px

เรื่อง : เกิดใหม่ทั้งทีขอลิขิตรักเอง (นิยายแปล) **จบแล้ว**
ตอนที่ 1 เกิดใหม่


ตอนที่ 1 เกิดใหม่

 

          “ท่านผู้พิพากษา ลูกชายของฉันเขาต้องการจะทำเรื่องหย่า ผู้หญิงคนนี้แต่งงานเข้ามาเป็นสะใภ้ของบ้านเรา ตลอดระยะเวลา 20 ปีมานี้ เธอคิดถึงแต่ครอบครัวของตัวเอง เงินในบ้านเราก็หอบเอากลับไปให้ครอบครัวตัวเองจนหมดเหมือนหมาป่าหางโต ลูกสาวป่วยก็ไม่สนใจ สามีเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ก็ไม่เคยจะไปเยี่ยมไปปรนนิบัตรดูแล ไม่ไหวแล้วลูกสะใภ้แบบนี้เราไม่อยากได้ !

 

          ภายในศาลชั้นกลางท้องถิ่นของเมือง Q  แม่สามีเอาแต่พูดจาตำหนิลูกสะใภ้สารพัดจนน้ำลายกระเด็นกระดอนออกมา กู้จื้อเฉิงนั่งขมวดคิ้วอยู่ตรงข้ามเธอ และเขาก็ไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ ต่อคำพูดของแม่เขา

 

           “ตั้งแต่แต่งงานกันมา จนถึงวันนี้ครอบครัวของเธอมาเรียกร้องอยากจะได้บ้านอยากจะได้เงิน พรุ่งนี้น้าสามของเธอก็คงจะมาบอกว่าไม่มีเงินต้องการมายืมเงิน วันถัดไปน้องชายของเธอก็คงจะมายืมเงินเอาไปทำธุรกิจส่วนตัว หลานสาวของฉันโตเป็นสาวขนาดนี้แล้ว เธอเคยถามหล่อนบ้างไหมว่าเคยกินไอศกรีมที่บ้านของยายมาก่อนรึเปล่า? ยายเคยให้เงินค่าขนมสักเฟินบ้างไหม ? ”  จางฉุ้ยเหลียนต่างก็ยอมรับคำพูดเหล่านี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เธอรู้สึกผิดต่อบ้านฝั่งสามีมาโดยตลอด

 

          ฝ่ายหนึ่งก็ยืนยันที่จะหย่า ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็ดื้อรั้นหัวชนฝาไม่ยอมที่จะหย่า จนกระทั่งเวลาได้ล่วงเลยไปจนถึง 11.00 น. จึงทำได้แค่หยุดพักแล้วค่อยมาเจรจาต่อกันในช่วงบ่ายเท่านั้น

 

           “พี่จางฉุ้ยเหลียน คนที่บ้านพี่ไม่รู้เหรอว่าวันนี้พี่มาทำเรื่องหย่ากับสามี ทำไมถึงไม่มีใครมาศาลฟังคำตัดสินกับพี่เลยล่ะ?”  ทนายความเสี่ยวหลี่ เธอเป็นเด็กสาวคนหนึ่งที่จบจากมหาวิทยาลัยมาได้ไม่นาน ด้วยความที่เธอยังเด็ก จึงทำให้เธอมีประสบการณ์ไม่มากนัก จึงไม่มีใครจ้างเธอไปว่าความ ดังนั้นเธอจึงมาเป็นผู้ช่วยเหลือทางด้านกฎหมายคู่สามีภรรยาในการเป็นผู้ช่วยครั้งแรกของเธอ ก็คือคู่ของจางฉุ้ยเหลียน

 

           “เขารู้ แต่พวกเขาต่างกลัวเสียหน้าก็เลยไม่ยอมมา ! ” จางฉุ้ยเหลียนนั่งหลับตาทั้งสองข้างลงบนเก้าอี้ตัวยาวตรงระเบียงทางเดิน เธอนั่งนิ่งเฉยคนเดียวอยู่อย่างนั้นเป็นเวลาเนิ่นนาน ส่วนทางด้านกู้จื้อเฉิงก็อยู่ในช่วงพักเช่นเดียวกัน และในตอนนี้เขาก็ได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย

 

          “การหย่าร้าง มันเป็นเรื่องที่น่าอายตรงไหน ? จะว่าไปการหย่าในครั้งนี้มันก็ไม่ใช่เพราะว่าพี่ช่วยเหลือพวกเขามากเกินไป จนทำให้คนในครอบครัวฝั่งสามีเกิดความไม่พอใจหรอกหรือ ? ” เสี่ยวหลี่ยื่นซาลาเปาลูกหนึ่งมาให้ แต่ในเวลานี้จางฉุ้ยเหลียนก็ไม่มีกะจิตกะใจจะกินมันแต่อย่างใด เธอได้แต่ปิดปากและยกมือขึ้นมาเลื่อนมันออกไป

 

          แต่งงานอยู่ด้วยกันมา 22 ปี จนลูกสาวอายุ 19 ปีแล้ว ตลอดระยะเวลากว่า 22 ปี แม่สามีเอาแต่จับผิดเธอและไม่เคยมีสักครั้งที่จะเห็นเธออยู่ในสายตา ระหว่างเธอกับกู้จื้อเฉิงนั้นไม่ได้มีความขัดแย้งใด ๆ ต่อกัน เขาจ่ายเงินให้กับครอบครัวเธอตั้งเท่าไหร่ก็ไม่เคยปริปากพูดออกมาสักคำ เพียงแต่แม่สามีและน้องสาวของสามีต่างก็ไม่ชอบขี้หน้าเธอ แม้แต่ลูกสาวของเธอเอง เชี่ยวเชี่ยวยังถูกย่าและน้าล้างสมองจนไม่เคารพต่อความรักของเธอ

 

          เหตุผลในการหย่าร้างครั้งนี้ เป็นเพราะว่าเชี่ยวเชี่ยวไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้เป็นยายของเธอ จนเธอโกรธวิ่งหนีกลับบ้าน แต่ในระหว่างที่วิ่งกลับบ้านนั้นก็ถูกมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเฉี่ยวชนจนทำให้กระดูกขาของเธอหัก

 

          เพราะลูกสาวได้รับบาดเจ็บ กู้จื้อเฉิงจึงได้ระเบิดความโกรธใส่เธอเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบกว่าปี ผู้ชายที่เอาแต่เคร่งขรึมมาโดยตลอดคนนี้อยู่ในเหตุการณ์ตอนที่แม่ของเขาทะเลาะกับเธอมาตลอด แต่ไม่มีเลยสักครั้งที่ไม่ยืนข้างเธอ อีกทั้งยังแอบสนับสนุนเธอ คอยปิดบังแม่ของเขาเรื่องที่เธอต้องเอาเงินไปให้น้องชายที่ไม่เอาการเอางานของเธอ

 

           “ฉันเข้าใจที่เธอเป็นลูกสาวที่กตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่ และฉันก็ยังให้อภัยเธอได้ถึงแม้ว่าตอนที่ฉันเข้าโรงพยาบาลเธอจะไม่มีเวลามาดูแลฉันเลยก็ตาม ฉันไม่สนหรอกนะว่าเงินที่เธอยืมไปให้ครอบครัวของเธอมันจะได้กลับคืนมาไหม แต่จางฉุ้ยเฉิง เธอน่ะเป็นแม่ของเชี่ยวเชี่ยวนะ ทำไมเธอถึงได้ทนดูลูกถูกรังแกและยังด่าลูกได้อีก? ตอนนี้ลูกถูกรถชนจนขาหัก ถ้าเกิดตายขึ้นมาจะทำยังไง ? ”

 

          ทุกคำพูดของกู้จื้อเฉิงนั้นได้ทุบลงมาบนใจของจางฉุ้ยเหลียนอย่างแรง เธอเองก็เสียใจไม่น้อย เธอคิดไม่ถึงว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บจะเป็นลูกสาวของเธอเอง ทำไมเธอจะไม่ปวดใจล่ะ

 

          เวลาบ่ายโมง แม่สามีได้ประคองเชี่ยวเชี่ยวที่พยุงด้วยไม้เท้าเดินเข้ามา จางฉุ้ยเหลียนก็รีบปรี่เข้าไปประคองตัวหล่อน แต่หลังจากที่เอื้อมมือออกไปไม่ทันจะถึงตัว เธอก็ถูกเชี่ยวเชี่ยวปัดมือออกอย่างแรง

 

           “แม่อย่ามาเสแสร้งแกล้งทำได้ไหมคะ ไม่เข้าใจจริง ๆ เลยว่าทำไมหนูถึงได้เกิดมาเป็นลูกของแม่ ” คำพูดที่แสนเย็นชาของเชี่ยวเชี่ยวเปรียบเสมือนใบมีดที่แหลมคมซึ่งกำลังทิ่มแทงลงมาบนหัวใจของจางฉุ้ยเหลียน

 

          “เชี่ยวเชี่ยว ” จางฉุ้ยเหลียนน้ำตาไหลพรากราวกับพายุฝน พร้อมกับยกมือขึ้นมาปิดปาก มองไปทางลูกสาวของตัวเองอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา

 

          “แม่หยุดแสดงละครได้แล้ว ที่หนูมาในวันนี้ก็เพื่อจะมาดูพ่อของหนูหย่ากับแม่ พ่อของหนูโง่เอง ถึงได้ถูกแม่หลอกมานานหลายปี ถ้าแม่อยากจะขอโทษหนูจริง ๆ แม่ก็อย่ามายื้อเวลาอยู่อีกเลย อีกเดี๋ยวก็จะถึงเวลาเปิดศาลพิจารณาคดีต่อแล้ว แม่ก็ยอมหย่าซะ อย่ามัวแต่พิรี้พิไรอยู่อีกเลย ทำอย่างกับว่าใคร ๆ ก็ต้อนรับแม่อย่างนั้นแหละ  รีบ ๆ หย่าเถอะค่ะ ” เชี่ยวเชี่ยวไม่ได้สนใจน้ำตาที่ไหลรินดั่งสายน้ำของแม่ตัวเองแต่อย่างใด ตรงกันข้ามกลับจ้องเขม็งมายังเธอด้วยซ้ำ

 

          แม่สามีได้แต่ส่งเสียงหัวเราะเย็นชาออกมา แล้วเดินผ่านจางฉุ้ยเหลียนไป เพื่อเข้าไปประคองตัวหลานสาวเข้าไปในชั้นศาล

 

            “เสี่ยวชิว พี่ชายเธอล่ะ ไปไหนแล้ว ? ” เมื่อจางฉุ้ยเหลียนที่อยู่ด้านนอกของประตู ก็ได้ยินเสียงของแม่สามีถามกู้จื้อชิวน้องสาวของสามีเธอด้วยความร้อนใจ

 

            ด้วยความที่อยู่กินกันมามากว่ายี่สิบปี จางฉุ้ยเหลียนก็เข้าใจเขาเป็นอย่างดี คุณนายใหญ่เอาแต่บีบบังคับให้เขารีบหย่ามาตลอดหลายปี แต่เขาก็ไม่ยอม ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเชี่ยวเชี่ยวเกิดอุบัติเหตุล่ะก็ เขาก็ไม่มีทางมาศาลด้วยความโกรธเช่นนี้แน่

 

             ตอนนี้ก็ได้เริ่มเปิดศาลพิจารณาคดีแล้ว แต่กู้จื้อเฉิงก็ยังไม่ปรากฏตัว โทรศัพท์มือถือของเขาก็ปิดเครื่อง กู้จื้อชิวก็ได้ออกไปตามหาเขาทุกหนแห่งแต่ก็ไม่เจอแม้แต่เงา จางฉุ้ยเหลียนรู้ว่าเขายังใจอ่อนไม่อยากแยกทางกันกับเธอ

 

           เพราะคู่ฟ้องร้องอย่างกู้จื้อเฉิงไม่อยู่ การฟ้องหย่าในครั้งนี้จึงไม่สามารถดำเนินต่อไปได้ แม่สามีจึงพยายามต่อต้านจางฉุ้ยเหลียน เชี่ยวเชี่ยวเองก็ต้องการทำให้เธอขายหน้าเช่นเดียวกัน

 

          จางฉุ้ยเหลียนพาร่างที่แสนเหนื่อยล้ากลับมาที่บ้านของตัวเอง ซึ่งบ้านหลังนี้เป็นบ้าน 6 ชั้น พ่อแม่ของเธออาศัยอยู่ชั้นที่ 3 ส่วนน้องชายของเธออาศัยอยู่ที่ชั้น 6  ตอนที่ย้ายออกจากบ้านหลังเก่าในตอนแรก เธอได้นำเงินที่กู้จื้อเฉิงโอนให้มาจ่ายค่าธรรมเนียม จนถึงตอนนี้บ้านของเธอก็ยังไม่มีเงินมาจ่ายคืนเขาเลยแม้แต่เฟินเดียว โดยบอกว่าถ้าย้ายกลับไปที่บ้านแล้วจะคืนให้ แต่จนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวคราวใด ๆ เลย

 

          เมื่อเดินมาถึงชั้น 3 เธอก็เห็นว่าประตูถูกเปิดแง้มอยู่ จางฉุ้ยเหลียนที่กำลังจะเปิดเข้าไปข้างใน เธอกลับได้ยินเสียงน้องสะใภ้หวังลี่กำลังตะโกนโหวกเหวกโวยวายเสียงดังอยู่

 

           “แม่ ถ้าเกิดพี่หย่าแล้วพี่เขาจะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ? การหย่าครั้งนี้ ไม่มีใครไปดูเลยว่ากู้จื้อเฉิงจะให้เงินพี่เขามาเท่าไหร่ ? ” จางฉุ้ยเหลียนขมวดคิ้ว พร้อมกับรู้สึกโกรธอยู่ในใจ

 

          ตอนนี้หล่อนยังคิดอยู่อีกหรือว่าหย่าแล้วจะได้เงินเท่าไหร่ ? ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อน เชี่ยวเชี่ยวจะเกิดอุบัติเหตุแบบนี้ไหม

 

           “ศาล ! สถานที่แบบนั้นน่ะเหรอ ฉันไม่ไปหรอก มันไม่ใช่สถานที่ที่ดี คนอื่นเห็นฉันอยู่ที่นั่นคงขายหน้าตายเลย ” เสียงของแม่จางนั้นดังขึ้นมาเลือนลาง ซึ่งจางฉุ้ยเหลียนก็รู้อยู่แก่ใจดีว่าแม่ของเธอต้องคิดแบบนี้

 

           “แม่ ฉันคิดว่าพี่น่าจะมีเงินอยู่ในมือสักนิดสักหน่อยอยู่แหละ ตอนนี้ก็หย่ากันแล้ว ยังไง ๆ พี่ก็ต้องเรียกร้องเงินจากกู้จื้อเฉิงสักแสนอยู่แล้ว แม่ลองคุยกับพี่เขาดูสิ ว่าขอเงินมาเปิดร้านอาหารเช้าให้เราได้ไหม ” เสียงของจางฉุ้ยจวินน้องชายของเธอดังขึ้น จางฉุ้ยเหลียนนั้นรู้สึกโกรธอยู่ในใจไม่น้อย

 

          เขาเป็นคนไม่เอาการเอางานที่สุด วัน ๆ ได้แต่กิน เที่ยว ดื่ม เล่นพนัน ไม่เป็นอันทำงานทำการ นอกจากสูบเลือดสูบเนื้อ แล้วจะไปทำอะไรได้ ?  เปิดร้านอาหารเช้าลำบากซะขนาดนั้น  เขาจะลุกขึ้นมาทำได้ยังไงกันล่ะ

 

“ไอ้หยา ฉันถามมาแล้ว พี่แกน่ะไม่มีเงินเลยสักหยวน หลายปีมานี้กู้จื้อเฉิงไม่ได้ให้เงินพี่แกแล้ว ” เช่าหวาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ดูเหมือนว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ

 

           “พี่คงไม่ได้โกหกแม่หรอกนะ ? ” หวังลี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ “ถ้าพี่ไม่มีเงิน อายุมากขนาดนั้นแล้วยังจะมาหย่ากันอีก หลังจากนี้คงจะไม่เอาแต่นอนขี้เกียจอยู่แต่ในบ้านเราหรอกนะ ? แล้วจะทำมาหากินอะไรล่ะ ไม่ใช่ว่าจะให้ฉันไปหางานมาให้พี่เขาทำหรอกนะ

 

           เห็นได้ชัดว่าหวังลี่ไม่ยอมให้พี่สาวของสามีมาอยู่ในบ้านแม่สามีของหล่อน ถึงแม้ว่าพี่สะใภ้คนนี้จะคอยดิ้นรนช่วยเหลือครอบครัวมาโดยตลอดก็ตาม

 

          “พี่จะไปทำอะไรได้ล่ะ ? หน้าตาก็ดูไม่ได้แล้ว ประวัติการศึกษาอะไรก็จบแค่มัธยมปลาย แล้วยังไม่มีเงินอีกต่างหาก ไม่สู้ให้เธอไปหาเป้าหมายใหม่ แต่งงานออกไปเป็นสะใภ้บ้านอื่นไม่ดีกว่าหรือ ” เสียงของจางฉุ้ยจวินก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

 

           จางฉุ้ยเหลียนแทบจะทรุดทั้งยืนในทันที เธอค่อย ๆ เอนกายพิงผนังยืนฟังบทสนทนาของครอบครัวของเธอที่อยู่ภายในห้อง

 

           ในช่วงเวลานี้จางกว่างฝูก็ได้เอ่ยปากออกมาในที่สุด “พึ่งจะหย่าก็ให้หาคนรักใหม่แล้วงั้นหรือ ? พวกเธอกำลังคิดอะไรกันอยู่ พูดออกมาแบบนี้ได้ เคยคิดว่าหล่อนเป็นคนในครอบครัวอยู่บ้างไหม

 

          หวังลี่ส่งเสียงฮึมฮัมอย่างไม่ค่อยพอใจนัก “พ่อ ตอนนี้พี่เขาไม่มีทั้งงานไม่มีทั้งเงิน แล้ววันนี้ยังต้องมาหย่ากับสามีอีก พ่อคิดว่าหลังจากนี้พี่จะทำงานอะไรล่ะ ? หนูกับเสี่ยวจวินก็แค่คิดแทนพี่เขาเอง ? อีกอย่าง ถึงแม้ว่าจะทำงานได้ แต่ในหนึ่งเดือนจะได้เงินสักเท่าไหร่กันเชียว ? พี่ออกจะโง่ขนาดนั้น บ้านก็ไม่ใช่ของพี่แน่ ๆ  เงินก็เป็นของเชี่ยวเชี่ยวหมด พ่อว่าพี่จะมีอะไรอีกไหม ? ไม่สู้หาผู้ชายคนใหม่มาให้พี่แต่งงาน อนาคตพี่เค้าจะได้ไม่ต้องมาสร้างความเดือดร้อนให้กับเราไงคะ

 

          สร้างความเดือดร้อนงั้นหรือ ? หล่อนบอกว่าเธอสร้างความเดือดร้อนให้กับครอบครัวอย่างนั้นหรือ ?

 

           “ฉันเห็นด้วย ” เช่าหวาเชื่อลูกสะใภ้อย่างสุดใจ นางพยักหน้าเห็นด้วยกับหล่อน “เสี่ยวลี่ เธอรีบไปจัดการเรื่องให้พี่สาวของเธอเลยไป ถึงจะไม่ได้แต่งงานก็ไม่เป็นไร ขอแค่ฝ่ายนั้นยอมให้หล่อนอยู่ด้วยก็พอ

 

           อยู่ด้วยกันแบบผิดกฎหมายงั้นหรือ ? จางฉุ้ยเหลียนนึกไม่ถึงว่าแม่ของเธอจะยอมให้เธอทำแบบนี้ เออออตามน้ำไปเสียหมด ?

 

           “เฮ้ จริงสิ พ่อกับแม่จำลุงต่งที่เคยอยู่บ้านเรามาก่อนไหม ? ภรรยาของเขาตายไปแล้ว ได้ยินมาว่าเขากำลังมองหาภรรยาคนใหม่อยู่ ให้พี่เขาไปอยู่กับเขาด้วยสิ ” จางฉุ้ยจวินนึกขึ้นมาได้ จึงได้พูดกับพ่อแม่ด้วยความตื่นเต้นดีใจออกไป

 

            “ไม่ได้ ลุงต่งแก่กว่าพ่อแกอีก พี่แกทำไม่ได้หรอก ” เช่าหวาโบกมือไปมา หล่อนรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระเกินไป

 

            “ไอ้หยา เจ้าตัวมีอายุมากขนาดนั้นก็ต้องหาภรรยาที่ยังสาวยังสวยอยู่แล้ว พี่ก็เพิ่งจะอายุ 41 ปี ไม่ได้ดีกว่าหญิงชราไปสักเท่าไหร่หรอก ? ” หวังลี่เองรู้สึกว่าความคิดนี้ดี จึงได้สนับสนุนให้ทุกคนเห็นด้วยกับเธอ

 

          “ช่างเถอะ ถ้าให้เพื่อนบ้านเมื่อก่อนรู้ละก็ คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ” จางกว่างฝูไม่ได้แสดงความคิดเห็นอื่นแต่อย่างใด กลัวว่าคนอื่นจะหัวเราะตัวเอง

 

           “แล้วจะเอายังไง พี่ก็หย่าแล้ว ยังจะมีวิธีอื่นอีกรึไง ? ลุงต่งแกมีเงินเยอะนะ ? อย่าว่าแต่เงินเกษียณเดือนละ 3,000 หยวนเลย บ้านของแกก็มีตั้งหลายห้อง ขอแค่พี่จดทะเบียนสมรสกับลุงตงแลกกับการแบ่งห้องให้พี่สักห้อง มันจะเป็นอะไรไป ? แถมยังมีเงิน 3,000 หยวนต่อเดือนอีก ทุกอย่างอาจจะตกมาอยู่ในมือพี่เขาก็ได้ ? ตาแก่นั่นจะอยู่ไปได้อีกสักกี่ปีกัน ตลอดระยะเวลาตั้งแต่อายุ 20 ปีจนถึงอายุ 80 ปี พี่เขาจะเก็บเงินได้เท่าไหร่ ? ถึงตอนนั้นพี่ก็คงจะอายุ 60 กว่าแล้ว เชี่ยวเชี่ยวก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยังไงก็ต้องมาดูแลพี่เขาอยู่ดี ตลอดชีวิตของพี่ไม่เคยสมบูรณ์เลยไม่ใช่เหรอ ยังจะให้ทำงานอีกหรือ ? ” เสียงคำนวณตัวเงินของจางฉุ้ยจวินนั้นดังกังวาน แต่หารู้ไม่ว่าจางฉุ้ยเหลียนที่ยืนอยู่ข้างนอกนั้นรู้สึกเหน็บหนาวราวกับตกลงไปในถ้ำน้ำแข็งอย่างไรอย่างนั้น

 

           จางฉุ้ยเหลียนไม่อาจทนฟังคำพูดต่อจากนั้นได้ เธอพุ่งออกจากบ้านเหมือนกับคนบ้า วิ่งออกไปอย่างไร้จุดหมาย จนกระทั้งพบว่าตัวเองนั้นมานั่งอยู่ริมสระในสวนสาธารณะแล้ว

 

          ตลอดหลายปีที่ผ่านมาเธอทำเพื่อครอบครัวนี้มาโดยตลอด เธอต้องยอมสูญเสียอะไรต่อมิอะไรไปตั้งเท่าไหร่โดยที่คนอื่นไม่มีทางรู้ พ่อแม่น้องชายของเธอเองก็ไม่มีทางรู้เช่นเดียวกัน ?

 

            แล้วเธอกำลังทำอะไรอยู่ตลอดชีวิตนี้ของเธอ? พ่อแม่ก็ลำเอียง น้องชายก็คิดว่าเธอเป็นตู้เอทีเอ็ม ไม่มีใครคิดจะสนใจความรู้สึกของเธอเลย นอกจากกู้จื้อเฉิง

 

           เป็นเธอเองที่ไปเรียกร้องจากเขา เรียกร้องให้เขาสนใจ เรียกร้องเงินทองจากเขา เรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอต้องการ ตลอดระยะเวลายี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา เธอเอาแต่บีบบังคับผู้ชายคนนี้จนเขาทนไม่ไหว ถึงกระนั้นเขาก็ทนไม่ได้ที่จะละทิ้งเธอ เป็นเขาเองที่รู้ดียิ่งกว่าใคร ว่าถ้าเธอไปจากเขา เธอก็จะไม่มีที่ไป

 

          “กู้จื้อเฉิง ฉันขอโทษ ถ้าชาติหน้ามีจริง ฉันจะดีกับนาย ฉันจะไม่ปล่อยให้นายต้องฝืนตื่นตั้งแต่เช้ามืดเพื่อออกไปขับรถแท็กซี่หาเงินมาเลี้ยงฉัน ฉันจะไม่ให้นายทำอาหารให้ฉันกินในตอนที่นายกำลังป่วย ฉันจะทำให้นายได้มีชีวิตที่ดี ฉันจะไม่ทำให้เชี่ยวเชี่ยวเกลียดฉันอีกแล้ว

 

           จางฉุ้ยเหลียนยืนอยู่ตรงข้ามกับสระน้ำที่มืดสนิท เธอเอาแต่ร่ำร้องขอโทษกู้จื้อเฉิง จากนั้นเธอก็ก้าวขาออกไปข้างหน้า และกระโดดลงไปทันที

 

           วันที่ 21 เดือนธันวาคม ปี 2012  โลกทั้งใบต่างบอกว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของโลก จางฉุ้ยเหลียนไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของโลกหรือเปล่า แต่เธอรู้เพียงแค่ว่าวันนี้เป็นสุดท้ายของตัวเธอเอง...

 

รีวิวผู้อ่าน