ตอนที่ 5 ธุรกิจเล็ก ๆ
จางฉุ้ยเหลียนพูดว่าอยากจะขายของ แต่เธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าควรจะขายอะไรดี หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็คิดวิธีการดี ๆ ออกมาได้วิธีการหนึ่ง เธอแค่ต้องใช้ประโยชน์จากลักษณะภูมิประเทศที่เอื้ออำนวยในปัจจุบัน จึงจะสามารถสร้างเงินได้
ช่วงนี้รถที่ขับผ่านถนนในหมู่บ้านนั้นมีค่อนข้างเยอะ สิ่งที่เธอคิดได้คือการขายพวกน้ำ ขนมปัง ไส้กรอก คนขับรถที่ขับผ่านไปผ่านมาจะได้สะดวกในการซื้อกิน ซึ่งเธอเองก็ไม่จำเป็นจะต้องลงทุนอะไรมากด้วย
เช้าตรู่วันถัดมาจางฉุ้ยเหลียนจึงนั่งรถเข้าไปในเมือง เธอซื้อกล่องเก็บรักษาอุณภูมิกลับบ้านมา 2 กล่อง ลักษณะของกล่องที่เธอซื้อมาเป็นกล่องโฟม ซึ่งกล่องเก็บอุณหภูมิแบบนี้เธอสามารถใส่อาหารลงไปเก็บไว้ในกล่องเพื่อคงความอุ่นของอาหารได้
เช่าหวามองสิ่งของต่าง ๆ ที่จางฉุ้ยเหลียนเตรียมไว้ด้วยสายตาเย็นชา จากนั้นหล่อนจึงเบะปากและไม่ได้เข้าไปขวางแต่อย่างใด มีเพียงเรื่องเดียวที่หล่อนต้องการก็คือ จางฉุ้ยเหลียนต้องทำอาหารให้คนที่บ้านกินทุกวัน วันละ 2 มื้อ
ในช่วงฤดูร้อนครอบครัวจางมักจะกินข้าวแค่วันละ 2 มื้อเท่านั้น ซึ่งมื้อเช้าก็จะกินเวลาประมาณ 09.00 น. และมื้อเย็นเวลาประมาณ 15.00 น.
จางฉุ้ยเหลียนออกไปซื้อแป้ง 10 ชั่ง (1 ชั่ง = 500 กรัม 10 ชั่ง = 5,000 กรัม *** 5,000 กรัม = 5 กิโลกรัม) และซื้อเนื้อหมู 1 ชิ้นกลับมาที่บ้าน
ถึงแม้ว่าในยุคสมัยนี้การที่จะซื้อข้าว หรือพวกเนื้อสัตว์ต่าง ๆ จะต้องใช้คูปองจากรัฐบาล แต่การซื้อก็ไม่เข้มงวดเหมือนสมัยก่อน และร้านในสมัยนี้ก็จะมีร้านที่ขายในราคาคนกันเอง ยกตัวอย่างเช่นร้านรับซื้อใกล้ ๆ ละแวกนี้ ไก่ เป็ด ปลา หมูต่างก็ถูกส่งมาที่นี่ มีคนมาซื้อขายกันอยู่ตลอดเวลา
สิ่งที่จางฉุ้ยเหลียนซื้อมาทั้งหมดก็มี เนื้อหมู 1 ชั่ง 7 เหมา แป้งขาว 1 ชั่ง 4 เฟิน เนื้อหมู 2 ชั่ง 1.4 หยวน แป้ง 10 ชั่ง 4 เหมา บวกกับกล่องโฟมเก็บอุณหภูมิ 2 กล่อง ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนใช้จ่ายไปแล้วเกินกว่าครึ่งจากเงินที่เธอมีอยู่ทั้งหมด
เธอเดินไปเก็บต้นหอมและกุยช่ายจากในสวนมาหั่น จากนั้นก็เดินไปเอาไข่เป็ดที่เช่าหวาอยากกินมา จางฉุ้ยเหลียนเริ่มนึ่งซาลาเปา ซึ้งที่เธอใช้นึ่งซาลาเปานั้นมีทั้งหมด 4 ชั้น โดยเธอแบ่งเป็นไส้กุยช่ายไข่เป็ดสองชั้นและไส้เนื้อหมูต้นหอมอีกสองชั้น กลิ่นหอมเย้ายวนจากซาลาเปาทำให้จางกว่างฝูถึงกับน้ำลายไหลเลยทีเดียว มีเพียงแค่เช่าหวาเท่านั้นที่รู้สึกไม่พอใจที่จางฉุ้ยเหลียนใช้เกลือ ต้นหอม และกุยช่ายของตัวเอง
จางกว่างฝูหัวเราะออกมา ก่อนจะพูดว่า : “เธอไม่กินซาลาเปาเนื้อหมูของลูกสาวหรือ? มันก็เหมือนซาลาเปาทั่ว ๆ ไปนะ!”
ความจริงแล้วในใจของจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้รู้สึกเกลียดพ่อแม่ของตัวเองแต่อย่างใด เธอแค่โกรธพ่อแม่ที่ไม่สนใจอะไรเลย พวกเขาทั้งสองคนไม่รู้จักทำมาหากินบ้างเลยรึไง?
หลังจากยกซาลาเปาออกจากเตา เธอก็หยิบถาดใบหนึ่งขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะอาหาร และแบ่งซาลาเปามาวางไว้ในถาดนั้น : “นี่เป็นซาลาเปาที่หนูทำ พ่อกับแม่กินกันไปก่อนเลยนะ หนูต้องออกไปขายซาลาเปาแล้ว!”
เธอนำผ้าสะอาดมารองไว้ที่ก้นกล่องเก็บอุณหภูมิ จากนั้นก็วางซาลาเปาไส้กุยช่ายและซาลาเปาไส้หมูลงไป เมื่อจางกว่างฝูที่กำลังกินซาลาเปาอยู่เห็นลูกสาวยกกล่องไม่ไหว เขาจึงเดินเข้าไปช่วยยกกล่องขึ้นมาวางไว้บนจักรยานไปด้วยพร้อมกับกัดกินซาลาเปาที่อยู่ในมือไปด้วย
สองพ่อลูกช่วยกันเข็นรถจักรยานเดินออกไปยังริมถนน เมื่อเดินมาถึงจุดหมาย สองพ่อลูกก็ช่วยกันออกแรงยกกล่องซาลาเปามาวางไว้ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง จางฉุ้ยเหลียนฉีกกระดาษออกมาแผ่นหนึ่งแล้วแปะลงไปบนกล่อง จากนั้นก็เขียนตัวอักษรตัวใหญ่ ๆ ว่า “ซาลาเปา น้ำชา และน้ำจิ้ม”
บนแฮนด์จับจักรยานก็ยังมีกระติกน้ำขนาดใหญ่แขวนอยู่ทั้งสองข้าง ด้านในบรรจุน้ำเย็นที่ผ่านการต้มมาแล้ว แตงกวาที่ล้างจนสะอาด แล้วก็มีต้นหอมผักชีที่เอาไว้กินกับน้ำจิ้ม และยังมีฟองเต้าหู้แห้งม้วนอยู่ในถุงพลาสติก อย่าให้พูดเลยว่ามันน่ากินขนาดไหน
ตอนนี้ก็เป็นเวลาเที่ยงตรง อากาศค่อนข้างร้อนและทำให้ผู้คนรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน นั่นจึงทำให้จางกว่างฝูเกิดความสงสัยว่าลูกสาวของเขาจะขายซาลาเปา 2 กล่องนี้ได้รึเปล่า
ผ่านไปได้สักพักก็มีคนขับรถบรรทุกที่ไม่ได้บรรทุกของอะไรด้านหลังขับเข้ามาจอด จากนั้นคนขับรถก็ตะโกนถามออกมาจากด้านในรถว่า : “ซาลาเปาลูกละเท่าไหร่? มีไส้อะไรบ้าง?”
จางฉุ้ยเหลียนรีบเปิดผ้าขาวบางที่เตรียมจะคลุมซาลาเปาไว้ออก ซึ่งพอเปิดผ้าออกมาก็จะเจอกับซาลาเปาไส้หมู และซาลาเปาไส้กุยช่ายหลายลูกวางเรียงรายกันอยู่ นอกจากนั้นแล้วก็ยังมีฟองเต้าหู้ม้วน 2 ห่อ เธอคลี่ยิ้มแล้วพูดว่า : “ซาลาเปาไส้กุยช่ายไข่เป็ด 2 ลูก 5 เฟิน ไส้หมูต้นหอม ลูกละ 8 เฟิน 2 ลูก 1.5 เหมา ฟองเต้าหู้แห้งม้วน 2 ถุง 1.5 เฟิน ถ้าคุณลุงซื้อซาลาเปาไส้เนื้อหมู 10 ลูก หนูจะแถมแตงกวากรอบให้เลย 2 ลูกไปเลยค่ะ ! ซาลาเปาไส้หมูเหลือไม่เยอะแล้วนะคะ ถ้าคุณลุงผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านอื่นแล้วนะคะ!”
ซาลาเปาไส้หมู 10 ลูก คิดเป็นเงิน 7 เหมา 5 เฟิน นั่นถือว่าแพงมากเลยทีเดียว คนขับรถครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะคลี่ยิ้มแล้วพูดว่า : “แถมแตงกวา 2 ลูกมันน้อยไปนะ หนูแถมให้ลุงสัก 5 ลูกสิ!”
จางฉุ้ยเหลียนยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า : “แบบนั้นไม่ได้หรอกค่ะคุณลุง แตงกวาก็ต้องใช้เงินซื้อมาเหมือนกัน งั้นหนูแถมให้ 3 ลูก แล้วก็น้ำอีก 1 เหยือกเป็นไงคะ”
คนขับรถพยักหน้า จากนั้นก็ลงมาจากรถแล้วเดินมาตามจางฉุ้ยเหลียนมาที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ เขาหยิบซาลาเปาไส้หมูขึ้นมากินลูกหนึ่ง เมื่อเขากัดเข้าไปคำแรกก็โดนเนื้อหมูที่อยู่ข้างในเต็มปากเต็มคำ ไม่จำเป็นต้องจิ้มกับน้ำจิ้มก็อร่อย กินไปกินมาก็ปาไปแล้ว 5 ลูก แถมเขายังถือโอกาสกินแตงกวาไปอีก 3 ลูก หลังจากกินอิ่มเขาก็ตบท้องของตัวเองเบา ๆ ก่อนจะจ่ายเงินด้วยความพึงพอใจ แล้วนำซาลาเปา 5 ลูกที่เหลือรวมทั้งน้ำเดินไปที่รถและขับออกไป
จางกว่างฝูจ้องมองไปทางลูกสาวที่เพิ่งจะรับเงินมาเมื่อสักครู่นี้ : “ซาลาเปาก็ขายไปได้ตั้ง 7 เหมา 5 เฟิน อีกทั้งยังแถมแตงกวาและน้ำในปริมาณที่เหมาะสมอีกต่างหาก!”
จางฉุ้ยเหลียนเอียงคอและคลี่ยิ้มออกมาก่อนจะพูดกับผู้เป็นพ่อว่า : “พ่อ นี่มันเพิ่งจะเริ่มต้นเท่านั้นเอง และเราก็แค่โชคดีที่ขายซาลาเปาได้ ซาลาเปาเนื้อหมูไม่ถือว่าทำเงินได้หรอก ซาลาเปากุยช่ายไข่เป็ดต่างหากที่จะทำเงินให้เราได้ เพราะวัตถุดิบพวกนี้เราไม่ได้ใช้เงินซื้อมาเลยแม้แต่เฟินเดียว แต่ว่าเนื้อหมูเราซื้อมาแพง!”
ใช่แล้ว เนื้อหมูมีราคาที่ค่อนข้างแพง ซาลาเปาไส้เนื้อหมูเดิมทีแล้วเธอตั้งใจจะนึ่งไม่กี่ลูกเท่านั้น เธอต้องการที่จะเน้นไปที่ซาลาเปาไส้กุยช่ายไข่เป็ดมากกว่า แต่ตอนนี้ยังไม่ทันจะถึง 15.00 น. จางฉุ้ยเหลียนก็ขายซาลาเปาได้จนหมดเกลี้ยง ดูจากปริมาณที่ขายได้วันนี้แล้ว พรุ่งนี้เธอคงต้องทำมากกว่าเดิม
เมื่อสองพ่อลูกเข็นรถจักรยานกลับมาที่บ้าน เช่าหวาก็ถามขึ้นมาด้วยความร้อนรนใจว่า : “ขายหมดแล้วหรือ ? ”
จางกว่างฝูพยักหน้าด้วยความภาคภูมิใจ : “ก็ไม่เชิงหรอก ขายไม่พอซะมากกว่า !”
เช่าหวาพลิกกล่องไปมาอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง แต่ในกล่องทั้งสองใบก็ไม่มีซาลาเปาหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่ลูกเดียว หล่อนพูดออกไปด้วยความดีใจว่า : “ดีมาก พรุ่งนี้จางฉุ้ยเหลียนก็ต้องทำซาลาเปามากกว่าวันนี้!”
จางฉุ้ยเหลียนนำเงินที่ขายของได้วันนี้ออกมาเริ่มนับทีละใบ ๆ ต่อหน้าพ่อแม่ของตัวเอง : “ซาลาเปาไส้หมู 40 ลูก ซาลาเปาไส้ผัก 80 ลูก แบ่งให้คนในบ้านกิน 20 ลูก ดังนั้นซาลาเปาไส้หมูจึงเหลืออยู่ 30 ลูก และไส้ผัก 70 ลูก รวมกันเราขายไปได้ทั้งหมด 4 หยวน ! ”
จางฉุ้ยเหลียนนำเงินทั้งหมดที่ขายฟองเต้าหู้แห้งม้วนให้กับเช่าหวา : “นี่เป็นเงินค่าฟองเต้าหู้ม้วนกับต้นหอม 20 ถุง ทั้งหมด 3 เหมา!”
เช่าหวาจ้องเขม็งไปทางเงินจำนวน 2 หยวนกว่า ๆ ที่อยู่ในมือของจางฉุ้ยเหลียน พร้อมกับพูดออกมาน้ำเสียงไม่พอใจว่า : “แกเอาไข่เป็ดฉันไป แล้วยังเอากุยช่ายของฉันไปอีก ไม่คิดจะจ่ายคืนมาหน่อยรึไง ? ”
จางฉุ้ยเหลียนเก็บเงินของตัวเองไว้ พร้อมกับพูดออกไปด้วยความโกรธว่า : “พ่อกับแม่ก็ได้กินซาลาเปาไปตั้ง 20 ลูกแล้ว ซาลาเปาไส้หมู 10 ลูก ก็รวมกันเป็นเงิน 7 เหมา 5 เฟิน ยังมีซาลาเปาไส้ผักอีก 2 เหมา 5 เฟิน บวกกันก็เป็น 1 หยวน แม่จะบอกว่าหนูไม่คืนเงินให้แม่อีกอย่างนั้นหรือ!”
เช่าหวาถลึงตาใส่ : “นังเด็กบ้า แกพูดอย่างนี้ได้ยังไงกัน ฉันเป็นแม่แกนะ”
จางฉุ้ยเหลียนเองก็ถลึงตาใส่เช่าหวาเช่นเดียวกัน : “หนูก็เป็นลูกของแม่เหมือนกัน!”
“แกใช้ฟืนของฉันด้วย ใช้เกลือ ใช้กาน้ำของฉัน!” เช่าหวาโกรธจนกัดฟัน แต่เมื่อเห็นสีหน้าเสียใจของจางฉุ้ยเหลียน หล่อนจึงทนไม่ได้ที่จะเมินหน้าหนี จากนั้นจึงพูดเปิดประเด็นใหม่ออกมาว่า : “หลังจากนี้แกก็ไม่ต้องทำซาลาเปาให้ฉันกินแล้ว กินซาลาเปามื้อหนึ่งต้องจ่ายเงินตั้ง 1 หยวน กินทุกวันไม่ไหวหรอก!”
ในคืนวันนั้นยังไม่ทันที่จางฉุ้ยเหลียนจะได้ลงมือทำอะไร เช่าหวาก็แบกแป้งขาวกลับมาที่บ้าน 100 ชั่ง (= 50 กิโลกรัม) หล่อนเดินเข้าไปในห้องของจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นจึงเริ่มคำนวณและวางแผนกันว่า : “เราต้องนวดแป้งไว้ตอนกลางคืน ส่วนตอนกลางวันก็ออกไปขายซาลาเปา ฉันนึกไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่า ฟองเต้าหู้ม้วนต้นหอมจะมีคนซื้อด้วย”
จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางแม่ของตัวเองที่ยังดูอ่อนวัย ศีรษะของหล่อนยังไม่มีผมงอกสีขาวแซมออกมาแต่อย่างใด เพราะหล่อนยังไม่เป็นโรคฮิสทีเรีย ที่สาเหตุเกิดมาจากน้องชายของเธอนั่นเอง ไหน ๆ แล้วคนที่อยู่ตรงหน้าเธอก็คือคนที่ให้กำเนิดเธอ แล้วทำไมเธอถึงไม่ลองเปลี่ยนแปลงนิสัยของหล่อนดูล่ะ!
“เป็ดต้องออกไข่ทุกวัน ใน 1 วันจะต้องออกไข่ให้ได้ประมาณ 20 ฟอง ต้นหอม กุยช่ายและแตงกวาที่อยู่ในดินต่างก็เป็นพืชที่เติบโตได้จากการเพาะปลูก!” จางฉุ้ยเหลียนหักนิ้วของเช่าหวา เพื่อให้หล่อนคิดตาม: “เราจะต้องทำการค้าขายแบบจริงจัง ไม่อย่างนั้นถ้าลูกค้าที่ได้กินซาลาเปาที่ได้ไส้น้อยเกินไป แม่คิดดูว่าเราจะขายออกรึเปล่า?”
เธอต้องระวังไว้ก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้แม่มาคิดคำนวณเรื่องเงินทุนกับเธอได้อีกในภายหลัง
“จากซาลาเปาที่ขายเมื่อวาน เราจึงประมาณได้ว่าแป้ง 1 ชั่ง สามารถทำซาลาเปาได้ 12 ลูก เนื้อหมู 1 ชั่งสามารถทำไส้ซาลาเปาได้ 20 ลูก ซาลาเปา 1 ลูกมีทั้งหมด 2 ไส้ถือว่ากำลังดี จะน้อยกว่านี้ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคนซื้อจะไม่ยอมจ่ายเงินในราคานี้เพื่อซื้อมันอย่างแน่นอน! ” คำพูดของจางฉุ้ยเหลียน ทำให้เช่าหวาเกิดความไม่พอใจเป็นอย่างมาก
หล่อนส่ายหน้า : “นั่นมันน้อยเกินไปนะ เนื้อหมู 1 ชั่ง ทำไส้ซาลาเปาได้แค่ 20 ลูก ฉันว่าเนื้อหมู 1 ชั่ง มันต้องทำไส้ได้ประมาณ 40 ลูกสิ แกอย่ามาใจกว้างนักเลย!”
จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้ว และพูดออกไปว่า : “แม่ ! 20 ลูก อย่างน้อยมันก็ขายได้ตั้ง 1.5 หยวนนะ เนื้อน้อย ใครเขาจะยอมเสียเงินซื้อกันเล่า! แล้วอีกอย่างเราก็ทำซาลาเปาไส้มังสวิรัติขายด้วยและมันก็ขายหมดไวอีกต่างหาก! ”
หลังจากที่สองแม่ลูกได้ปรึกษาหารือกันแล้ว พวกเธอก็พบว่ารถที่สัญจรผ่านไปผ่านมาในช่วงนี้มีจำนวนที่ค่อนข้างเยอะมากเลยทีเดียว อีกทั้งผู้ชายหนึ่งคนก็มักจะกินซาลาเปาได้ 8 ถึง 10 ลูก
เช้าตรู่ตอน 04.00 น. ของวันที่สอง เช่าหวาลุกขึ้นจากเตียงมาหั่นผักกาดขาวและกุยช่าย จากนั้นจึงเริ่มนึ่งซาลาเปากับจางฉุ้ยเหลียน ส่วนจางกว่างฝูก็หยิบส้อมไปพรวนดินในสวนผักด้วยความกระตือรือร้น เตรียมที่จะปลูกกุยช่าย ต้นหอมและผักกาดขาวอีกครั้ง
เวลาประมาณ 09.00 น. ซาลาเปาไส้หมูต้นหอม 40 ลูก ซาลาเปาไส้กุยช้ายไข่ไก่ 80 ลูก และซาลาเปาไส้มังสวิรัติอีก 80 ลูก ก็ได้ถูกยกลงจากเตา ในตอนที่นึ่งซาลาเปาอยู่นั้น จางกว่างฝูก็นำมันฝรั่งสีเหลืองที่มีอยู่ออกไปแลกเป็นฟองเต้าหู้แห้งมา 2 ชั่ง จากนั้นก็นำต้นหอมมาม้วนกับฟองเต้าหู้แห้ง พอม้วนฟองเต้าหู้เสร็จ เขาก็ล้างแตงกวา 20 ลูก เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็เตรียมตัวออกไปขายซาลาเปากับลูกสาวและภรรยา
เป็นเรื่องยากมากที่คุณจะได้เห็นตระกูลจางลุกขึ้นมาขยันขันแข็งแบบนี้ จางกว่างฝูเข็นรถที่บรรทุกซาลาเปาที่ยังร้อน ๆ กว่า 200 ลูกออกไป จางฉุ้ยเหลียนเดินถือเหยือกน้ำ 2 เหยือกที่บรรจุน้ำเย็นจนเต็มเหยือกเดินตามมาที่ด้านหลัง ส่วนข้าง ๆ กันนั้นเช่าหวาก็กำลังเดินถือถุงที่บรรจุฟองเต้าหู้แห้งม้วนต้นหอมอยู่
น้ำเย็นที่ผ่านการต้มแล้วมีไว้แจกฟรี เพราะน้ำนี้ได้มาจากตอนที่นึ่งซาลาเปาจึงไม่ต้องเสียค่าใช่จ่ายตรงส่วนนี้ ส่วนเต้าหู้แห้งม้วนต้นหอมก็อาจจะเก็บไว้ขายครึ่งหนึ่งและเก็บไว้แถมครึ่งหนึ่งให้กับลูกค้าที่ซื้อซาลาเปาเยอะก็ได้ ส่วนแตงกวาก็เข้าปากของจางกว่างฝูไปแล้วเกินกว่าครึ่งจากแตงกวาทั้งหมดที่มี
ตั้งแต่ 09.30 น. จนถึง 16.30 น. ตระกูลจางก็ขายซาลาเปา 200 ลูก ได้จนหมดเกลี้ยง โชคดีที่จางฉุ้ยเหลียนได้บอกกับพ่อแม่ของเธอไว้ล่วงหน้าแล้วว่าอย่าไปป่าวประกาศโอ้อวดกับคนอื่นเขาไปทั่ว ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้อาจจะมีคนมาขายซาลาเปาแข่งกับเรา และเราอาจจะขายซาลาเปาไม่ได้อีกเลยก็ได้
โชคดีที่สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากบ้านของพวกเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น อีกทั้งยังมีผู้คนไม่มากที่มาขายของที่ริมถนน ซาลาเปาทั้งหมด 200 ลูก จึงขายได้จนหมดเกลี้ยงไม่มีเหลือเลยแม้แต่ลูกเดียว นั่นจึงทำให้สองสามีภรรยายิ้มไม่หุบกันเลยทีเดียว
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็ไม่มีใครคิดที่จะทำกับข้าว เพราะทุกคนต่างก็ร่วมใจกันมานับนั่งเงินก่อนเป็นอันดับแรก จางกว่างฝูพูดขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า : “ขนาดซาลาเปาไส้มังสวิรัติยังทำเงินได้! แป้งขาว 1 ชั่ง ทำซาลาเปาได้ 12 ลูก ซาลาเปา 1 ลูก ก็เท่ากับ 1 เฟิน รวมกันก็เป็น 1.2 เหมา หักค่าแป้งออก 4 เฟิน ผักกาดขาวก็ไม่ต้องใช้เงินซื้อแม้แต่เฟินเดียว แถมยังทำเงินได้ตั้ง 8 เฟินแน่ะ ! ”
จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า ก่อนจะยิ้มแล้วพูดออกมาว่า : “พ่อ พ่อคิดผิดแล้ว ซาลาเปา 12 ลูก พวกเราทำเงินได้ 8 เฟิน ถ้าจะทำเงินได้ 2 เหมา ต้องขายซาลาเปา 30 ลูกต่างหาก พ่อรู้ไหมว่าซาลาเปาไส้หมู 30 ลูกทำเงินได้เท่าไหร่ ? ”
จางกว่างฝูเลิกคิ้วขึ้นสูงแล้วถามออกไปด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า : “เท่าไหร่ล่ะ?”
จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมาด้วยความภาคภูมิใจ : “ซาลาเปาไส้หมู 30 ลูก เราทำเงินได้ตั้ง 1 หยวน 5 เฟินแน่ะ!”