px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 8  ทะเลาะ


ตอนที่ 8  ทะเลาะ

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือว่าควรจะร้องไห้ออกมาดี สองวันมานี้เธอถูกพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอทำร้ายจิตใจจนมันชาชินไปหมดแล้ว ตอนนี้หัวใจของเธอไม่เหลือพื้นที่ว่างให้เจ็บปวดได้อีกต่อไปแล้ว

 

ที่จางฉุ้ยหลินพี่ชายลูกพี่ลูกน้องของเธอพูดมามันก็ถูก ถ้าไม่มีคนส่งเงินมาให้เธอ พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอก็คงไม่เอาเงินของพวกเขามาสิ้นเปลืองกับเธอหรอก เพราะในใจของพวกเขามีลูกเพียงแค่คนเดียวนั่นก็คือจางฉุ้ยจวินน้องชายของเธอ

 

“พวกเขาเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของฉุ้ยเหลียนเอ๋อนะ ทำไมถึงไม่ดูแลเธอให้เหมือนกับพ่อแม่บุญธรรมของเธอล่ะ ? แล้วฉุ้ยเหลียนเอ๋อทำไมถึงได้โง่ขนาดนั้น ? จะมาทนอยู่ในบ้านหลังนี้ทำไมกัน ? หนีไปสิ เฉินเฉียวอิงพูดออกมาได้แทนใจใครหลาย ๆ คน ถ้าเป็นคนปกติทั่วไป พวกเขาก็คงเลือกที่จะออกจากบ้านหลังนี้ไปแล้ว

 

จางฉุ้ยเหลียนยิ้มออกมาอย่างขมขื่น : หลอกตัวเองจนกลายเป็นคนโง่ ถูกปั่นหัวทุกครั้งให้กระวนกระวายใจ

 

“แม้ว่าพวกเขาจะไม่ดีสักแค่ไหนแต่ถึงยังไงก็ยังเป็นพ่อกับแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเอง คนนอกจะไปดีกว่าพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเองได้ยังไงล่ะ ? พระคุณผู้ให้กำเนิดกับพระคุณผู้เลี้ยงดู เธอว่าอันไหนมันยิ่งใหญ่กว่ากัน ? ” ถึงยังไงจางฉุ้ยหลินก็เป็นคนของตระกูลจาง เขาก็ยังเห็นแก่หน้าของคุณอาและอาสะใภ้รองทั้งสองของเขาอยู่

 

“ถ้านายพูดแบบนี้ ฉันจะขอให้แม่ของฉันหาครอบครัวที่ดีให้กับฉุ้ยเหลียนเอ๋อ พึ่งแม่ผู้ให้กำเนิดไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะหาแม่สามีที่ดีไม่ได้ไม่ใช่หรือ ? ” เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินดังนั้น เธอก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันที ดูท่าโลกใบนี้จะยังมีคนที่ไม่เห็นแก่ตัวและไม่นึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตัวเองอยู่บ้าง

 

“ฉันว่าเธอพักเรื่องนี้ไปก่อนดีไหม เธอกลับบ้านไปแล้วค่อยไปบอกเรื่องนี้กับแม่ของเธอก็ได้ อย่าไปสนใจเรื่องในครอบครัวคุณอาของฉันเลย ไม่แน่ว่าอาสะใภ้รองของฉัน เธออาจจะป่วยจนมีทำให้มีความคิดที่ไม่ดีก็ได้ เธอค่อยไปสนใจเรื่องของพวกเขาทีหลังเถอะ ตอนนี้เรื่องที่ฉันอยากจะรู้ก็คือเธอจะแต่งงานกับฉันได้ยังไง ” จางฉุ้ยหลินรีบเร่งให้เฉินเฉียวอิงคิดหาทาง จนเขาร้อนใจพูดความในใจออกมา

 

“น่าเกลียด ใครจะแต่งงานกับนายไม่ทราบ ? ครอบครัวของนายมีอะไรดี ฉันไม่แต่ง น้ำเสียงของพวกเขาค่อย ๆ ไกลออกไป ดูเหมือนว่าเฉินเฉียวอิงน่าจะวิ่งออกไปแล้ว

 

จางฉุ้ยเหลียนจึงเดินออกมาจากใต้สะพาน แล้วเธอก็ไล่ต้อนเป็ดกลับบ้านด้วยสีหน้าที่ไร้ความรู้สึก เมื่อเธอไล่ต้อนเป็ดกลับเข้าเล้า เปิดน้ำล้างเนื้อล้างตัวเรียบร้อยและเดินเข้าไปในบ้าน เธอก็พบว่าพ่อแม่และน้องชายของเธอกำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ และไม่ได้ทำงานทำการอะไรเลย

 

จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่ในใจโดยที่เธอก็ไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกไป เธอหมุนตัวแล้วเดินกลับเข้าไปในห้องนอนของตัวเองเพื่อที่จะพักผ่อน แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้ล้มตัวลงนอน เธอก็ได้ยินเสียงของเช่าหวาตะโกนขึ้นมาว่า : “กลับมาแล้วหรือ ? กลับมาแล้วก็ไปสับหมูทำไส้ซาลาเปาสิ อย่ามัวแต่ขี้เกียจ

 

เธอรู้ได้ในทันทีว่าถึงเธอจะหลบยังไงก็หลบไม่พ้น เหอะ  ถึงอย่างไรพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอก็ยังให้เธอเป็นคนทำซาลาเปาอยู่ดี

 

โปะ โปะ โปะ จางฉุ้ยเหลียนใช้มีดสับเนื้ออย่างรุนแรง จนได้ไส้ซาลาเปามาทั้งหมด 3 กะละมัง ทางด้านเช่าหวาก็ไม่ได้ทำอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว หล่อนกินแรงของจางฉุ้ยเหลียน และเอาแต่ใช้ให้เธอเป็นคนทำทุกอย่างเพียงคนเดียว

 

“ไอ้หยา จางฉุ้ยเหลียน จางฉุ้ยจวินตะโกนออกมาจากในบ้าน : “พี่สับเนื้อเบา ๆ หน่อยไม่ได้รึไง ฉันไม่ได้ยินอะไรเลยเนี่ย

 

เมื่อจางฉุ้ยเหลียนได้ยินประโยคนี้ ความโกธรของเธอก็ประทุขึ้นมาทันที ที่เธอกตัญญูต่อพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดนั้นมันก็เป็นสิ่งที่เธอควรทำ แต่ไม่ใช่ว่าน้องชายของเธอจะมีสิทธิ์มาออกคำสั่งอะไรกับเธอก็ได้ เมื่อเธอนึกถึงท่าทางไม่เอาไหนของน้องชายเมื่อชาติที่แล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีก

 

ตึง เธอทิ้งมีดปังตอลง แล้วเดินเข้าไปในบ้าน เธอก็เห็นพ่อแม่และน้องชายของเธอกำลังเคี้ยวแตงโมไปพลางดูโทรทัศน์ไปพลางอย่างสบายใจ

 

“แกมีความสุขมากนักใช่ไหม ? ฉันทำงานงก ๆ อยู่ในครัว แต่แกได้กินแตงโมและนั่งดูโทรทัศน์อยู่ในบ้าน  ไม่ทำงานไม่ว่า แต่แกยังมาว่าฉันทำเสียงดังอีกอย่างนั้นหรือ ถ้าสับเนื้อใช้แรงน้อยมันจะไปละเอียดได้ยังไง ? เด็กอย่างแกยังมีหน้ามาพูดกับฉันแบบนี้อีกหรือ ? ” จางฉุ้ยเหลียนพูดเสียงดังใส่คนในบ้านอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน พร้อมทั้งยังชี้นิ้วใส่หน้าของจางฉุ้ยจวินอีกด้วย ซึ่งท่าทางแบบนี้ของเธอมันก็ได้สร้างความตกใจให้กับคนในบ้านไม่น้อย พวกเขาทั้งสามคนอึ้งงันงงจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา

 

สุดท้ายก็เป็นเช่าหวา ที่ได้สติกลับมาเป็นคนแรก จากนั้นหล่อนจึงเขวี้ยงเปลือกแตงโมใส่จางฉุ้ยเหลียน : “ทำไม ฉันให้แกทำงานแค่นี้ แกคิดว่ามันไม่ได้รับความเป็นธรรมจนต้องลุกขึ้นมาด่าใครก็ได้งั้นอย่างนั้นหรือ ? ”

 

จางกว่างฝูจึงรีบพูดโน้มน้าวจางฉุ้ยเหลียนออกไปว่า : “พอแล้ว มากินแตงโมนี่เร็ว

 

จางฉุ้ยเหลียนที่ยังคงโกรธอยู่ ก็พูดออกไปว่า : “หนูไม่กิน จะ 3 คำ หรือ 2 คำหนูก็กินไม่ลง ” เมื่อพูดจบก็หันมาบ่นพ่อกับแม่ของเธอต่อ : “เพราะพ่อกับแม่เป็นแบบนี้ไง ? เสี่ยวจวินถึงได้ไม่รู้ความ  ไม่ว่าจะเรื่องอะไรพ่อกับแม่ก็โยนความผิดมาให้หนู ? นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว เขาเลิกเรียนกลับมาการบ้านก็ยังไม่ได้ทำ แถมตอนนี้ก็ยังมานั่งดูโทรทัศน์สบายใจไม่หลับไม่นอน พรุ่งนี้ไปเรียนก็มาบ่นขี้เกียจ แล้วมันจะเรียนเก่งได้ยังไง ?

 

จางฉุ้ยจวินหมดความอดทน : “ฉันรู้ว่าพี่เรียนเก่ง แต่พี่ก็ไม่มีสิทธิ์มาสอนฉันแบบนี้ ฉันไม่เรียน พี่มีปัญหาอะไรไหม  ”

 

จางฉุ้ยเหลียนเบิกตากว้าง : “ไม่เรียนแล้ว ? พูดง่ายเนอะ ไม่เรียนแล้วแกจะไปทำอะไรได้ ?  จะออกไปเป็นขอทานตาบอด หรือว่าคนเก็บขยะดีล่ะ ? ”

 

เมื่อเช่าหวาได้ยินจางฉุ้ยเหลียนดูถูกลูกชายของตัวเอง หล่อนจึงแสดงสีหน้าไม่พอใจออกมา : “แกมีอนาคต แกมีความสามารถ แล้วลูกชายของฉันมันแย่ตรงไหนไม่ทราบ ? ทำไมไม่ใช้ความสามารถของแกออกไปทำงานหาเงินเป็นแสน ๆ มาให้ฉันล่ะ ? เก่งแต่ปาก

 

จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา เมื่อคิดถึงภาพในความทรงจำ ทุกครั้งที่เธอสั่งสอนน้องชายที่ไม่เอาถ่านคนนี้ แม่ของเธอก็มักจะหาเหตุผลมาปกป้องลูกชายของหล่อนอยู่เสมอ ลำเอียงไปทางลูกชาย แถมเขายังแต่งงานกับลูกสะใภ้ที่ไม่เอาไหนอีก สุดท้ายทั้งสองสามีภรรยาก็เอาแต่ไถเงินพ่อกับแม่ของเธอจนหมดตัว

 

“แม่ ทำไมแม่ถึงได้สอนเขาแบบนี้ล่ะ ? เขาไม่เรียนแล้วอนาคตของเขาล่ะจะทำยังไง ? เด็กหนุ่มทุกบ้านต่างก็อยากเป็นหมอ เป็นครู เป็นพนักงานธนาคารกันทั้งนั้น แล้วแม่เตรียมความพร้อมให้ลูกชายของแม่ยังไ ง? แม้แต่ก่อไฟเตาถ่าน แม่ก็ยังไม่ให้เขาทำเลย คำพูดของจางฉุ้ยเหลียนดูเหมือนว่าจะไปกระตุ้นเช่าหวาได้ไม่น้อยเลยทีเดียว หล่อนครุ่นคิดอยู่สักพักจากนั้นก็ยกมือขึ้นมาตบไปบนหลังของลูกชาย

 

“ไป ไปอ่านหนังสือ ไม่ต้องดูโทรทัศน์แล้ว จางฉุ้ยจวินยืนขึ้นอย่างไม่พอใจ จากนั้นก็กระทืบเท้าเดินปึง ๆ ออกไป

 

เช่าหวาเรียกจางฉุ้ยเหลียนที่กำลังจะกลับไปทำงานต่อในห้องครัว ก่อนจะขมวดคิ้วเล็กน้อย : “ฉันถามอะไรแกหน่อย

 

จางฉุ้ยเหลียนถามกลับไปด้วยความแปลกใจ : “อะไรคะ?”

 

ยังไม่ทันที่เช่าหวาจะพูดอะไร หล่อนก็เห็นจางฉุ้ยจวินที่เพิ่งจะเดินออกไปข้างนอกเมื่อสักครู่นี้ เดินหอบเอาแตงโมง 4 ถึง 5 ซีกเดินโซซัดโซเซกลับเข้ามาในบ้าน เขาถือมันไว้ในอ้อมแขนจากนั้นก็เดินเข้าห้องของตัวเองไป

 

เช่าหวามองดูลูกชายของตัวเอง ก่อนจะขมวดคิ้วพร้อมกับถามว่า : “เมื่อกี้แกพูดว่าถ้าน้องแกไม่เรียน แล้วจะไปมีอนาคตได้ยังไงอย่างนั้นใช่ไหม ฉันเลยอยากจะถามแกว่า นักเรียนที่เรียนเก่ง ๆ พวกนั้นเขาไปเรียนโรงเรียนอะไร ? จบมาแล้วทำงานได้เงินเดือนเท่าไหร่ ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนครุ่นคิดอยู่สักพัก : “บ้างก็ไปเรียนไปรษณีย์ หลังจบออกมาก็เข้าไปเป็นพนักงานไปรษณีย์”

 

เช่าหวาเม้มปากครุ่นคิด  : “พนักงานไปรษณีย์มันดียังไง ขับรถส่งจดหมายมันมีอนาคตตรงไหนกัน

 

จางกว่างฝูพูดแทรกขึ้นมาว่า : “ไม่แน่อาจจะได้เข้าไปเป็นพนักงานธนาคารก็ได้นะ น่าจะเข้าข่ายเป็นพวกชามข้าวเหล็ก ”

 

เช่าหวาครุ่นคิดพร้อมกับยิ้มจนตาหยี  : “อื้อ ทำงานธนาคารก็ดี แล้วมีอะไรอีก ? ”

 

จางฉุ้ยเหลียนก็พูดขึ้นว่า “ซ่อมทางรถไฟ ไม่ก็วิศวกรไฟฟ้าก็ได้ หรือเรียนแพทยศาสตร์จบไปก็ไปเป็นหมอ ไม่ก็เป็นครู ได้ทั้งนั้นแหละ

 

เช่าหวาส่ายหน้า “หมอก็ได้ ถ้าลูกชายของฉันได้เป็นหมอ เราก็เปิดคลินิกที่บ้าน เหมือนกับคุณหมอเกาไง บ้านนั้นมีเงินเยอะจะตาย

 

จางกว่างฝูเองก็พยักหน้า “เป็นคุณครูก็ดีนะ เป็นครูก็ไม่หนักหนาอะไร

 

เมื่อเช่าได้ยินก็พูดขึ้นมาอย่างไม่พอใจทันที “ได้ที่ไหน เป็นครูดีตรงไหนกัน เงินเดือนน้อยแบบนั้น วันวันก็ได้แต่คอยดูแลเด็ก ๆ ไม่เอาหรอก

 

จางฉุ้ยเหลียนกลอกตาไปมา เธออยากจะพูดออกไปมากว่าถ้าลูกชายของแม่ได้เป็นคุณครู คงได้ถูกเรียกว่าเป็นตัวถ่วงของเด็ก ๆ ซะมากกว่า เธออดที่จะพูดเตือนขึ้นมาไม่ได้ว่า “แม่ ลูกชายของแม่น่ะ เขาไม่ยอมไปเรียนหนังสือ สอบอะไรก็ไม่ได้ ตอนนี้แม้แต่มัธยมต้นก็ไม่รู้ว่าจะเรียนจบรึเปล่า แม่ก็เห็นว่าเขาไม่ยอมเรียนหนังสือ

 

เช่าหวารู้และเข้าใจ และหล่อนก็ไม่อยากจะเห็นจางฉุ้ยเหลียนยืนอยู่ตรงนี้อีก หล่อนจึงได้โบกมือไปมาด้วยความเบื่อหน่าย ก่อนจะจ้องเขม็งไปบนโต๊ะแล้วออกคำสั่งว่า “เอาล่ะ แกอย่ามัวมายืนอยู่ตรงนี้เลย เก็บโต๊ะซะ  แตงโมที่เหลือแกก็เอาไปกินให้หมด แล้วก็สับไส้ซาลาเปาให้เสร็จ พรุ่งนี้ฉันกับพ่อแกจะออกไปขายซาลาเปากันตั้งแต่เช้า

 

จางฉุ้ยเหลียนรีบเก็บกวาดโต๊ะทันที จากนั้นก็ใช้ผ้าสะอาดมาเช็ดโต๊ะหลาย ๆ รอบ จนปัญญาจริง ๆ ถ้าทำตามนิสัยของแม่เธอที่ไม่ยอมเช็ดโต๊ะ พรุ่งนี้เช้าตื่นมาก็คงจะเห็นแมลงวันบินเกาะอยู่เต็มโต๊ะอย่างแน่นอน น่าขยะแขยงจะตาย

 

เมื่อกลับเข้ามาในครัว จางฉุ้ยเหลียนก็เริ่มโบกมีดปังตอด้วยมือทั้งสองข้างของเธอ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ในที่สุดก็สับไส้ของซาลาเปาเสร็จเรียบร้อย เธอใช้ผ้าสะอาด ๆ คลุมมันไว้ ส่วนตัวเธอก็ไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัว จากนั้นก็เดินมาล้มตัวลงนอนบนเตียงเล็ก ๆ ของตัวเอง

 

ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยมาทั้งวัน แต่จางฉุ้ยเหลียนกลับนอนไม่หลับซะอย่างนั้น การที่ได้เกิดใหม่ในครั้งนี้ เธอหวังแค่ว่าจะได้เปลี่ยนแปลงเรื่องราว ถึงแม้ว่าพ่อกับแม่ของเธอจะไม่ได้ดีกับตัวเธอเลยก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังอยู่ในสถานะที่เลี้ยงดูเธอมา เธอยังหวังว่าเธอจะสามารถเปลี่ยนแปลงพวกเขาเพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้

 

ส่วนพ่อแม่บุญธรรมของเธอ จางฉุ้ยเหลียนก็หวังที่จะหาโอกาสไปเยี่ยมเยือนพวกเขาเช่นกัน เธอคงจะทำร้ายความรู้สึกของพวกเขามาก เพราะตลอดชีวิตนี้พวกเขาไม่สามารถมีลูกได้ ความจริงแล้วที่เธอทำมันก็ไม่ถูกต้องราวกับว่าเธอเป็นสัตว์เดรัจฉานที่ลืมกำพืดของตัวเองอย่างไรอย่างนั้น

 

ส่วนเรื่องความรัก เธอก็หวังแค่ว่าเธอจะได้แต่งงานกับกู้จื้อเฉิงและเป็นสามีภรรยากับเขาอีกครั้งก็เพียงพอแล้ว การที่เธอได้เกิดใหม่ในครั้งนี้ เธอคิดไว้ว่าเธอจะให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ของคู่สามีภรรยามากเป็นพิเศษ เพราะเธอไม่รู้ว่าตัวเองนั้นจะมีคุณธรรมและความสามารถเพียงพอที่จะหาผู้ชายที่ใจกว้างอย่างกู้จื้อเฉิงได้อีกไหม

 

ถ้าเป็นสามีคนอื่นก็คงจะบ่นว่า “ถ้าไม่เอาเงินให้ครอบครัวของคุณล่ะ มันจะเป็นอย่างไร ? ”

 

หรือจะถามตรง ๆ ว่า “คุณเอาสมุดบัญชีมาให้ผมดูหน่อย เรื่องการซ่อมแซมบ้านของครอบครัวคุณ ผมไม่เชื่อหรอกนะว่าพวกเขาจะไม่มายืมเงินผม

 

แต่กู้จื้อเฉิงกลับเป็นผู้ชายที่จริงใจมากคนหนึ่ง ไม่เคยมานั่งคิดคำนวณเลยว่าผู้หญิงของตัวเองนั้นใช้เงินไปเท่าไหร่ เขามักจะพูดอยู่เสมอว่า ถ้าเงินในบ้านไม่พอผู้ชายก็ย่อมทนไม่ได้

 

คิดไปคิดมาจางฉุ้ยเหลียนก็ผล็อยหลับไปตอนไหนไม่รู้ จนกระทั่งตื่นเช้าขึ้นมาอีกวัน  เพราะถูกเสียงแสบแก้วหูของเช่าหวาปลุกให้ตื่นขึ้น

 

“06.00 น. แล้ว ยังไม่ตื่นกันอีก ฉันทำอะไรไม่เสร็จสักอย่างเลยเนี่ย จางฉุ้ยเหลียนถูกเช่าหวาเขย่าแขนอย่างรุนแรง จนเธอกระโดดลุกขึ้นมานั่งด้วยความตกใจ

 

จากนั้นเธอก็รีบลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนจะวิ่งเข้าไปในครัว ก่อนจะพบว่าเช่าหวาก็เพิ่งตื่นเช่นเดียวกัน สองสามีภรรยาต่างก็เข้านอนเร็ว ทำไมถึงได้ตื่นสายกันอย่างนี้ล่ะเนี่ย ?

 

เช่าหวาเตรียมแป้งทำซาลาเปาไปพลางพร้อมกับบ่นพึมพำไปพลาง : “ฉันตื่นขึ้นมาตอนเช้าตรู่แต่เห็นว่าฝนมันกำลังจะตก ด้วยความที่สะลึมสะลือ ใครจะไปคิดล่ะว่าพอลืมตาขึ้นมาอีกทีก็ 06.00 น. กว่า ฟ้าสว่างแบบนี้แล้ว”

 

จางฉุ้ยเหลียนไม่ได้เห็นแก่เงินแต่อย่างใด เธอรีบวิ่งไปล้างมือ จากนั้นก็รับแป้งที่อยู่ในมือของเช่าหวามานวด และเริ่มรีดมันให้เป็นแผ่นแบน ๆ  เธอรีดแป้งไปพลางตะโกนบอกพ่อของเธอไปพลางว่า “พ่อ ตรงนี้ทำไม่ทันแล้ว พ่อมาช่วยตรงนี้หน่อย”

 

จางกว่างฝูกำลังนั่งฟังวิทยุอยู่ในบ้าน เขาส่งเสียงตอบรับแต่กลับไม่เดินออกมาจากบ้านแต่อย่างใด จางฉุ้ยเหลียนจึงไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกไปอีก แม่ของเธอจึงเริ่มบ่นขึ้นมาบ้างว่า “ชีวิตฉันมันโคตรเฮงซวยเลยจริง ๆ ดันมาแต่งงานกับคนที่ขี้เกียจสันหลังยาวแบบคุณ วัน ๆ ก็เอาแต่ฟังวิทยุ ไม่ทำการทำงานอะไรสักอย่าง”

 

“ฉันปวดแขนจนยกไม่ขึ้นแล้วเนี่ย ไม่บอกให้มาช่วย ก็เลยคิดว่าจะรอจนเสร็จ......” บลา ๆ คำด่าเสีย ๆ หาย ๆ ก็ได้ดำเนินต่อไปจนถึง 8 โมงกว่า

 

จางกว่างฝูได้แต่ฟังวิทยุราวกับไม่ได้ยินเสียงบ่นด่าของเช่าหวาอย่างไรอย่างนั้น ทางด้านเช่าหวาก็ด่าไปพลางและทำงานไปพลาง สองแม่ลูกช่วยกันยกซาลาเปา 100 ลูกลงจากเตา และเอาไปใส่ไว้ในกล่องเก็บอุณหภูมิ

 

ทั้งสามคนกินอาหารเช้ากันแบบง่าย ๆ จากนั้นจางกว่างฝูและเช่าหวาก็ออกไปขายซาลาเปาที่ริมถนน ส่วนจางฉุ้ยเหลียนเมื่อเก็บกวาดบ้านเสร็จ เธอก็รีบตรงไปยังบ้านคุณน้าเฉินทันที

 

โดยที่เธอไม่รู้ว่า วันนี้จะมีหนุ่มหล่อหน้าใสมาดูลูกศิษย์ยอดฝีมือในตำนานที่บ้านของตระกูลเฉิน

รีวิวผู้อ่าน