px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 2 ไม่ได้รับความเป็นธรรม


ตอนที่ 2 ไม่ได้รับความเป็นธรรม

 

          จางฉุ้ยเหลียนถูกเสียงด่าทอปลุกให้ตื่นขึ้น ซึ่งเป็นเสียงที่เธอมักจะกลัวที่สุดในทุกเช้าเมื่อหลายปีก่อน

 

          “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว คิดว่าสอบติดแล้วก็ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำการทำงานอย่างอื่นแล้วงั้นหรือ ? รีบ ๆ ลุกขึ้นมาเลย ” ไม่ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง จางฉุ้ยเหลียนก็รู้ว่าเสียงเคาะประตูนั้นเป็นเสียงแม่ของเธอที่ใช้ไม้แขวนเสื้อเคาะหน้าต่างห้องของเธออยู่

 

           เคาะหน้าต่างห้อง ?   เธอไม่ได้อยู่ในสวนสาธารณะงั้นหรือ ?  ถึงจะอยู่บริเวณบ้าน แต่ด้านนอกหน้าต่างนั่นมันคือชั้นสามของบ้านเลยนะ ทำไมแม่ของเธอถึงยืนเคาะอยู่ข้างนอกหน้าต่างได้ล่ะ ?

 

          หลังจากที่ผลักผ้าห่มออก จางฉุ้ยเหลียนก็ลุกขึ้นนั่ง และชำเลืองตามองไปรอบ ๆ ซึ่งภาพรอบ ๆ นั้นก็ทำให้เธออดที่จะอ้าปากค้างไม่ได้

 

          เธออยู่ที่ไหนกัน เห็นได้ชัดว่าบ้านหลังนี้เป็นบ้านหลังเก่าก่อนที่พวกเธอจะย้ายถิ่นฐานออกไป ในความทรงจำของเธอ ที่นี่เป็นบ้านที่ทำให้เธอต้องใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัวมาตลอดเป็นเวลานานกว่า 6 ปี

 

          คำห้ามปรามของจางกว่างฝูพ่อของเธอก็ดังมาจากข้างนอก แล้วไหนจะเสียงน้ำไหลดัง ครืน ๆ ที่กระทบกันอยู่ในบ่อน้ำและถังเหล็กอีก

 

           เธอย้อนกลับมาในอดีตอย่างนั้นหรือ? แถมยังเป็นตอนที่เธอยังไม่ได้แต่งงานอีก ? จางฉุ้ยเหลียนอดที่จะตกใจไม่ได้ จากนั้นเธอก็สวมรองเท้าแตะแล้ววิ่งไปดูปฏิทินในห้องของพ่อกับแม่ทันที

 

          วันที่ 10 เดือนกรกฎาคม ปี 1988 ! คำด่าที่แม่เพิ่งจะโพล่งออกมาเมื่อสักครู่ ยังคงดังเข้ามาในหูของเธออย่างต่อเนื่อง “คิดว่าสอบได้แล้วก็ไม่ต้องลุกขึ้นมาทำการทำงานแล้วงั้นหรือ ! ” ใช่แล้ว ปีนี้เป็นปีที่จางฉุ้ยเหลียนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้

 

         ปีนี้น่าจะเป็นปีที่จางฉุ้ยเหลียนต้องไปรายงานตัวที่มหาวิทยาลัย แต่เพราะน้องชายของเธอไปมีเรื่องชกต่อยทะเลาะวิวาทกับคนอื่น ดังนั้นครอบครัวจึงต้องนำเงินไปชดใช้ให้กับเขา และไม่มีเงินให้เธอไปเรียนต่อ

 

          สีหน้าของจางฉุ้ยเหลียนซีดเผือดจนแทบจะไม่เห็นสี เธอวิ่งกลับเข้าไปในห้องขนาดเล็กที่มืดสนิทของตัวเองด้วยท่าทางโซซัดโซเซ กระโดดขึ้นไปบนเตียงและดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมโปงตัวเองไว้ ไม่อยากจะเชื่อว่าบนโลกใบนี้จะมีการกลับมาเกิดใหม่จริง ๆ

 

            ตอนนี้เป็นปี 1988 เธอยังอายุเพียงแค่ 18 ปีเท่านั้น ปี 2012 ยังห่างออกไปอีกตั้งหลายสิบ ปี  เธอกระโดดฆ่าตัวตายเพราะเธอไม่สามารถเผชิญหน้ากับสามีและลูกสาวของเธอได้ อีกทั้งเธอเองยังทำให้คนที่เธอรักต้องได้รับบาดเจ็บอีกด้วย

 

           ความทุกข์ทรมานตลอด 24 ปีที่เธอได้รับมา ได้ถูกชดเชยด้วยชีวิตหลังแต่งงานและการได้อยู่กับคนที่เธอรักเป็นเวลานานถึง 22 ปี พ่อแม่ของเธอไม่ค่อยพอใจนัก พวกเขาหวังจะให้เธอแต่งงานกับคนที่มีอายุเพื่อให้เธอปอกลอกสมบัติของอีกฝ่าย

 

          นี่มันครอบครัวแบบไหนกัน ไม่ชอบเธอ แล้วทำไมถึงต้องการให้เธอกลับมาด้วยล่ะ ?

 

          ใช่สิ ! จู่ ๆ จางฉุ้ยเหลียนก็คิดขึ้นมาได้ เธอเพิ่งกลับมาอยู่บ้านหลังนี้เมื่อตอนอายุ 12 ปี ก่อนหน้านั้นเธออาศัยอยู่กับพ่อแม่บุญธรรมมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่เพราะคำล่อลวงจากพ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้าล่ะก็ เธอจะกลับมาอยู่กับคนที่มีจิตใจต่ำช้ายิ่งกว่าหมาป่าเหล่านี้ได้ยังไง ?

 

          ที่สวรรค์ให้เธอกลับมาเกิดใหม่ ก็เพื่อให้โอกาสเธอได้กลับมาเปลี่ยนแปลงเรื่องราวที่ยังไม่เกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ ?

 

          อย่างเช่น เปลี่ยนชีวิตให้กับกู้จื้อเฉิง ชดเชยหนี้ทั้งหมดของเธอ เลี้ยงดูพ่อแม่บุญธรรมยามแก่ชราให้มีความสุข ตอบแทนพระคุณให้เหมือนกับที่พวกเขาเลี้ยงดูเธอมา เลี้ยงดูลูกสาวให้ดี  ให้เธอมีครอบครัวที่มีความสุขที่สุด

 

           จางฉุ้ยเหลียนน้ำตาไหลพราก ชาติที่แล้วเธอเอาแต่ตอบสนองความปรารถนาของตัวเองและคนในครอบครัว ทำร้ายคนที่ตัวเองรักอย่างแท้จริงโดยไม่มีจิตสำนึก สูญเสียความสุขที่ตัวเองควรจะได้รับไปตั้งเท่าไหร่

 

           เธอปรารถนาแค่ครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่บุญธรรมปฏิบัติกับเธอเหมือนเป็นพ่อแม่แท้ ๆ และเลี้ยงดูเธอมาตลอด 9 ปี และไม่เคยเกลียดเธอเลยแม้ว่าเธอจะย้ายออกไปอยู่ที่อื่น ยิ่งไปกว่านั้นยังให้ทรัพย์สินกว่าครึ่งในชีวิตของพวกเขากับเธอ เมื่อใดก็ตามที่เธอให้ความสำคัญกับผู้อาวุโสทั้งสอง เธอก็จะพบว่าที่จริงแล้วความรักที่แท้จริงนั้นได้อยู่เคียงข้างเธอมาโดยตลอดไม่เคยจางหายไป

 

           เธอปรารถนาการปกป้องจากครอบครัว กู้จื้อเฉิงแต่งงานกับเธอในตอนที่เธออายุได้ 22 ปี เขาใช้การกระทำเพื่อพิสูจน์ว่าเขานั้นให้ความสนใจกับเธอมากแค่ไหน โดยที่เขาไม่ลังเลเลยที่จะเปลี่ยนงานและออกไปขับแท็กซี่เพื่อเธออย่างไม่คิดเสียดาย แต่เธอก็ดันเอาเงินที่แลกมาด้วยหยาดเหงื่อและเลือดของเขาไปให้พ่อกับแม่ของตัวเองเพื่อแสดงความกตัญญูต่อพวกท่าน

 

          คนเหล่านี้ปฏิบัติต่อเธอเหมือนเธอเป็นของล้ำค่า แต่กลับทำให้เธอต้องเจ็บปวดครั้งแล้วครั้งเล่า เพียงเพราะพ่อแม่บังเกิดเกล้าของเธอบอกกับเธอว่า มีเพียงญาติที่เกี่ยวข้องทางสายเลือดเท่านั้นถึงจะถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน

 

         พรืด ผ้าห่มถูกใครบางคนดึงออกไป เช่าหวาจ้องเขม็งไปทางจางฉุ้ยเหลียนที่ยังคุกเข่า ไม่กล้าส่งเสียงใด ๆ ออกมาด้วยความโกรธ

 

         “แกไม่ยอมลุกขึ้นมา มัวทำอะไรอยู่ ? ” เมื่อพูดได้เพียงแค่ครึ่งประโยค เช่าหวาก็หยุดชะงักไปด้วยความตกใจทันที เพราะหล่อนเห็นจางฉุ้ยเหลียนกำลังนั่งคุกเข่าร้องไห้น้ำตาอาบแก้มอยู่ตรงนั้น เหมือนกับสัตว์ตัวน้อยที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างไรอย่างนั้น

 

          “ยัยเด็กนี้ แกร้องไห้ทำไม ? ” ดูเหมือนเช่าหวาจะเพิ่งเคยเห็นจางฉุ้ยเหลียนร้องไห้เป็นครั้งแรก  เมื่อก่อนต่อให้เธอจะถูกรังแกยังไง เธอก็เป็นเหมือนกับท่อนซุง แข็งกระด้างไม่มีความรู้สึก

 

           “อ่า อย่าบอกนะว่าสอบไม่ผ่าน ? ” เมื่อนึกขึ้นได้ เช่าหวาก็โยนผ้าห่มออกไปด้วยสีหน้าประชดประชัน “พอได้แล้ว อย่ามัวแต่นั่งเหมือนแมวอั้นฉี่อยู่เลย คนที่สอบไม่ผ่านก็มีเยอะแยะจะตายไป แกคิดว่ามีแค่แกคนเดียวเหรอที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยนั้นได้น่ะ ? ชิ ! ”

 

          เหมือนว่าจางฉุ้ยเหลียนนั้นจะดูเสียใจมากจริง ๆ เช่าหวาจึงไม่ได้ตวาดด่าเธออีก แต่กลับหมุนตัวเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ ไม่ได้พูดด้วยถ้อยคำที่ทำร้ายจิตใจลูกสาวอีกแต่อย่างใด

 

           จางฉุ้ยเหลียนลุกขึ้น แล้วเดินไปหยิบกะละมังบริเวณอ่างล้างหน้าออกไปตักน้ำ

 

           ครอบครัวตระกูลจางอาศัยอยู่ในเขตชานเมืองที่เรียกว่าซานเหอจื่อ เมืองนี้จริง ๆ แล้วเป็นเพียงแค่เมืองเล็ก ๆ เท่านั้น แต่โชคดีที่ที่นี่เป็นเส้นทางผ่านเข้าเมืองและออกนอกเมืองเพียงเส้นทางเดียว การคมนาคมจึงค่อนข้างเจริญมาก ในปี 2009 เพราะมีการสร้างสนามบินรวมทั้งซ่อมแซมรถไฟ พื้นที่แห่งนี้จึงถูกเวนคืนให้กับรัฐบาล ด้วยเหตุนี้ครอบครัวตระกูลจางจึงได้รับค่ารื้อถอนบ้านสองชั้น แต่เมื่อ 20 ปีก่อน ที่แห่งนี้ยังเป็นเพียงแค่ทางเชื่อมระหว่างชนบทและในเมืองที่ทั้งเก่าและทรุดโทรมแห่งหนึ่งเท่านั้น

 

             บ้านหลังนี้เป็นบ้านเก่าแก่ของตระกูลจาง ตอนที่แบ่งบ้านกัน บ้านทางทิศตะวันออกเป็นของคุณลุง ส่วนทางทิศตะวันตกเป็นของครอบครัวพวกเขา นี่คือบ้านที่สร้างขึ้นมาจากอิฐที่ไม่ได้หล่อหลอมแบบบ้านจีนสมัยเก่า ห้องทิศตะวันออกเป็นห้องของพ่อกับแม่ ส่วนทางด้านทิศตะวันตกเป็นห้องน้องชาย ด้านหลังห้องทิศตะวันออกเป็นห้องครัว ตรงข้ามห้องครัวมีผนังกั้นแยกส่วนกับด้านหลังห้องทางทิศตะวันตก มีเพียงแค่เตียงขนาดเล็กหลังหนึ่งที่สามารถจุคนนอนได้เพียงแค่ 2 คน รวมทั้งตู้ไม้หลังหนึ่งที่ได้รับมาจากตอนที่ย่าแต่งงาน นอกเหนือจากนี้ ก็ไม่มีสิ่งของอื่นอีก

 

          บ้านของคุณลุงนั้นดีหน่อย เพราะบ้านของพวกเขานั้นได้เปลี่ยนเป็นบ้านปูนที่ถูกฉาบอย่างสวยงาม ด้านหน้ามีสวนแปลงผัก หลังบ้านก็ปลูกข้าวโพด ต้นทานตะวันและมันฝรั่ง นอกจากนี้ยังมีคอกกระต่าย คอกหมู เล้าไก่ เล้าเป็ด อีกด้วย ทุก ๆ วันเธอก็มักจะตื่นเช้าขึ้นมาทำกิจวัตรกับพี่สาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเธอ

 

          แต่บ้านของครอบครัวเธอนั้น ด้านหน้าเป็นสวนผัก ด้านหลังก็ปลูกต้นข้าวโพด ต้นทานตะวันและมันฝรั่งเช่นเดียวกัน นอกจากเลี้ยงเป็ด 20 กว่าตัวที่อยู่ในบ้านแล้ว ก็ไม่ได้เลี้ยงสัตว์ชนิดอื่นอีก ไม่ใช่เพราะเหตุผลอะไร แต่เป็นเพราะว่าพ่อแม่ของเธอนั้นขี้เกียจสันหลังยาว เป็ดมันเป็นสัตว์ที่สามารถเดินไปหาอาหารหาปลากินในแม่น้ำเองได้ แต่สัตว์ชนิดอื่นนั้นจำเป็นที่จะต้องทุ่มแรงกายและเวลาไปดูแลพวกมัน ดังนั้นครอบครัวของคุณลุงจึงได้ปลูกต้นข้าวโพดเพื่อเป็นอาหารให้หมู ส่วนมันฝรั่งนั้นพวกเขาปลูกไว้เพื่อกินเอง

 

          หลังจากที่ล้างหน้าสะอาดแล้ว จางฉุ้ยเหลียนก็หยิบไม้ไผ่ออกมาเพื่อเปิดเล้าเป็ด  ก๊าบ ก๊าบ ก๊าบ เป็ดใหญ่ เป็ดน้อย ต่างก็พากันวิ่งดุ๊กดิ๊กออกมาจากเล้า จางฉุ้ยเหลียนตะโกนเรียกแม่เสียงดังออกไปว่า  “แม่ !  หนูพาเป็ดไปที่ริมน้ำนะ

 

           หลังจากที่ไล่ต้อนเป็ดกลุ่มนี้ออกจากบ้านตรงไปยังริมแม่น้ำขนาดเล็กแล้ว จางฉุ้ยเหลียนจึงรีบใช้โอกาสนี้มาคิดทบทวนว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่กันแน่

 

          เธอนั่งอยู่ริมแม่น้ำตลอดช่วงเช้า จนกระทั่งพระอาทิตย์เคลื่อนผ่านยอดไม้ และกระทั่งมีคนเดินผ่านมาบอกกับเธอว่าเช่าหวากำลังยืนเท้าสะเอวพร้อมกับตะโกนเสียงดังอยู่ริมถนน

 

           จางฉุ้ยเหลียนจึงได้รีบไล่ต้อนเป็ดกลับบ้านทันที และผลก็เป็นอย่างที่เธอคิดไว้จริง ๆ เธอเห็นเช่าหวายืนหน้าดำคล้ำเครียดอยู่บนถนนทางกลับบ้าน

 

           “นังเด็กเวร แกไปไหนมา ห๊า ? ขี้เกียจนักใช่ไหม ถึงได้ปล่อยเป็ดตลอดช่วงเช้า ? ” จางฉุ้ยเหลียนมองไปทางแม่ผู้บังเกิดเกล้าของตัวเองด้วยสายตาเย็นชา เพราะอยากจะรู้ว่าหล่อนกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

 

          เมื่อเช่าหวาถูกสายตาเย็นยะเยือกของลูกสาวจ้องกลับมา เธอก็รู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อย นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง แต่เมื่อคิดได้ว่านังเด็กคนนี้มันเซ่อ คงจะกลัวว่าตัวเองจะถูกเธอทอดทิ้งอีกครั้ง เธอจึงยืดตัวตรงขึ้นมา จากนั้นก็ตะโกนออกไปว่า “ทำไม ถูกด่าแล้วไม่พอใจฉันงั้นหรือ ? ไม่พอใจก็ไสหัวออกไป

 

          จางฉุ้ยเหลียนจึงโยนไม้ไผ่ที่อยู่ในมือทิ้งไปในทันที จากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้านด้วยสีหน้าเย็นชา แล้วก็ตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า “ไปก็ไป หนูก็ไม่ได้อยากจะอยู่ที่บ้านหลังนี้นักหรอก

 

           เช่าหวาหันขวับกลับมาทันที จากนั้นก็รีบลากจางฉุ้ยเหลียนออกมาด้วยความโกรธ “แกจะทำอะไร?”

 

           จางฉุ้ยเหลียนเงยหน้าขึ้นมาพูดด้วยความโกรธว่า “หนูก็จะออกไปจากที่นี่ไง แม่ไล่หนูไม่ใช่หรือ หนูก็จะไปให้ไกลจากที่นี่ ไม่ให้แม่เจอหนูได้อีกเลย

 

          เมื่อพูดจบเธอก็สะบัดแขนของแม่ออก จากนั้นก็วิ่งเข้าไปในบ้านอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นการกระทำแปลก ๆ อย่างต่อเนื่องของจางฉุ้ยเหลียน เช่าหวาก็ได้แต่กุมขมับ “นังเด็กบ้านี้กินยาผิดมารึไง ดูแปลก ๆ ตั้งแต่เช้าแล้ว

 

          เมื่อพูดจบ เธอก็ครุ่นคิดอย่างละเอียด หลังจากนั้นเธอก็เข้าใจขึ้นมาในทันที เป็นเพราะหล่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ดังนั้นนิสัยของหล่อนจึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้ เมื่อคิดได้แบบนี้ เธอก็อดที่จะเยาะเย้ยขึ้นมาไม่ได้ “ไก่ป่าก็คือไก่ป่านั่นแหละ คิดว่าสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้จะกลายเป็นดั่งหงส์ที่โบยบินอยู่บนฟากฟ้ารึไง ? แล้วยังต้องจ่ายค่าเล่าเรียนให้แกอีก เป็นเพราะไอ้โง่เซี่ยจวินที่เชื่อคำพูดไร้สาระของแกนั่นแหละ เป็นผู้หญิงสุดท้ายก็ต้องแต่งงานออกเรือน จะเรียนไปทำไม

 

          จางฉุ้ยเหลียนไม่เคยคิดอยากจะแตกหักกับแม่ผู้ให้กำเนิดของตัวเองมาก่อน ถึงอย่างไรถ้าต้องบีบบังคับพวกเขาจริง ๆ ตัวเธอเองก็จะเอาหนังสือรับเข้าเรียนของตัวเองออกมาเผาให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ตอนนี้เพื่อให้ได้เข้าเรียนในอีกสองเดือนข้างหน้า เธอจึงทำได้เพียงแค่ให้พวกเขาคิดว่าเธอเป็นงูพิษไปก่อน

 

           เมื่อจางกว่างฝูเห็นลูกสาววิ่งกลับเข้ามาอย่างรีบร้อน เธอวิ่งเข้าไปในห้องแล้วก็ปิดประตูทันทีก็ไม่รู้ว่าเธอไปทำอะไรมา ตามมาด้วยภรรยาของตัวเองที่กำลังไล่เป็ดกลับเข้าเล้า จางกว่างฝูก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย

 

           “ทำไมเธอถึงเป็นคนไล่ต้อนเป็ดกลับมาล่ะ ? ฉุ้ยเหลียนเป็นคนพาเป็ดไปไม่ใช่หรือ ? ” จางกว่างฝูเดินออกมาจากบ้าน และถามขึ้นด้วยความแปลกใจ

 

           เมื่อพูดเรื่องนี้ เช่าหวาก็ฉุนเฉียวขึ้นมาในทันที หลังจากที่เธอไล่ต้อนเป็ดกลับเข้าคอกเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มยืนเท้าสะเอวด่าคนในบ้านอีกครั้ง

 

           “เสียงดายเงินที่ฉันอุตส่าห์หามาให้แกได้กินได้ใช้ แล้วฉันยังต้องมาทนกับความบ้าของแกเรื่องที่ทำให้ฉันต้องเสียหน้าอีกหรือ ตัวเองสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ แต่กลับมาแสดงท่าทางกระฟัดกระเฟียดกับฉัน ฉันควรจะสมน้ำหน้าแกดีไหม ? ” เมื่อได้ยินภรรยาโพล่งด่าออกมา จางกว่างฝูจึงได้เข้าใจ ที่แท้ที่วันนี้ที่เธออารมณ์เสียก็เป็นเพราะว่าเธอไปทำให้ผู้เป็นแม่ต้องโมโหนี่เอง

 

            เมื่อคิดได้เขาก็เตรียมจะเดินกลับเข้าบ้าน แต่กลับเห็นจางฉุ้ยเหลียนสะพายกระเป๋าวิ่งออกมา จากนั้นเธอก็โพล่งออกไปด้วยความโกรธว่า “แม่ไม่พอใจที่หนูใช้เงินของแม่ใช่ไหม ? งั้นหลังจากนี้หนูจะออกไปหางานทำเอง และจะคืนเงินแม่ทุกหยวนทุกเฟินให้แม่เลย

 

           หลายปีที่ผ่านมานั้น จางฉุ้ยเหลียนคิดมาตลอดว่าพ่อกับแม่จะหาเงินมาให้เธอได้เรียนหนังสือ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วจะทำให้ไม่ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพราะน้องชายก่อเหตุก็ตาม แต่ในยุคสมัยนั้นประกาศนียบัตรของนักเรียนมัธยมปลายเทียบเท่ากับวิทยาลัยเทคนิคเลยทีเดียว

 

           เมื่อจางกว่างฝูเห็นลูกสาวโกรธ เขาก็รีบเข้ามาพูดโน้มน้าว “ลูกก็อย่าโกรธเลย ลูกก็เห็นว่าถ้าแม่ของลูกโกรธแล้วจะเป็นยังไง

 

           แต่จู่ ๆ เช่าหวากลับหัวเราะชอบใจออกมา เมื่อคิดได้ว่าเด็กสาวที่คิดได้เพียงแค่เรื่องเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ที่ทำอะไรไม่เป็นและใช้แต่เงินคนนี้ คิดจะออกไปหาเงินส่งตัวเองเรียน เธอผลักจางกว่างฝูออก จากนั้นก็จ้องตาลูกสาว แล้วพูดว่า “ไปเลย แกจะไปหาเงินที่ไหนก็ไปเลย หลายปีมานี้ฉันเสียเงินให้กับแกไปตั้งเท่าไหร่ แล้วก็อย่าลืมเอามาคืนให้ฉันด้วยละกัน

 

            แต่สุดท้ายจางฉุ้ยเหลียนก็ไม่ได้ไปหางานทำในเมือง แต่เลือกที่จะทำไร่ทำนาอยู่แถวบ้านไปก่อน เธอแบกจอบแบกเสียม ไปขุดหญ้าถางหญ้าบนดิน ส่วนเรื่องที่ทำงานในเมืองนั้น ต้องรอให้งานที่นี้เสร็จก่อน ถึงจะไปได้

 

           ภายใต้ความจนปัญญา เพื่อจะได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย จางฉุ้ยเหลียนจึงต้องแบกจอบแบกเสียมทำงานอย่างสู้สุดใจ

รีวิวผู้อ่าน