “พูดอีกก็ถูกอีก ผู้หญิงยังไงก็ต้องแต่งงานออกเรือนอยู่ดี ผู้หญิงคนหนึ่งจำเป็นจะต้องมีอนาคตที่สดใสไปทำไมกัน ยังไงก็ต้องไปซักผ้าให้สามีและทำกับข้าวให้กับลูก ๆ อยู่แล้ว ? ”
เมื่อพูดจบหล่อนก็เดินเข้ามา หล่อนมองไปทางจางฉุ้ยเหลียนพร้อมกับขมวดคิ้ว “ฉุ้ยเหลียนเอ๋อ แกไม่ต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยหรอก ฉันว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะ ยิ่งไปเป็นทำงานเป็นคุณครูยิ่งไม่มีประโยชน์ เงินเดือนอาชีพครูเดือนหนึ่งยังไม่เท่าแกปะติดกล่องกระดาษเลย”
จางฉุ้ยเหลียนทั้งโกรธทั้งอยากจะหัวเราะออกมา “แม่ หนูเคยได้ยินว่าแม่ทุกคนอยากให้ลูกได้ดี แต่หนูไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าจะมีแม่คนไหนที่ไม่อยากให้ลูกได้ดี แม่อายที่หนูจะไปเป็นคุณครูอย่างนั้นหรือคะ ? ถ้าแม่ให้หนูไปปะติดกระดาษลัง แล้วหลังจากนั้นล่ะ หนูจะไปทำงานอะไร ? ถ้าหนูได้เป็นคุณครู หนูก็จะหาเงินก้อนโตได้เลยนะ !”
เมื่อเช่าหวาได้ยินดังนั้น หล่อนก็เห็นด้วยอยู่ในใจ ในสมัยนี้การที่จะหาเงินก้อนโตได้ก็ต้องมีการศึกษา แต่ถึงอย่างไรเมื่อจางฉุ้ยเหลียนเรียนจบเธอก็ต้องแต่งงานอยู่ดี มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ
เมื่อจางฉุ้ยเหลียนเห็นท่าทางของเช่าหวา หัวใจของเธอก็เต้นตึกตัก เธอชินกับความรู้สึกนี้ไปแล้ว ทุกครั้งที่แม่ของเธอคิดคำนวณเรื่องเงิน ก็มักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอ
“ฉุ้ยเหลียน แกก็เห็นว่าครอบครัวของเราไม่ได้ร่ำรวย เอาอย่างนี้ดีไหม แกเขียนสัญญาหนี้มาให้ฉัน เขียนว่าแกติดหนี้ฉัน 1,000 หยวน ไว้แกเรียนจบแกก็หาเงินมาคืนฉัน เอาเงินก้อนโตนั่นมาให้ฉัน ถือซะว่าเป็นเงินค่าสินสอดทองหมั้น อย่างอื่นฉันก็ไม่ต้องการอะไรแล้ว ”
จางฉุ้ยหลียนคิดว่าตัวเองนั้นรู้จักนิสัยแม่ของตัวเองเป็นอย่างดี แต่เธอก็นึกไม่ถึงเลยว่าเช่าหวาจะมาขอเงินเธอซึ่ง ๆ หน้าแบบนี้
“แม่ หนูฟังไม่ผิดใช่ไหม ทำไมหนูจะต้องเป็นหนี้แม่ 1,000 หยวนด้วยล่ะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนเบิกตามองทางไปเช่าหวาอย่างไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
เช่าหวาขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “ฉันคิดว่านี่มันเป็นวิธีการที่ดีที่สุดแล้ว แกคิดว่าแม่กับพ่อของแกเลี้ยงดูครอบครัวมาอย่างสุขสบายมากนักรึไง เพื่อส่งแกเรียนจนจบมัธยมปลาย เราถึงได้ไม่มีเงินมาซ่อมแซมบ้านแบบนี้ไง แกบอกว่าหลังจากที่แกเรียนจบแล้ว แกจะหาคนดี ๆ มาแต่งงานด้วย แล้วฉันกับพ่อแกล่ะจะทำยังไง ? น้องของแกก็ต้องแต่งงานเอาสะใภ้เข้าบ้านมันก็ต้องใช้เงินด้วยเหมือนกันไม่ใช่หรือ ? ”
จางฉุ้ยเหลียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “แม่ หนูอยู่กับแม่มาตลอด 6 ปี ตอนนั้นแม่บอกกับหนูว่าพ่อแม่บุญธรรมไม่จริงใจกับหนู แล้วแม่ยังบอกหนูอีกว่าแม่จะทำให้หนูมีชีวิตที่ดีขึ้น ครอบครัวของเราจะมีความสุข แล้วตอนนี้ทำไมแม่ถึงมาพูดแบบนี้ล่ะ ? ”
เช่าหวานิ่งงันไปทันที หล่อนคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนแตกต่างไปจากเมื่อก่อน เพราะเธอมักจะพูดถึงเรื่องที่ถูกทอดทิ้งในวัยเด็ก อีกทั้งเธอยังมักจะพูดสิ่งต่าง ๆ ให้หล่อนสะอึกเกือบทุกครั้งด้วย
“ฉันพูดอะไรผิดอย่างนั้นหรือ ? คนที่อยู่ด้วยกันมา 6 ปี ปฏิบัติกับแกยังไง แกก็ลองถามมโนธรรมจิตสำนึกของแกดูสิ” เช่าหวาเบิกตากว้าง แล้วชี้นิ้วไปทางจางฉุ้ยจวิน “แกให้น้องชายแกพูดสิว่า เมื่อก่อนตอนที่แกยังไม่กลับมาที่นี่ เขามีชีวิตแต่ละวันผ่านไปยังไงบ้าง พอแกกลับมา ฉันให้เงินแกตั้งเฟิน 2 เฟิน แกยังจะไม่พอใจอีกหรือ ? ยังไม่ทันที่แกจะได้แต่งงาน แกก็มาหัวรั้นกับแม่แกแบบนี้แล้ว มันใช่รึไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มออกมาอย่างเย็นชา : “แม่ อย่าคิดว่าหนูไม่รู้นะ ตลอด 6 ปีที่ผ่านมา พ่อแม่บุญธรรมส่งเงินมาให้แม่มาตลอดเดือนละ 5 หยวน เพื่อเป็นค่าเลี้ยงดูหนู แม่บอกหนูหน่อยสิว่า ในแต่ละเดือนหนูใช้จ่ายเงินมากขนาดนั้นเลยหรือ เมื่อสองวันก่อนที่หนูถามแม่เรื่องเรียนมหาวิทยาลัย แม่ก็บอกว่าแม่จะช่วยหนูจ่ายค่าเทอม แต่พอตอนนี้หนูสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้ว แม่กลับบอกหนูว่าแม่ไม่มีเงิน และวันนี้ยังมาพูดเรื่องเงินค่าสินสอดกับหนูอีก หนูไม่รู้จริง ๆ ว่าแม่ประหยัดมัธยัสถ์หรืออะไรกันแน่ ทำไมถึงได้เห็นแก่เงินมากขนาดนี้ !”
จางฉุ้ยจวินเองก็เพิ่งจะได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก เขาจึงหันไปมองแม่ของเขาในทันที และถามหล่อนออกไปว่า “แม่ เป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ ? พ่อบุญธรรมของจางฉุ้ยเหลียนส่งเงินมาให้เยอะขนาดนั้นเลยหรือ !”
เช่าหวาสบถกลับด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย “เหลวไหล !แกกำลังฝันอยู่รึไง พ่อบุญธรรมของแกจะส่งเงินมาให้แกทำไม ไอ้ลาหน้าโง่ตัวไหนมันมาพูดจาไร้สาระกับแก และให้แกมาพูดกับฉันแบบนี้ !”
เมื่อเช่าหวารู้ว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นรู้ความจริง หล่อนคิดว่าต้องเป็นสะใภ้ข้างบ้านอย่างแน่นอนที่เป็นคนมายั่วยุลูกสาวของหล่อน หล่อนจึงรีบพุ่งตัวออกไปและเริ่มด่ากราดเสียงดังในทันที โดยที่ไม่สนใจจางฉุ้ยเหลียนที่เพิ่งทะเลาะเบาะแว้งกับหล่อนเมื่อสักครู่แต่อย่างใด
เช่าหวาด่ากราดคนในบ้านเสียงดัง จนบ้านที่อยู่ติดกันต่างก็ได้ยินกันหมด แต่พวกเขาก็เคยชินกับมันแล้ว จึงไม่มีใครสนใจและออกมาดูเท่าไหร่นัก คุณปู่และคุณย่าของจางฉุ้ยเหลียนก็ได้แต่ทอดถอนใจอยู่ภายในบ้าน “ทำไมถึงได้หาสะใภ้แบบนี้มาให้เหล่าเอ้อกันนะ วัน ๆ ไม่ทำอะไร ทั้งตะกละตะกลาม ขี้เกียจ แล้วยังนิสัยเสียอีกต่างหาก !”
หญิงชราได้แต่ปลายตามองออกไปข้างนอก ก่อนจะเบะปากแล้วพูดว่า “ส่งลูกสาวเรียนถึงมัธยมปลาย คุณดูสิบ้านใครเขาเป็นแบบนี้บ้าง ? มีเงินเก็บออมไม่สู้เท่าเอาเงินมาสร้างบ้านไม่ดีกว่าหรือ ทุกวันนี้บ้านก็แทบจะดูไม่ได้อยู่แล้ว !”
ชายชราเองก็อึดอัดใจไม่น้อย “เธอบอกว่าเช่าหวาไม่มีเงิน แล้วทำถึงมีเงินส่งลูก ๆ เรียนได้ล่ะ ? ”
หญิงชราโพล่งด่าลับหลังสะใภ้ด้วยความโกรธ “พูดแล้วมันก็น่าโมโห !ฉันได้ยินหลิวกุ้ยเฟินภรรยาของตาใหญ่พูดว่า เงินนั่นมันเป็นเงินของเหล่าเซี่ยต่างหาก แต่หล่อนก็ยังหน้าด้านปฏิเสธกับฉันว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ฉันเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะเชื่อหล่อนได้รึเปล่า !”
ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อย “ภรรยาของเหล่าเอ้อบ้าไปแล้วรึไง ? หล่อนจะให้ลูกสาวกลับมาทำไม ? ทั้ง ๆ ที่มีลูกชายอยู่แล้วทั้งคน ที่หล่อนไปรับตัวลูกสาวกลับมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อที่หล่อนจะเป็นคนส่งลูกสาวเรียนมหาวิทยาลัยเองอย่างนั้นหรือ ? ”
หญิงชราแสยะยิ้ม “คุณยังไม่รู้สินะว่าหล่อนเป็นคนยังไง ? ฉันกลัวว่าที่หล่อนไปรับลูกสาวกลับมาอยู่ที่นี่ มันจะเป็นเพราะเงินของเหล่าเซี่ยมากกว่า !”
“มันน่าขายขี้หน้าเสียจริง ! แล้วเหล่าเอ้อไม่รู้เรื่องนี้เลยหรือ ? ” พอพูดอย่างนี้แล้ว ชายชราก็แทบอยากจะตบหน้าตัวเองเลยทีเดียว เหล่าเอ้อนั้นค่อนข้างเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรีของตัวเองมากคนหนึ่ง แต่ก็ไม่คิดว่าวันเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้ยิ่งอยู่ยิ่งแย่ลงเรื่อย ๆ แบบนี้ ออกไปทำงานหาเงินทั้งวันโดยที่ไม่รู้เรื่องราวภายในบ้านเลย !”
เมื่อหลิวกุ้ยเฟินได้ยินบทสนทนาของสองสามีภรรยา หล่อนก็รีบเดินออกมาจากในห้องทันที หล่อนเป็นลูกสะใภ้ที่มีหูตากว้างไกล อีกทั้งยังขยันหมั่นเพียรทำงานหาเงินเก่งอีกต่างหาก สองสามีภรรยาจึงพูดคุยกันเบา ๆ เพราะไม่อยากจะให้หล่อนได้ยิน เกรงว่าจะหาเรื่องกลุ้มใจมาให้หล่อนซะเปล่า ๆ แค่หล่อนออกไปทำงานหาเงินก็มากพอแล้ว
หลิวกุ้ยเฟินที่กำลังหั่นผักหั่นเนื้ออยู่ที่ลานข้าง ๆ บ้าน หล่อนได้ยินเสียงของเช่าหวากำลังด่ากราดใครบางคนอยู่ แต่หล่อนกลับรู้สึกเหมือนเช่าหวากำลังด่าหล่อนอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อหล่อนหั่นผักทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว หล่อนก็เดินไปยืนอยู่ตรงประตูเหล็กที่กั้นระหว่างบ้านของหล่อนและบ้านของเช่าหวา หล่อนขมวดคิ้วจากนั้นจึงตะโกนถามออกไปว่า “เช่าหวา เธอด่าใคร ? ”
เช่าหวาโกรธขึ้นมาในทันที หล่อนจึงตอบกลับไปโดยไม่คิดว่า “เธอถามว่าฉันด่าใครอย่างนั้นหรือ ? ฉันก็กำลังด่าเธออยู่ยังไงล่ะ แม่ผู้หญิงลิ้นยาวตะกละตะกลาม ไร้ยางอาย หน้าไม่อาย ทำไม ? สวรรค์ไม่ประทานพรมาให้เธออย่างนั้นหรือ เธอถึงได้ทำแบบนี้ !”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิวกุ้ยเฟินก็โกรธขึ้นมาทันทีทันใด “เธอบ้าไปแล้วรึไง ? ทำไมจู่ ๆ ก็มาด่าฉันล่ะ ? ”
เช่าหวาไม่ได้บอกเหตุผล แต่กลับเลือกที่จะด่าสาดเสียเทเสียออกไปเสียงดังว่า “ทำไม ? ฉันด่าเธอไม่ได้รึไง ? สมองเธอทนต่อคำด่าไม่ได้เลยหรือ ? ”
หลิวกุ้ยเฟินเดินกระทืบเท้าตึง ๆ ออกไป แล้วตะโกนกลับไปว่า “มันไม่ถูกต้อง เธอไม่สิทธิ์มาด่าฉันแบบนี้ ! เธอคิดว่าเธอเป็นใคร ขี้เกียจก็ขี้เกียจ ตะกละตะกลาม มโนธรรมสำนึกก็ไม่มี เธอยังจะกล้ามาด่าฉันหน้าตาเฉยแบบนี้อีกอย่างนั้นหรือ !เธอไม่ต้องบอกฉัน ฉันก็รู้ว่าเธอด่าฉันทำไม เธออิจฉาที่ครอบครัวของฉันได้ดีกว่าเธอ มีดีกว่าเธอใช่ไหม ? แล้วใครให้พวกเธอสองสามีภรรยาขี้เกียจสันหลังยาว แล้วยังจะตะกละแบบนี้ล่ะ !”
เช่าหวาส่งเสียงร้องตะโกนออกมา โดยที่หล่อนก็ลืมไปว่าทุกอย่างที่หลิวกุ้ยเฟินพูดออกมามันคือความจริง
เมื่อเช่าหวาได้ยินสิ่งที่หลิวกุ้ยเฟินพูด หล่อนก็กระโดดขึ้นไปเหยียบบนที่กั้นระหว่างสองบ้าน และเริ่มด่ากราดหลิวกุ้ยเฟิน
อย่างรุนแรงจนน้ำลายกระเด็นกระดอนเต็มไปหมด