px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 4  หาเงิน


ตอนที่  4  หาเงิน

 

           จางฉุ้ยเหลียนจำได้ว่าทางทิศใต้ของหมู่บ้านนั้นมีครอบครัวหนึ่งรับทำผ้าม่านมู่ลี่ ผ้าคลุมโต๊ะ ม่านเตียงต่าง ๆ เธอสามารถไปรับจ้างทำงานที่บ้านของพวกเขาได้ แบบนี้ก็เท่ากับว่าประหยัดทั้งเวลาและประหยัดทั้งแรงกายด้วย

 

           จางฉุ้ยเหลียนถือโอกาสในช่วงปิดเทอม เธอคิดจะหาเงินไว้สักก้อนหนึ่ง ตามหลักแล้วถ้าจะให้ดีนั้นเธอไปทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟในร้านอาหารก็ได้ แต่น่าเสียดายที่แม่ของเธอไม่เห็นด้วยกับงานนี้ ซึ่งเธอเองก็ไม่อยากจะอกตัญญูต่อพ่อแม่ก็เลยยอมเชื่อฟังพวกท่านไปก่อน ถ้าไม่อย่างนั้นตอนที่หนังสือแจ้งจากทางมหาวิทยาลัยมาถึง พวกท่านอาจจะแอบเอามันไปเผาลับหลังเธอก็ได้

 

           วันนี้เธอออกไปรับจ้างทำม่านเพื่อหาเงินเพิ่ม ซึ่งเช่าหวาก็ยินยอมให้เธอไป ตั้งแต่เช้าตรู่จางฉุ้ยเหลียนก็ได้ใส่หมวกอีแก่ใบหนึ่งเพื่อบังแดดแล้วออกเดินทางไปทางตอนใต้ของหมู่บ้าน เมื่อมาถึงก็พบว่ามีหญิงสาวที่มีอายุจำนวนหนึ่งมารออยู่ที่นั่นก่อนแล้ว

 

            เวลาล่วงเลยผ่านไป จางฉุ้ยเหลียนเองก็ยังไม่รู้จักเช่นกันว่าผู้คนเหล่านี้เป็นใคร ด้วยความที่เธอนั้นต้องไปเรียนตลอดหลายปีที่ผ่านมา เธอจึงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนมากนัก เมื่อเห็นว่าเป็นผู้ชายเธอก็เรียกว่าคุณอา เมื่อเจอผู้หญิงเธอก็เรียกว่าคุณน้า จะได้ไม่เป็นการเข้าใจผิดกัน

 

           “คุณน้าคะ คุณน้าต้องการคนเพิ่มไหมคะ ? ” จางฉุ้ยเหลียนเห็นหญิงสาวที่ดูมีฐานะร่ำรวยมีหน้ามีตาคนหนึ่ง กำลังอธิบายกับทุกคนว่าต้องทำอะไรบ้าง เธอก็รู้ได้ในทันทีว่าอีกฝ่ายนั้นจะต้องเป็นภรรยาของเถ้าแก่อย่างแน่นอน เธอเลยยิ้มพร้อมกับเดินเข้าไปถามทันที

 

            “อ้อ! เธอเป็นนักเรียนดีเด่นของตระกูลจางนี่ ? วันนี้เธอจะมาสมัครทำงานอย่างงั้นหรือ ? ” เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่เนี้ยคนนี้รู้จักเธอ เสียงที่ตื่นเต้นดีใจนี้ได้ดึงดูดสายตาของทุกคนไม่น้อยเลยทีเดียว

 

           “ใช่ค่ะ พอดีหนูสอบเสร็จแล้วไม่มีอะไรทำ หนูก็เลยอยากจะมาทำงานหาเงินน่ะค่ะ !” จางฉุ้ยเหลียนพยักหน้าหงึกหงัก พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเกรงใจ

 

             ความคิดนี้ทำให้เถ้าแก่เนี้ยรู้สึกดีไม่น้อย เมื่อพิจารณาดูจางฉุ้ยเหลียนแล้ว เธอก็พยักหน้า แล้วพูดต่อว่า “ใคร ๆ ก็บอกว่าเธอเรียนดี ครั้งนี้เธอก็ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แน่เลย ? ”

 

           จางฉุ้ยเหลียนคลี่ยิ้มออกมาด้วยความลำบากใจ ก่อนจะพูดว่า “หนูเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ก็ต้องดูก่อนค่ะว่าสวรรค์นั้นจะเห็นใจและอวยพรให้หนูสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้รึเปล่า” เมื่อพูดจบเธอก็พูดกับเถ้าแก่เนี้ยต่อว่า “สภาพทางการเงินของครอบครัวเราไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถึงจะสอบเข้าได้ก็ใช่ว่าจะได้เรียน ถ้าคุณน้าต้องการคนเพิ่ม ก็เรียกใช้หนูได้เลยนะคะ หนูอยากจะหาค่าเล่าเรียนให้ตัวเองค่ะ”

 

            เมื่อพูดแบบนี้แล้ว คนที่อยู่บริเวณนั้นก็อดที่จะรู้สึกหดหู่ขึ้นมาไม่ได้ เพราะการสอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นยากมาก แต่การส่งเสียค่าเล่าเรียนก็ยากยิ่งกว่า ทุกคนต่างก็เป็นเพื่อนบ้านเก่าแก่กันมานานหลายสิบปี ต่างรู้กันดีว่าแต่ละคนนั้นมีนิสัยเป็นอย่างไร

 

            สองสามีภรรยาจางกว่างฝูนั้นมีนิสัยเป็นอย่างไรไม่มีใครสนใจ แต่ทุกคนต่างรู้ว่าพ่อบุญธรรมของจางฉุ้ยเหลียงนั้นดูแลเธอและยังส่งเสียค่าเล่าเรียนให้เธออยู่เสมอ แต่จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ก็เท่านั้น เพราะทุกคนต่างก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ให้เธอฟังเลย

 

          ตอนนี้จางฉุ้ยเหลียนอยากทำงานหาเงินเพื่อเป็นค่าเล่าเรียน ดังนั้นทุกคนก็ต่างพากันเอ็นดูเธอขึ้นมาทันที

 

           เถ้าแก่เนี้ยขยี้จมูกเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมาพร้อมกับยื่นมือออกไปดึงจางฉุ้ยเหลียนให้เดินเข้ามา “มีงานสิ  ก่อนหน้านี้น้าเฉินไม่ยอมให้คนอื่นมาทำงานนะ แต่ถ้าเป็นหนู น้าให้ทำได้เลย”

 

            “ขอบคุณมากค่ะ คุณน้าเฉิน !” จางฉุ้ยเหลียน เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายนั้นมีแซ่อะไร จึงรีบเรียกด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานในทันที

 

           “มา ๆ ฉันจะบอกเธอให้ว่าม่านนั้นมันสานยังไง อันดับแรกเลยคือต้องดึงออกมาทีละเส้น ๆ จากนั้น ก็ทำแบบนี้ แบบนี้ แล้วก็แบบนี้ เข้าใจไหม ? ” คุณน้าเฉินคอยสอนจางฉุ้ยเหลียนทีละขั้นตอน ด้วยความอดทนและอ่อนโยนมากทีเดียว

 

            หลังจากที่จางฉุ้ยเหลียนได้ออกจากโรงเรียนกลางคันเมื่อชาติที่แล้ว เธอก็ได้เข้าไปทำงานในเมือง ตลอดจนกระทั่งก่อนตาย เธอก็ยังประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ ที่บ้านของตัวเองเพื่อนำมันไปขายหาเงิน มือเท้าพัลวัน เธอเป็นคนที่มีความคิดโลดแล่น ไม่ว่าของชิ้นไหนตกมาอยู่ในมือเธอแล้ว เธอก็มักจะเรียนรู้มันได้อย่างรวดเร็ว

 

          เมื่อเห็นจางฉุ้ยเหลียนถักทอเส้นด้ายสองสามครั้งก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่างในชั่วพริบตาเดียวแล้ว คนที่อยู่รอบข้างก็อดที่จะชื่นชมไม่ได้ : “นักเรียนมัธยมนี่ไม่เพียงแต่ฉลาด ทั้งยังมีฝีมืออีกด้วยนะเนี่ย!”

 

           คุณน้าเฉินอดที่จะชื่นชมเธออย่างต่อเนื่องไม่ได้ “เธอดูสิไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ดูดีไปหมด มีฝีมือมากกว่าน้าซะอีก!”  เมื่อพูดจบทุกคนก็เริ่มพูดคุยฮือฮากัน  เมื่อพูดจบน้าเฉินก็อดไม่ได้ที่จะพูดตำหนิลูกสาวของตัวเองว่า “ ช่างแตกต่างจากเฉียวอิงจริง ๆ ที่ทำงานบ้านอะไรก็ไม่เป็นสักอย่าง แล้วก็ไม่รู้ว่าถ้าในอนาคตต้องแต่งงานออกเรือนไป จะทำยังไง ฉันละเป็นกังวลจริง ๆ "

 

          ด้วยความที่สภาพครอบครัวนั้นดี จึงทำให้ลูกสาวของเธอนั้นทำอะไรไม่เป็นสักอย่างแบบนี้

 

          ตอนนั้นจางฉุ้ยเหลียนก็พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “พี่เฉียวอิงนั้นโชคดี ตอนนี้อยู่บ้านก็สบาย แต่งงานไปในอนาคตก็ต้องสบายยิ่งกว่าเดิมแน่นอนค่ะ!”

 

          คุณน้าเฉินหรี่ตาลงเล็กน้อยพร้อมกับลูบศีรษะของจางฉุ้ยเหลียน ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจว่า “ไปเป็นภรรยาเขาหากทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง แม่สามีไม่ด่าหล่อนตายเลยหรือ”

 

           “ชีวิตของใครก็ของคนนั้น พี่เฉียวอิงจะต้องแต่งงานกับครอบครัวที่เขาจะดูแลเลี้ยงดูพี่เฉียวอิงได้เป็นอย่างดีแน่นอนค่ะ!” เมื่อจางฉุ้ยเหลียนพูดแบบนี้ คุณน้าเฉินก็หัวเราะ เสียงดังขึ้นมาทันที “สาธุ ขอให้เป็นแบบนั้น ขอให้เป็นแบบนั้นเถอะ !”

 

          เมื่อโชว์ฝีมือเสร็จแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็ทำให้ทุกคนยิ้มหัวเราะอย่างเบิกบานใจ ทุกคนต่างก็ชมเธอว่าปากหวาน ช่างพูดช่างจา คนแบบเธอนั้นหาได้ยาก แต่ภายในใจของจางฉุ้ยเหลียนนั้นกลับลำบากใจไม่น้อย ถ้าตัวเองมีสองสิ่งนี้จริง ๆ ล่ะก็ เธอก็คงจะไม่ทำให้แม่ผู้ให้กำเนิดของเธอกระวนกระวายใจ  และก็ไม่ทำให้แม่สามีโวยวายแบบนั้นด้วย

 

          บ่าย 3 โมงกว่า ทุกคนต่างแยกย้ายกันกลับไปกินข้าวที่บ้าน จางฉุ้ยเหลียนก็รับเงินค่าจ้างกลับบ้านเช่นเดียวกัน พอกลับมาถึงบ้าน เธอก็พบว่าภายในหม้อและเตานั้นไม่มีแม้แต่ข้าวสักเม็ด ส่วนเช่าหวาก็นอนกลอกตาไปมาอยู่บนเตียง : “มองอะไร ? แกจะรอกินข้าวจากฉันงั้นหรือ ถ้าคิดแบบนี้ แกก็รอต่อไปเถอะ”  นี่ก็หมายความว่าหล่อนรอให้ให้จางฉุ้ยเหลียนกลับมาหุงข้าวและทำอาหารกินเองสินะ

 

           เธอไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ ออกมา นอกจากวิ่งออกไปยังห้องครัวที่อยู่ด้านนอก และเห็นข้าวสารที่แช่อยู่ในกะละมัง ไม่นานก็มีเสียงของเช่าหวาตะโกนเสียงดังออกมาจากในห้องว่า “ฉันแช่ข้าวให้แล้ว แกก็หุงข้าวละกัน!”

 

            การหุงข้าวแบบเช็ดน้ำจะต้องใช้เวลาในการแช่ข้าวครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ใส่น้ำจำนวนมากลงไปในหม้อ และทำการคนอย่างต่อเนื่อง ถ้าน้ำในหม้อไม่เดือด เวลาเคี้ยวมันอาจจะแข็ง ๆหน่อย  ดังนั้นจึงต้องตักมาใส่ในซึ้งนึ่งเพื่อระบายความร้อน

 

           เมื่อคนไปสักพัก จางฉุ้ยเหลียนก็ได้วางช้อนตักไว้บนฝาหม้อ และถือโอกาสนี้วิ่งไปเก็บมะเขือ แตงกวา พริก และมันฝรั่งในสวนผัก

 

           เมื่อเปิดฝาหม้อข้าวออกมา ก็นำซึ้งนึ่งที่วางอยู่ในกะละมังใส่ลงไปในหม้อ ในซึ้งนึ่งนั้นก็จะมีมะเขือและมันฝรั่งถูกจัดวางไว้อยู่ตามมุมต่าง ๆ ผ่านไปประมาณ 15 นาทีก็เป็นอันเสร็จ เมื่อเปิดฝาหม้อข้าวสวยร้อน ๆ มะเขือและมันฝรั่งก็เป็นอันสุก ควันคุกรุ่น ทุกอย่างถูกนำออกมาวางพักไว้ที่หน้าต่างสักครู่หนึ่ง

 

            จางฉุ้ยเหลียนเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามหน้าผาก จากนั้นก็นำน้ำต้มข้าวมาล้างหม้อ แล้วใส่ถั่วฝักยาวที่เด็ดหัวออกแล้วลงไป แล้วก็หมุนตัวไปหยิบแตงกวาออกมาหั่น 2 ครั้ง เพื่อทำเป็นแตงกวาเย็น เธอใช้มือฉีกมะเขือที่ร้อนระอุออกเป็นเส้น ๆ และวางลงไปในจาน  จากนั้นก็นำมันฝรั่งมาบดให้ละเอียดใส่เต้าเจี้ยวจนกลายเป็นซอสมันฝรั่งวางอยู่ในถ้วย ทั้งหมดก็เป็นอันเสร็จสมบูรณ์ ถั่วฝักยาวก็ตุ๋นจนสุกพอดี

 

          จางฉุ้ยเหลียนเดินเข้าไปในบ้านแล้วถือโต๊ะอาหารออกมาวางเตรียมไว้ มันฝรั่งตุ๋นชามใหญ่ สลัดแตงกวา มะเขือนึ่ง แล้วก็ยังมีสารพัดผักที่มักจะกินทุกวันอย่างพวกต้นหอม ผักชี ผักกาดหอม ผักกาดขาว ข้าง ๆ ก็ยังมีซอสมันฝรั่ง มีผักจานใหญ่จานเดียวถือว่าเป็นมื้ออาหารที่สมบูรณ์ที่สุดในบ้านเลยก็ว่าได้

 

            เช่าหวานึกไม่ถึงว่าจางฉุ้ยเหลียนจะมีฝีมือในการทำอาหารมากขนาดนี้ สามารถทำทุกอย่างออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ดูท่าแล้วคงจะไม่ได้ใช้เงินชื้อของมาทำให้สามีและลูกชายซะแล้วล่ะ ที่บ้านมีผักมากมายก็เอามาทำเป็นอาหารได้หลากหลาย คิด ๆ ดูแล้วเธอต้องแอบนึกชมลูกสาวที่รู้สึกไม่ดีคนนี้อยู่ในใจ

 

             ทันใดนั้นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอก็ได้หยิบตะเกียบขึ้นมาเคาะข้าง ๆ จาน : “ฉุ้ยเหลียนเอ๋อ พี่ทำกับข้าวแบบนี้ไม่ได้นะ ! พี่ดูสิกับข้าวที่พี่ทำน่ะมันมีแต่ผัก เยอะขนาดนี้เราไม่กินกันจนเหลืองตายเลยหรือ ? ”

 

            ยังไม่ทันรอให้จางฉุ้ยเหลียนเอ่ยปาก ลูกชายของเธอก็บ่นงึมงำขึ้นมาก่อนซะแล้ว : “แม่ กินแต่ผักใบเขียวทุกวันมันอาจทำให้เราเหลืองตายเลยนะ ? แม่ดูสิหล่อนทำกับข้าวง่าย ๆ แค่เอาต้นหอมที่อยู่ในดินขึ้นมาแล้วเอามาล้าง ๆ ก็เสร็จแล้วงี้เหรอ ”

 

             สามีจางกว่างฝูพยักหน้าเห็นด้วยกับลูกชาย : “ใช่ ๆ ทำอาหารหม้อใหญ่ขนาดนี้ ถ้าหากว่าตอนเที่ยงเรากินไม่หมด ก็ต้องเอามากินต่อตอนเย็น อากาศร้อนขนาดนี้ ก็คงจะมีเสียกันบ้างแหละ!”

 

            เมื่อฟังที่สองพ่อลูกพูด เช่าหวาก็หน้าแดงขึ้นมาทันใด จากนั้นก็พูดกดดันอีกฝ่ายว่า : “จะกินก็กินไป ไอ้พวกปากไม่มีหูรูด ไม่รู้รึไงว่าวัน ๆ ฉันเหนื่อยกับพวกแกสามคนแค่ไหน แล้วยังจะต้องมาปรนนิบัติรับใช้พวกแกเหมือนกับพระราชาอีกเหรอ!”

 

             จางกว่างฝูอยากจะพูดออกไปเสียเหลือเกินว่าเธอเหนื่อยอะไร งานทุกอย่างเป็นฉันต่างหากที่ต้องออกไปทำ วันนี้เธอก็นอนอยู่บนเตียงทั้งวัน ไม่ทำงานทำการอะไรสักอย่าง ! แต่เขาก็ไม่กล้าพูด พูดไปก็มีแต่จะรังให้ทะเลาะกันเปล่า ๆ

 

             ก็เห็น ๆ อยู่ว่าจางฉุ้ยเหลียนทำกับข้าวจนเหงื่อแตกเปียกชุ่มไปทั้งตัว  ยังต้องมาถูกดุด่าจนรู้สึกแย่เข้าไปอีก เธอวางถ้วยข้าวในมือลงแล้วพูดกับเช่าหวาว่า “แม่ หนูก็คิดว่ามันไม่ได้สิ้นเปลืองอะไรเลยนะ แม่ดูสิถั่วฝักยาวตุ๋นก็ต้องทำชามใหญ่อยู่แล้วเพื่อให้เพียงพอกับทุกคนในบ้านกิน ชามเล็ก ๆ ก็มีสลัดแตงกวา 3 ลูก ส่วนในจานก็มีมะเขือ 2 ลูก แล้วก็มันฝรั่งเล็ก ๆ อีก 2 ลูก”

 

             เห็น ๆ อยู่ว่าจางฉุ้ยเหลียนต้องการที่จะหักหน้าแม่ตัวเองว่าเธอต่างหากที่เป็นคนทำอาหารมื้อนี้ เธอจึงพูดต่อไปว่า “ตอนนี้น้องชายของหนูก็กำลังอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต ไม่กินอาหารที่มีประโยชน์ตอนนี้ ผ่านไปอีก 2 ปีมันก็หยุดสูงแล้ว!”

 

          เมื่อพูดแบบนี้เช่าหวาก็หมดคำที่จะพูดขึ้นมาทันที เธอจึงรีบหันไปมองและยิ้มให้กับลูกชายของเธอ “ลูกชายของฉัน ตอนนี้ก็กำลังอยู่ในช่วงวัยเจริญเติบโต ถูกต้องแล้วล่ะ เด็กตัวแค่นี้กลับกินข้าวราวกับเด็กยากจน เด็ก ๆ อายุแบบพวกเธอก็ต้องกินอาหารดี ๆ สิใช่ไหม”

 

          เมื่อพูดจบ ก็ชื่นชมจางฉุ้ยเหลียนยกใหญ่ สุดท้ายเธอก็บอกกับจางฉุ้ยเหลียนว่า : “หลังจากนี้แกก็เป็นคนทำอาหารก็แล้วกัน เผื่อจะช่วยให้สองพ่อลูกคู่นี้เมินเฉยต่อฉันน้อยลงไปได้บ้าง  !”

 

          จางฉุ้ยเหลียนรู้ ว่างานนี้จะต้องตกมาเป็นหน้าที่ของเธออย่างแน่นอน ทำก็ทำ  ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบก็ถือซะว่าเป็นการพัฒนาฝีมือของตัวเองก็แล้วกัน

 

          หลายอาทิตย์ติดต่อกันมานี้ ในตอนกลางวันจางฉุ้ยเหลียนก็มักจะไปทำงานที่บ้านของคุณน้าเฉิน ตกเย็นก็กลับมาก็มาทำกับข้าว แต่อาหารที่เธอทำเป็นประจำนั้นก็มักจะทำเต็มที่เพื่อให้คนในบ้านนั้นได้ทานอย่างอิ่มหนำสำราญอยู่เสมอ

 

          ภายในระยะเวลา 7 วันนี้ จางฉุ้ยเหลียนทำงานได้เงินมา 8 หยวนแล้ว ถึงแม้ว่ามันจะยากลำบากมากก็ตาม แต่ก็น่าเสียดายที่เงินจำนวนนี้มันยังน้อยเกินไป เธอหวังว่าเธอจะสามารถหางานที่สามารถทำเงินได้มากกว่านี้ได้

 

          คิดไปคิดมาแล้ว ทำงานรายวันก็มั่นคงไม่เท่าการค้าขาย ตอนนี้เธอมีเงินทุนแค่เพียง 8 หยวน ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะเอาไปทำอะไรได้

 

         “เหลียนเอ๋อ!” เช่าหวาเปิดม่านประตูในห้องที่มืดสนิทของจางฉุ้ยเหลียน จากนั้นเธอก็คลี่ยิ้มแล้วเดินเข้ามา จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้วด้วยหวาดความระแวง ทุกครั้งที่แม่เรียกเธออย่างรักใคร่แบบนี้ มันมักจะมีเรื่องมาให้เธอช่วยตลอด นั่นก็คือเรื่องเงิน!

 

          แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ เช่าหวาถามขึ้นด้วยสีหน้าอ่อนโยนว่า : “เหลียนเอ๋อ อาทิตย์นี้แกหาเงินได้เท่าไหร่ ? ”

 

          จางฉุ้ยเหลียนถามขึ้นด้วยสีหน้าถมึงทึงออกไปว่า : “แม่จะเอาไปอะไร ? ”

 

          สีหน้าของเช่าหวาเปลี่ยนไปทันที “ทำไมแกต้องทำสีหน้าแบบนั้นใส่ฉันด้วย ฉันแม่แกนะไม่ใช่เจ้าหนี้!” เมื่อพูดจบก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที : “แกกลัวว่าฉันจะมายุ่งกับเงินของแกรึไง ฉันแค่จะมาชื่นชมแกเฉย ๆ หรอก!”

 

          จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า “หนูเคยใช้เงินแบบไม่เก็บมาก่อน นี่เป็นเงินที่หนูจะเก็บไว้เป็นค่าเล่าเรียนตอนเข้ามหาวิทยาลัย”

 

          เช่าหวาพยักหน้าแล้วพูดด้วยท่าทางอ่อนโยนต่อไปว่า : “ฉันก็รู้ว่าแกอยากจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย  ฉันเคยบอกแกแล้วไม่ใช่เหรอ แกทำงานรายวันไปเรื่อย ๆ จะหาเงินได้สักเท่าไหร่กันเชียว พอถึงตอนนั้นแกก็คงจะไม่มาหาฉันเพื่อให้ฉันช่วยจ่ายค่าเทอมให้หรอกนะ ตอนนี้แกก็เอาเงินมาให้ฉันก่อน พอถึงตอนนั้นฉันค่อยคืนให้แกไง !”

 

          จางฉุ้ยเหลียนจะกล้าเชื่อคำพูดของแม่เธอได้ยังไงกัน เธอจึงพูดออกไปตามความจริงว่า “หนูคงให้เงินนี้กับแม่ไม่ได้หรอก พรุ่งนี้หนูจะต้องไปวางแผงขายของส่งในเมืองหาเงิน มันอาจจะได้เงินเร็วขึ้น !”

 

          เมื่อเช่าหวาได้ยินก็หงุดหงิดขึ้นมาทันที เธอต่อต้านกับการทำธุรกิจหาบเร่ขายของเป็นอย่างมาก “ไม่ได้ ! ฉันว่าแกไม่เห็นคุณค่าของเงิน เดี๋ยวแกก็เอาไปขาดทุนย่อยยับกันพอดีหรอก ! ”

 

          จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้ว “ทำไมต้องขาดทุนด้วย? อีกอย่างถ้ามันจะขาดทุน หนูก็ค่อยไปทำงานกับคุณน้าเฉิน ถ้าหนูไม่หาเงิน หนูจะเอาเงินที่ไหนไปเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้ล่ะ!”

 

          เช่าหวารีบส่ายหน้าทันที : “แกจะไปเข้าใจอะไร เรียนไปก็โง่เปล่า ๆ สู้เอาเวลาว่างพวกนั้น ไปทำงานรายวันยังดีเสียกว่า!”

 

          จางฉุ้ยเหลียนส่ายหน้า : “มันก็เพราะแม่กับพ่อไม่ยอมออกไปขายของไง ดังนั้นบ้านเราถึงได้จนกว่าบ้านของคุณลุง คุณลุงมีเงินซื้อจอทีวีสีแล้ว ทีวีบ้านเรายังเป็นจอขาวดำอยู่เลย!”

 

          เมื่อเช่าหวาได้ยินอย่างนั้นก็ทั้งโกรธทั้งอาย เมื่อได้ยินลูกสาวของตัวเองพูดว่าคนอื่นดีกว่า หล่อนจึงกัดฟันพูดขึ้นด้วยความโกรธว่า “ได้ งั้นแกไปเลยนะ ฉันจะคอยดูว่าแกจะหาเงินได้มากมายขนาดไหนกันเชียว!”

 

รีวิวผู้อ่าน