px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 9 นัดดูตัว


ตอนที่ 9 นัดดูตัว

 

หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนเก็บกวาดทำความสะอาดทุกอย่างภายในบ้านเสร็จเรียบร้อย เธอก็รีบตรงมายังบ้านของคุณน้าเฉินในทันที

 

จางกว่างฝูนั้นเป็นผู้ชายที่ไม่ทำการทำงานอะไรเลย ส่วนเช่าหวาก็เอาแต่อ้างว่าแค่นึ่งซาลาเปาก็เหน็ดเหนื่อยตรากตรำมากพอแล้ว สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงสัตว์ เรื่องงานภายในบ้าน ซักผ้า ทำกับข้าวหรือดูแลบ้านทุกอย่างต่างก็ตกมาอยู่ในความรับผิดชอบของจางฉุ้ยเหลียนทั้งสิ้น

 

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ มันจึงทำให้เธอมาถึงบ้านของคุณน้าเฉินสายไปสักเล็กน้อย จางฉุ้ยเหลียนที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาสานเสื่ออยู่ในห้อง เธอจึงไม่ได้สนใจเลยว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้านหรือไม่

 

“ฉุ้ยเหลียนเอ๋อ เข้ามาในบ้านหน่อยสิ  น้ามีเรื่องอยากคุยกับหนูหน่อยน่ะ ” คุณน้าเฉินตะโกนเรียกจางฉุ้ยเหลียนให้เข้าไปหาในบ้าน เธอจึงลุกขึ้นจากม้านั่งตัวยาวแล้วเดินเข้าไป

 

ภายในบ้านของตระกูลเฉินก็คล้าย ๆ กับบ้านของเธอ แต่ว่ามีขนาดที่ใหญ่กว่ามาก เมื่อเดินทะลุผ่านระเบียงทางเดินเข้าไปในบ้านแล้ว ก็จะเจอเข้ากับห้องที่มีขนาดกว้างขวาง และมีแสงแดดส่องทั่วถึง มีกระถางดอกไม้วางเรียงรายอยู่บริเวณริมหน้าต่าง มันกำลังเบ่งบานออกดอกสวยงามมากเลยทีเดียว ตรงมุมผนังที่อยู่ตรงข้ามกับประตูก็มีชั้นวางโทรทัศน์ตั้งอยู่ ตรงชั้นล่างถัดลงมาจากโทรทัศน์ก็มีงานฝีมือตั้งไว้อยู่ชิ้นหนึ่ง

 

ถัดกันนั้นก็มีตู้ไม้วางแนบชิดติดกับกำแพง บนตู้ไม้ก็มีแก้วชาต่าง ๆ วางเรียงกันอยู่ ใกล้ ๆ กันก็มีเตียงตั้งอยู่และบนเตียงก็มีโต๊ะเล็ก ๆ วางตั้งไว้อยู่ตรงกลาง มีหญิงสาววัยกลางคนอายุราว ๆ ประมาณ 40 กว่าปีนั่งอยู่บนเตียง ส่วนด้านล่างก็มีเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ผิวขาวเกลี้ยงเกลานั่งอยู่ และเขาก็กำลังมองพิจารณาเธอตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น

 

ด้วยความที่จิตวิญญาณของจางฉุ้ยเหลียนนั้นอายุ 40 ปีแล้ว เมื่อเธอได้เห็นเด็กหนุ่มที่ขึ้นชื่อว่าหล่อเหลาคนนี้ เธอก็คิดได้แค่ว่าเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มที่ยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมเพียงเท่านั้น ดังนั้นเธอจึงได้คลี่ยิ้มกว้างออกมา ไม่ได้แสดงสีหน้าเขินอายออกมาแต่อย่างใด ปฏิกิริยานี้จึงทำให้ผู้คนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้พยักหน้าอย่างเป็นอันรู้กันว่าพวกเขาคิดว่าจางฉุ้ยเหลียนก็เป็นเด็กสาวที่ไม่เลวคนหนึ่งเลย

 

คุณน้าเฉินคลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดว่า “หล่อนเป็นญาติจากทางฝั่งแม่ของฉันเอง หล่อนกำลังมองหาคนไปช่วยสอนหนังสือให้กับพวกเด็ก ๆ น่ะ ฉันเห็นว่าเธอเรียนดี เธออยากไปสอนหนังสือเด็ก ๆ ไหม

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยิน ดังนั้นเธอก็รีบเดินเข้ามาอย่างกระตือรือร้นในทันที จากนั้นเธอก็ถามขึ้นมาด้วยความดีใจว่า “ไม่ทราบว่ามีเด็กกี่คนคะ ถ้าเยอะเกินไปหนูเองก็ไม่กล้ารับประกันนะคะว่าจะสามารถสอนได้อย่างทั่วถึงรึเปล่า มันจะเป็นการถ่วงเวลาของพวกเด็ก ๆ ซะเปล่า ๆ น่ะค่ะ ”

 

หญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียงก็พูดขึ้นมาว่า : “ไม่เยอะหรอก ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนเลย โรงเรียนอนุบาลอยู่ไกลเกินไป รับส่งไม่สะดวก ก็เลยถือโอกาสช่วงปิดเทอมหาคุณครูไปช่วยสอนให้กับเด็ก ๆ ก่อน พอโรงเรียนเปิดในช่วงเดือนกันยายนก็ค่อยส่งพวกเขามาเข้าเรียน”

 

จางฉุ้ยเหลียนรีบพยักหน้ารับหงึกหงัก ก่อนจะนั่งลงตรงข้ามกับหญิงสาววัยกลางคนโดยอัตโนมัติ แล้วถามไถ่เรื่องอื่นเพิ่มเติมทันที “เอ่อ เด็กคนนั้นรู้จักตัวอักษรบ้างรึยังคะ ? พอจะอ่านพินอินได้ไหม ? นับตัวเลขง่าย ๆ ได้เท่าไหร่แล้วคะ ? ”

 

หญิงสาวคนนั้นนิ่งงันไปทันที เธอนึกไม่ถึงเลยว่าจางฉุ้ยเหลียนจะมีความเป็นคุณครูได้มากถึงเพียงนี้  แล้วหนุ่มหล่อหน้าใสที่อยู่นั่งข้าง ๆ จึงคลี่ยิ้มแล้วพูดว่า “หลานชายของผมเขายังอ่านพินอินไม่ได้ครับ  แต่เขาสามารถบวกลบเลขไม่เกินจำนวน 20 ได้แล้ว ส่วนตัวอักษรก็รู้จักแต่ตัวอักษรชื่อของตัวเอง นอกนั้นก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย”

 

จู่ ๆ คุณน้าเฉินก็นึกขึ้นมาได้ หล่อนจึงชี้ไปทางหญิงสาววัยกลางคนนั้นแล้วพูดว่า “ผู้หญิงคนนี้เป็นพี่สะใภ้ของฉันเอง เธอเรียกหล่อนว่าคุณป้าตามเฉียวอิงก็ได้ ส่วนนี่คือหลานชายของฉัน เขาอายุมากกว่าเธอ 2 ปี ชื่อ จ้าวกั๋วชิ้ง”

 

จางฉุ้ยเหลียนเรียกพวกเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “คุณป้า พี่กั๋วชิ้ง

 

ป้าจ้าวพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ส่วนจ้าวกั๋วชิ้งก็เอาแต่เขินอายเมื่อตนถูกเรียกว่า “พี่กั๋วชิ้ง” ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน ส่วนจางฉุ้ยเหลียนก็นึกขึ้นมาได้ว่า ในเมื่อเด็ก ๆ ไม่ได้เข้าเรียนโรงเรียนอนุบาล แล้วบ้านของพวกเขาอยู่ที่ไหนกันล่ะ

 

เมื่อเอ่ยปากถามก็ได้ความมาว่าบ้านของพวกเขานั้นอยู่ในเขตต้าหมิงถุนที่อยู่ห่างออกไปจากที่นี่ไกลมาก ขนาดว่าปั่นจักรยานยังต้องใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงเลยทีเดียว เมื่อมาคิด ๆ ดูแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็รู้สึกลำบากใจขึ้นมาทันที

 

ป้าจ้าวจึงคลี่ยิ้มแล้วถามออกไปว่า “แล้วการสอบของเธอเป็นยังไงบ้าง ? ถ้ามหาวิทยาลัยของเธอเปิดเทอม เธอก็ต้องไปเรียนแล้วใช่ไหม ?”

 

จางฉุ้ยเหลียนเพิ่งจะมาสังเกตเห็น ว่าเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ นั้นค่อนข้างดูจะเป็นกังวล เธอจึงมองไปทางเขาด้วยความแปลกใจ ก่อนที่เธอจะตอบกลับไปว่า “มันเป็นโอกาสที่ดีของหนูค่ะ หนูสมัครเรียนสาขาคุรุศาสตร์ไว้ ถ้าสอบเข้าได้ก็จะสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ทันทีเลย แต่ตอนนี้ก็ยังไม่รู้เลยค่ะว่าทางบ้านของหนูจะส่งหนูเรียนได้รึเปล่า

 

ป้าจ้าวพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า  “เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วงเลย หลังจากที่เธอสอบเข้าเรียนสาขาครุศาสตร์ได้แล้ว เธอค่อยกลับมาเป็นคุณครูสอนเด็กอนุบาลที่บ้านก็ได้ ยังไงก็มีปิดเทอมภาคฤดูหนาวกับปิดเทอมภาคฤดูร้อนอยู่แล้ว ก็ไม่ถือว่าเหนื่อยมากนัก

 

คุณน้าเฉินนั้นเข้าใจเป็นอย่างดี จึงได้พูดกับจางฉุ้ยเหลียนว่า : “ฐานะทางครอบครัวของเธอก็ไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ สิ่งที่น้าจะพูด เธอก็อย่าโกรธน้าเลยนะ

 

จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้ม แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ คุณน้าเฉินพูดมาได้เลยค่ะ

 

“ครอบครัวของเธอก็ยังมีลูกชายอยู่อีกคน จริง ๆ แล้วในละแวกนี้ใครเป็นยังไงทำอะไรทุกคนต่างก็รู้ดี เธอบอกว่าเธอต้องออกมาทำงานหาเงินเป็นค่าเล่าเรียน แล้วเมื่อไหร่เธอถึงจะเก็บเงินได้พอกันล่ะ ? ไม่สู้เท่าเธอแต่งงานกับครอบครัวดี ๆ สักครอบครัวหนึ่ง ที่เขาสามารถส่งเธอเรียนได้ แล้วหลังจากที่เธอเรียนจบ เธอก็ยังมีงานดี ๆ ทำ แล้วก็มีครอบครัวมีสามีที่ดี แบบนี้ไม่ดีกว่าหรือ เขาเรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยนะ

 

เมื่อคุณน้าเฉินพูดจบ จางฉุ้ยเหลียนก็เข้าใจในทันที บวกกับที่ตัวเธอเองนั้นได้ยินบทสนทนาของเฉินเฉียวอิงและจางฉุ้ยหลินพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเธอมาก่อนหน้านี้ มันก็ยิ่งตรงกับเหตุการณ์ในตอนนี้พอดี ใบหน้าของจางฉุ้ยเหลียนจึงแดงระเรื่อและพูดอะไรไม่ออก

 

เมื่อเห็นว่าจางฉุ้ยเหลียนเข้าใจในสิ่งที่น้าเฉินพูดในทันทีและรีบก้มหน้าที่แดงระเรื่อลง ป้าจ้าวก็รู้สึกใจเต้นรัวขึ้นมาทันที หล่อนหันไปมองลูกชายที่นั่งทำหน้าเขินอายด้วยความดีใจอยู่ข้าง ๆ จากนั้นจึงหันมามองจางฉุ้ยเหลียนที่แสนฉลาดคนนี้ หล่อนก็เกิดความลังเลขึ้นมา

 

“เด็กคนนี้นี่ หยุดเขินได้แล้ว น้าของเธอก็พูดกับเธอไปตรง ๆ แล้ว ญาติของเราก็มีตั้งเยอะตั้งแยะ แถมครอบครัวเราก็ยังมีเด็กหนุ่มที่หน้าตาดีอีกมาก ไว้ฉันจะกลับไปถามที่บ้านให้ ถ้าพ่อแม่ของเธอตกลง ฉันก็จะเป็นแม่สื่อให้เอง ป้าจ้าวพูดแบบนี้ ทำให้จางฉุ้ยเหลียนถึงกับต้องลูบศีรษะเลยทีเดียว

 

ส่วนคุณน้าเฉินและจ้าวกั๋วชิ้งก็มองไปทางหล่อนด้วยสีหน้าทึ่ง ๆ ป้าจ้าวส่งเสียงไอแห้ง ๆ ออกมา ก่อนจะยิ้มแล้วพูดว่า “บ้านของเราอยู่ไกลมาก ถ้าเธอตกลงที่จะมาช่วยสอนหนังสือให้กับเด็ก ๆ ล่ะก็ เธอปั่นจักรยานมาที่บ้านของเราทุกวันก็ได้นะ มีข้าวมื้อเที่ยงให้กิน ทำงานค่าจ้างเดือนละ 20 หยวน ตกลงไหม ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “หนูขอกลับไปคิดดูก่อนนะคะ ยังไงเรื่องนี้หนูก็ต้องไปปรึกษากับพ่อแม่ของหนูก่อนค่ะ

 

เมื่อพูดจบเธอก็ยืนขึ้น ก่อนจะยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ถ้าไม่มีอะไรแล้ว หนูขอตัวออกไปทำงานก่อนนะคะ

 

คุณน้าเฉินรีบพยักหน้า “ได้สิ ไปเถอะ ถ้าเธออยากจะทำงานนี้จริง ๆ พรุ่งนี้เธอค่อยมาบอกน้าก็ได้ น้าจะพาเธอไปที่บ้านของป้าจ้าวเอง

 

เมื่อพูดจบหล่อนก็มองไปทางจางฉุ้ยเหลียนที่เดินออกไปจากห้อง หล่อนอดที่จะถามขึ้นมาไม่ได้ว่า “พี่สะใภ้ ที่พี่พูดเมื่อกี้หมายความว่าอย่างไรหรือคะ ? ”

 

จ้าวกั๋วชิ้งก็บ่นพึมพำว่า “ใช่ ผมว่าเธอก็ดูดีมากเลยนะ

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมา เธออ้างว่าขอตัวไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นเธอก็เดินลัดจากห้องน้ำมาถึงสวนผักด้านหลัง แล้วจึงค่อย ๆ เดินย่องเบา ๆ มาจนถึงหน้าต่างด้านหลัง เธอคุกเข่าลงเพื่อแอบฟัง การกลับมาเกิดใหม่ครั้งนี้ เธอกลายเป็นคนที่ชอบแอบฟังคนอื่นเขาคุยกันไปแล้วอย่างนั้นหรือ

 

“ว่ายังไงคะ พี่กลัวว่าจะได้มานั่งเสียใจภายหลังหรือ ? ” คุณน้าเฉินถามด้วยเสียงต่ำ ๆ ป้าจ้าวจึงได้แต่ทอดถอนใจออกมา “จะทำยังไงได้ล่ะ ฉันก็อยากให้หล่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ หลังจากที่หล่อนจบมาเป็นคุณครูแล้ว เราค่อยมาว่ากันอีกทีก็ยังไม่สายนะ

 

คุณน้าเฉินนิ่งงันไปชั่วคณะ เธอไม่รู้ว่าพี่สะใภ้ของเธอจะคิดแบบนี้ : “แล้วจะเอาไงล่ะ เด็ก ๆ ก็ไม่ได้ชอบพอกันด้วย ? ”

 

ป้าจ้าวส่ายหน้า “หน้าตาก็ดี ฉันมองดูแล้วหล่อนก็ดูสะอาดสะอ้านดี เธอเห็นพวกหญิงแก่ด้านนอกนั่นไหมล่ะ เนื้อตัวของพวกหล่อนทั้งสกปรกแล้วก็เต็มไปด้วยละอองต้นอ้อ หล่อนเป็นคนเดียวที่ยังสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ยังดูสะอาด ผูกผ้ากันเปื้อนรอบเอว ตอนที่จะเข้ามาก็ถอดผ้ากันเปื้อนไว้ข้างนอก เพราะกลัวว่าจะสร้างความสกปรกในบ้าน ฉันเห็นแวบแรกก็ถูกมากชะตามากเลยทีเดียว

 

จ้าวกั๋วชิ้งก็อดที่จะเอ่ยปากถามไม่ได้ว่า “แล้วทำไมล่ะครับ?”

 

ป้าจ้าวถลึงตาใส่ลูกชายแวบหนึ่ง : “แล้วทำไมอย่างนั้นหรือ? เพราะหล่อนดูเฉลียวฉลาดเกินไปยังไงล่ะ แกก็เห็นว่าตอนแรกหล่อนคิดว่าเราต้องการมาหาครูสอนหนังสือเด็กจริง ๆ  ถามแต่สถานการณ์ของเด็ก ๆ อย่างเดียว แต่ตอนที่หล่อนได้ยินที่น้าของแกพูด  หล่อนก็เข้าใจได้ในทันที ถ้าเป็นคนอื่นจะเข้าใจได้ในทันทีแบบนี้หรือ”

 

สิ่งที่คุณน้าเฉินคิดก็คือถ้าเธอเป็นพี่สะใภ้ เธอก็คงจะคิดไม่ถึงอย่างแน่นอน แผนในตอนแรกของเธอก็คือการจงใจที่จะข้ามสองสามีภรรยาตระกูลจางนั่นไปก่อน ให้พี่สะใภ้ของเธอมาดูตัวจางฉุ้ยเหลียนเสียก่อน สิ่งที่เธอคิดไว้ก็คือหากว่าพี่สะใภ้ของเธอชอบ หลานชายเธอชอบ จากนั้นเธอจึงค่อยพาพวกขาไปเจอสองสามีภรรยาตระกูลจาง สองสามีภรรยาตระกูลจางมีนิสัยที่เห็นแก่เงิน พวกเขาคงจะไม่มีทางยอมพลาดการแต่งงานครั้งนี้ไปได้อย่างแน่นอน

 

“แม่นี่มันจริง ๆ เลย ถ้าไม่ฉลาด หล่อนจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ยังไงกันล่ะครับ ?  ถ้าแม่จะหาคนโง่ แม่ก็ต้องหาคนที่มีการศึกษาด้วยสิ จะไปหาคนแบบนี้ได้ที่ไหนอีกล่ะครับ ? ” จ้าวกั๋วชิ้งคงจะชอบจางฉุ้ยเหลียนเข้าแล้วจริง  ๆ  เมื่อได้ยินว่าการแต่งงานครั้งนี้ต้องพังทลายลงก็อดที่จะโมโหขึ้นมาไม่ได้

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินประโยคนี้ เธอก็เข้าใจได้ในทันที ถ้าการแต่งงานครั้งนี้เกิดขึ้น ก็คงจะเป็นเรื่องที่แปลกเอามาก ๆ ไม่ใช่ว่าเธอไม่ชอบจ้าวกั๋วชิงหรอกนะ แต่คำพูดของจ้าวกั๋วชิงเมื่อสักครู่นี้ มันเป็นการฝืนโชคชะตาของเธอและเขาอย่างไรอย่างนั้น

 

แล้วยังไงล่ะ ตอนแรกป้าจ้าวก็พูดกับคนอื่นว่าจางฉุ้ยเหลียนเป็นเด็กดีมากคนหนึ่งอย่างโน้นอย่างนี้ แต่หล่อนก็ไม่ยอมให้ลูกชายของหล่อนแต่งงานกับจางฉุ้ยเหลียน  แม่คนไหนเขาจะยอมกันล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นป้าจ้าวก็ยังเป็นแม่สามีที่เข้มงวดมากคนหนึ่งอีกด้วย

 

“คนที่มีการศึกษา หาจากไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ถ้าได้สะใภ้แบบนี้แกก็จะไม่สามารถควบคุมหล่อนได้” ดวงตาของป้าจ้าวแข็งกร้าวขึ้นมาทันที จากที่ดูจางฉุ้ยเหลียนทำงานหาเงินเพื่อที่จะส่งตัวเองเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว หลังจากนี้ถ้าเธอได้แต่งงานเข้ามาในตระกูลของหล่อนจริง ๆ ล่ะก็ คนที่จะเป็นใหญ่ในบ้านก็คงจะไม่ใช่ลูกชายของหล่อนอย่างแน่นอน

 

“ใครจะเป็นใหญ่ในบ้านแล้วยังไงล่ะครับ คนที่เป็นใหญ่ในบ้านก็เป็นแม่อยู่ดีไม่ใช่หรือ จ้าวกั๋วชิ้งพูดประโยคนี้ออกไป ยิ่งไปกระตุ้นความโกรธของแม่เขาได้เป็นอย่างดี : “แกยังไม่มีอนาคตเลย ถึงยังไงฉันก็ไม่ถูกใจ ค่อยหาใหม่แล้วกัน คนนี้ไม่ผ่าน

 

จ้าวกั๋วชิ้งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ก็ผมชอบเธอ แต่แม่กลับบอกว่าไม่ดี

 

ป้าจ้าวยิ้มอย่างเย็นชาแล้วพูดว่า “ฉันพูดผิดตรงไหน ไม่เชื่อแกก็ลองดูสิ ถ้าฉันไม่ให้เงินแก ฉันจะคอยดูว่าแกจะแต่งงานกับหล่อนได้ไหม ? ”

 

คุณน้าเฉินเห็นสองแม่ลูกเริ่มทะเลาะกัน หล่อนจึงอดที่จะหัวเราะออกมาอย่างช่วยไม่ได้  “เอาล่ะ ๆ ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้ จะมาทะเลาะกันทำไม ไม่กลัวคนข้างนอกจะมาได้ยินเอาหรือ

 

หลังจากนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้กลับเข้าไปในบ้านของตระกูลเฉินอีก เธอเดินไปพลางเอามือลูบกำแพงไปพลางด้วยความรู้สึกแย่ อีกทั้งเงินที่เธอหามาได้จากตระกูลเฉินก็ไม่ได้มากมายอะไร สิ่งเดียวที่เธอคิดได้ก็คือการนึ่งซาลาเปาให้พ่อกับแม่ และเธอก็คิดได้อีกวิธีหนึ่ง แต่พอคิดไปคิดมาแล้วเธอก็ทำได้เพียงแค่ต้องเข้าไปดูในเมืองด้วยตัวเองเพียงเท่านั้น

 

จางฉุ้ยเหลียนเดินไปตามถนน เมื่อเห็นเช่าหวาและจางกว่างฝูกำลังขายซาลาเปากันอยู่ที่ริมถนน เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหาพวกเขา เมื่อเช่าหวาเห็นลูกสาวเดินเข้ามา ประโยคแรกที่หล่อนถามออกมาก็คือ : “ทำไมแกไม่ไปทำงาน ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนจึงพูดขึ้นมาว่า “งานมันได้เงินน้อยเกินไป หนูอยากเข้าไปงานในเมืองทำ ไปเป็นพนักงานเสิร์ฟก็ได้

 

เช่าหวาเบะปาก “เพ้อเจ้อ แกเนี่ยนะจะไปเป็นพนักงานเสิร์ฟ ? ฉันว่าแกขี้เกียจจะตายไป ถ้าทำไม่ได้ก็มาขายซาลาเปากับฉัน

 

จางฉุ้ยเหลียนเข้าใจพ่อกับแม่ของตัวเองดี ถ้าให้เธอมาช่วยขายซาลาเปาล่ะก็ ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงสองสามีภรรยาก็ต้องกลับไปนอนที่บ้านอย่างแน่นอน หลังจากนั้นก็คงคอยแต่จะเก็บเงินจากการขายซาลาเปาของเธอเท่านั้น

 

เธอส่ายหน้า “เงินที่ขายซาลาเปามันจะพอกับค่าเรียนมหาวิทยาลัยของหนูหรือ ? ไม่ต้องให้หนูออกไปหาเงินก็ได้อย่างนั้นหรือ ? ”

 

เช่าหวาที่ถูกลูกสาวไล่ต้อนจนมุม หล่อนจึงหัวเราะเยาะเย้ยออกมา “อยากไปก็ไป พอเห็นแกอยู่แต่ในบ้านไม่ทำงานทำการอะไรแล้วมันก็รู้สึกขัดใจ ”

 

ดังนั้นจางฉุ้ยเหลียนจึงได้ขึ้นรถประจำทางเพื่อเดินทางเข้าไปในเมือง จนกระทั่งรถมาถึงในตัวเมือง เธอก็ลงจากรถและเริ่มเดินไปทั่วทุกหนทุกแห่ง ทำงานพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารก็ได้ค่าจ้างน้อย

 

จางฉุ้ยเหลียนเดินมาจะ 4 ชั่วโมงเต็มแล้ว ในที่สุดเธอก็เห็นประกาศรับสมัครของโรงงานเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง มันเป็นโรงงานเกี่ยวกับกล่องกระดาษ พวกเขารับสมัครคนติดกล่องกระดาษ ค่าจ้างต่อชิ้น ที่สำคัญสามารถเอามันกลับไปทำที่บ้านของตัวเองได้ด้วย

 

รีวิวผู้อ่าน