px

เรื่อง : Chronicles of Primordial Wars
ตอนที่ 17 : ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง


เนื่องจากเขาสามารถเข้ามาและรับผิดชอบในการสอนได้ ปกติเขาไม่ได้เป็นคนบ้าที่รู้เพียงวิธีการนับหนึ่งถึงสิบในวัยของเขา มีอะไรมากกว่าที่นักล่าวัยชราเช่นตัวเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการนับเลข ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะไม่รู้เรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย มันเป็นเพราะนับเป็นหนึ่งในทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติภารกิจการล่าสัตว์ และการแข่งขันระหว่างทีมล่าสัตว์ต่างๆ นอกจากนี้ก็ต้องให้คนในทีมรู้ว่าจะนับได้อย่างไร

รู้ว่าเด็กในถ้ำชำนาญสามารถนับ 1-30,นักล่ารุ่นเก่ารู้สึกว่ามีความสุขและพึงพอใจมาก นอกเหนือจากความประหลาดใจและตกใจ เขาชอบที่จะสอนคนอื่น ๆ แต่โชคร้ายที่ขึ้นไปบนภูเขา เด็กไม่จำเป็นต้องให้เขาสอน

ด้วยความสนใจที่หายากและมีค่านี้ นักล่ารุ่นเก่าให้ความสนใจเป็นพิเศษในการสอนและเขาก็สนุกกับมันเช่นกัน

เนื่องจากพวกเขาสามารถเรียนรู้ตัวเลขมากขึ้น ถ้ำเงียบลงและพวกเขาหยุดพูดเกี่ยวกับการเปลี่ยนครู กล่าวแทนลูกหมาทุกตัวที่กำลังฟังอย่างใกล้ชิดพร้อมกับความสนใจเต็มที่ ฉาวซวนส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่ตัวอักษรในชนเผ่า ในขณะที่เด็กคนอื่น ๆ มีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ตัวเลขมากขึ้น ซีซาร์ที่กำลังนอนอยู่บนเตียงฟาง, นอน, เป็นสัตว์ที่กำลังเบื่อที่สุดตัวเดียวในถ้ำ

เมื่อมันเป็นเวลาสำหรับนักล่าชราที่จะจากไป เขาเริ่มที่จะรักใคร่เด็กเหล่านี้แล้ว และเขารู้สึกเหมือนกับว่าเขามีสิ่งต่างๆมากมายที่เขาอยากจะแบ่งปัน ในอดีตที่ผ่านมาเขาจะมาที่นี่สองหรือสามครั้ง ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปและเขาสนุกกับการสอนพวกเขา เขาวางแผนที่จะไปอีกสักครั้ง,เพราะหลังจากนั้น เขาไม่สามารถลงจากภูเขาได้ทุกวัน หลังจากพิจารณาอย่างรอบคอบ นักล่าชราทิ้งม้วนหนังสัตว์เอาไว้ ไม่ว่าอันแรกที่เขาได้นำออกมา แต่อีกอันที่ใหญ่กว่าที่มีตัวอักษรมากขึ้นและมีตัวเลขเขียนอยู่ เขาถามฉาวซวนเพื่อเก็บไว้และใครก็ตามที่ต้องการอ่านอาจไปเอาที่ฉาวซวน

ทุกช่องระบายอากาศในถ้ำที่ถูกปิดกั้นแล้วโดยฟางหญ้าแห้ง เพื่อให้แสงไม่สามารถเข้ามาภายใน ในช่วงฤดูหนาว มันมืดเหมือนกันหมดในถ้ำไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน นอกจากนี้ พวกเขาไม่สามารถใช้ไฟได้นานตลอดทั้งวัน ฟืนที่เก็บไว้ในถ้ำถูกนำมาโดยนักรบ แต่ยังคงไม่เพียงพอที่จะทำให้ไฟลุกไหม้ได้ตลอดทั้งวัน

ฉาวซวนจ้องที่แสงไฟและคิดว่ามันจะสะดวกมากขึ้นสำหรับทุกคน ถ้ามีแสงสว่างภายในถ้ำ

ซีซาร์กินปลาดิบข้างๆ ฉาวซวนในขณะที่มันไม่ชอบอาหารที่ปรุงสุก

ฟันปลาที่เหลือหลังจากที่พวกเขาได้กินเนื้อปลา มันไม่เหมาะสำหรับการทำเครื่องมืออื่น ๆ พวกมันมีขนาดเล็กเกินไป และเพราะพวกเขายังเด็กเกินไปที่จะออกไปล่าสัตว์ ฟันปลาไม่สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการล่าสัตว์ แต่ยังคงสามารถ,ฉาวซวนทำแปรงอันเล็กพร้อมกับฟันเหล่านั้น เป็นหวีไว้แปรงขนซีซาร์และเส้นผมของตัวเอง

ในเผ่ามีหวี แต่เด็กกำพร้าในถ้ำไม่สนใจที่จะหวีผม การปรากฏตัวของเขาไม่สำคัญเท่ากับประเด็นที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ผู้ชายและผู้หญิงทุกคนในเผ่ามีทรงผมที่แตกต่างกันยาวหรือสั้น ผู้ที่โปรดปรานผมยาวไม่อาจจะใช้มีดหินตัดผมสั้น แต่ไม่มีใครดูแลใส่ใจเด็กในถ้ำ เพราะฉะนั้นทุกคนมีผมยาวยุ่งเหยิง

ฟันปลาที่มีขนาดใหญ่กว่านั้นถูกแกะสลักขึ้นและทำเป็นสร้อยคอโดยเด็ก ๆ พวกเขารักมัน

การตกแต่งด้วยเขาหรือฟันของเกมหรือตัวแทนอะไรที่เป็นสัญลักษณ์ของความสามารถ และคนในเผ่าชอบที่จะใช้เพื่อแสดงผลการล่าสัตว์ของพวกเขา นักรบบางคนจะมอบของตกแต่งเหล่านี้ให้กับสาวที่รักของพวกเขาจะได้ชอบพวกเขามากขึ้น เด็กหญิงและผู้หญิงในเผ่าก็จะเปรียบเทียบสิ่งเหล่านี้เช่นกัน เพื่อที่จะดูว่าสร้อยคอของใครสูงค่ากว่า; และใครที่มีขนนกบนหัวมาจากนกที่ดุร้ายน่ากลัว เกมที่ดุเดือดรุนแรงเป็นที่น่าชื่นชมยินดีกับผู้ใดที่ได้รับและใส่เครื่องประดับที่ทำจากมัน

แน่นอน เด็กๆก็ยังจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น ๆ ในเขตพื้นที่ตีนเขา เด็กส่วนใหญ่สวมใส่สร้อยคอที่ทำจากเขาสัตว์,ฟันหรือกระดูกของเกมที่พ่อแม่ได้มา (อย่างงนะ เกมคือสัตว์ที่ถูกล่า หรือการล่าสัตว์ได้หมดทั้งสองแบบ) ในถ้ำอย่างไรก็ตามแต่ เด็กกำพร้าจำนวนมากสูญเสียพ่อแม่ของพวกเขาขณะที่อายุยังน้อยมากจึงไม่มีใครจะให้พวกเขาดังเช่นเครื่องประดับที่เหมือนของขวัญ ทุกครั้งเมื่อพวกเขาเดินไปที่เผ่า และเห็นเด็กๆเหล่านั้นสวมเครื่องประดับตกแต่ง พวกเขาจะรู้สึกชื่นชมหรือแม้กระทั่งอิจฉา นอกจากนี้ยังเป็นเหตุผลที่ซ่อนไว้สำหรับการต่อสู้ระหว่างพวกเขากับเด็กคนอื่น ๆ ในเผ่า

แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถใช้เกมของพวกเขา นำฟันมาทำเป็นสร้อยคอเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำกันของพวกเขาเอง พวกเขาจะไม่มีความสุขได้อย่างไร? ตอนนี้พวกเขามีสร้อยคอเช่นกัน ซึ่งไม่รุนแรงยิ่งกว่าของเด็กคนอื่นๆ!!!! สร้อยคอฟันปลาจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเด็กเหล่านี้จึงรักปลา

ฉาวซวนไม่ได้มุ่งมั่นกับฟันปลาอย่างคนอื่น ๆ และเขาแบ่งปันฟันปลาขนาดใหญ่ซึ่งมีความเหมาะสมที่จะทำสร้อยคอให้แก่เด็กคนอื่น ๆ เมื่อบาได้ไปเยี่ยมน้องสาวของเขา เขาให้ฟันปลาขนาดใหญ่แก่เธอ แม้ว่าจะมีขนาดใหญ่กว่าที่เขาสวมใส่

ชีวิตไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน

ในขณะที่ฉาวซวนกำลังพิจารณาจะทำอย่างไรให้ดีขึ้นกับสถานการณ์ในถ้ำ เด็กคนอื่น ๆ ไม่ค่อยมีปัญหา นอกเหนือจากการนอนหลับทุกวัน เขาจะพูดคุยเกี่ยวกับการนับจำนวนพร้อมกับแสงไฟกับเด็กคนอื่น ๆ เมื่อมันเป็นเวลากินอาหารเท่านั้น ในขณะที่ม่อเอ๋อร์ฝนมีดของเขาให้คมทุกวัน เขาเข้าใจการนับเลขและเขารู้จักตัวอักษรมากกว่าคนอื่น ๆ ในถ้ำ ดังนั้นทุกครั้งเมื่อไฟดับลง เขาจะไปอยู่อีกมุมและฝึกฝนทักษะมีดของเขา เขาจะโยนหินขึ้นไปในอากาศและจากนั้นก็ใช้มีดฟันไปที่มัน ตั้งแต่ในถ้ำไม่พบว่ามีนกนางแอ่นราตรีเพื่อที่เขาจะใช้เป็นที่ฝึกฝน

หลังจากกินอาหาร, เด็กทุกคนในถ้ำผล็อยหลับไป ก่อนที่กิ่งไม้ในกองไฟจะดับลง, ฉาวซวนเพิ่มกิ่งไม้เข้าไปจนแน่ใจว่าไม้จุดติดไฟ, นำกิ่งไม้ที่ลุกไหม้เป็นคบไฟและเดินลึกเข้าไปในถ้ำ

วันอื่น ๆ เมื่อเขาได้ทำการตรวจสอบลึกเข้าไปในถ้ำ เขาพบว่าห้องหินเป็นที่เก็บของจิปาถะกระจุกกระจิก หม้อหินที่เด็กๆใช้ในการทำอาหารเช้า มาจากที่นั่นหลังจากที่ฉาวซวนขุดพวกมันออกมา นอกจากหม้อหิน ฉาวซวนไม่ได้ให้ความสนใจกับรายการอื่น ๆ อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีอะไรอย่างอื่นทำ ดังนั้นเขาจึงถือคบไฟไปที่นั่นเพื่อดูว่าเขาจะพบสิ่งของที่อาจจะเป็นประโยชน์

ถึงแม้ว่าพวกเขาได้ปิดกั้นช่องระบายอากาศทั้งหมดที่ที่พวกเขานอนหลับ ถ้ำยังคงมีรอยแตกเชื่อมต่อออกไปข้างนอก ดังนั้น ฉาวซวนรู้สึกได้ถึงสายลมหนาวเย็นเล็ดรอดเข้ามา ในขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปภายใน

สิ่งที่ดีคือการที่ลมไม่แรงนักและเปลวไฟเพียงส่องแสงริบหรี่ไม่กี่ครั้งและไม่ได้ถูกลมพัดดับลง

ฉาวซวนกระชับเสื้อหนังสัตว์ของเขาและเดินตามความทรงจำของเขาเข้าไปภายใน ซีซาร์เดินตามเขาอย่างใกล้ชิด

มีห้องหินหลายห้องภายในและมีการกระจายเหมือนกิ่งก้านสาขาแยกย่อยออกไป ห้องแรกจากด้านขวามีของกระจุกระจิกอยู่ในนั้นและค่อนข้างใหญ่

ช่องระบายในห้องหินถูกปิดกั้นและฉาวซวนเอาไฟส่องสิ่งที่อยู่ภายใน สิ่งของบางอย่างถูกนำมาใช้ก่อนหน้านี้ แต่บางทีเด็กๆที่อยู่ในถ้ำไม่ใส่ใจที่จะใช้พวกมันและมีเพียงรอให้เผ่าส่งมอบอาหาร ดังนั้นจึงไม่มีเครื่องมือใดๆที่ถูกนำมาใช้อีกครั้ง และพวกมันมีแต่ฝุ่น

นอกเหนือจากม้านั่งหินและสิ่งที่ตั้งหม้อหิน ฉาวซวนไม่สนใจสิ่งใด

หลังจากนั้นสักครู่ ฉาวซวนก็จับตามองที่แผ่นหินกลม มันเป็นแผ่นหินกลมค่อนข้างแบนพร้อมกับขอบประมาณหนึ่งนิ้วเหนือด้านล่าง

วางอาหารที่จะกิน? แต่ใครจะใช้สิ่งนี้ตั้งแต่มีหม้อหิน?

เขาวางแผ่นหินไว้และมองไปที่สิ่งของอื่น ๆ ในขณะที่เขายังคงขุด เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและมองกลับไปที่แผ่นหินที่เขาโยนไปด้านข้าง เขาวัดรอบ ๆ ด้วยมือของเขา แล้วยกไฟขึ้นสูงเพื่อดูช่องระบายอากาศ

ช่องระบายอากาศทั้งหมดในถ้ำไม่เล็ก เพื่อให้อากาศและแสงส่องเข้ามาข้างใน

สายตาของฉาวซวนย้ายไปมาระหว่างช่องระบายและแผ่นหิน จากนั้นเขาก็หยิบแผ่นหินในขณะที่เขากลับไปตามทางที่เขามา

ฉาวซวนเพิ่มฟืนมากขึ้นเพื่อให้ไฟลุกขึ้น และมีหิมะบางส่วนจากชั้นหิมะหนาตรงทางเข้า เขาใส่หิมะลงในหม้อหิน และวางแผ่นหินนอกม่านฟางตรงปากทางเข้าถ้ำ หลังจากเวลาผ่านไป เขาเทน้ำจากหิมะที่ละลายบนแผ่นหิน และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบว่าน้ำได้ถูกแช่แข็ง

ดังนั้นเขาจึงลากแผ่นหินเเข้ามาข้างใน และเผาที่ขอบของแผ่นหินด้วยเปลวไฟก่อนที่เขาจะวางจานหินคว่ำลงและดึงน้ำแข็งที่อยู่รอบๆออก

เด็กบางคนที่ยังไม่หลับยังคงจ้องมองไปที่ความพยายามของฉาวซวนอย่างอยากรู้อยากเห็น พวกเขาสงสัยว่าเขากำลังทำอะไร แต่ห่มด้วยผ้าห่มหนังสัตว์หนา พวกเขาไม่ต้องการที่จะยืนขึ้นเพราะความหนาวเย็น ได้เพียงแต่พยายามที่จะชะเง้อคอของพวกเขาเพื่อจะได้มุมมองสายตาที่ชัดเจนกว่า แต่แสงไฟยังไม่สว่างพอสำหรับพวกเขาที่จะเห็นได้อย่างชัดเจน

มันหนาวเย็นเกินไปที่จะสัมผัสด้วยมือเปล่า ดังนั้นฉาวซวนใช้ชิ้นส่วนของหนังสัตว์ห่อน้ำแข็งและเขาก็ก้าวขึ้นไปบนก้อนหิน จับน้ำแข็ง เขาบอกบา ให้ทำความสะอาดฟางแห้งทั้งหมดที่ปิดกั้นช่องระบายอากาศ

ด้วยไม่มีอะไรปิดกั้นไว้ ลมพัดเย็นเฉียบเข้าไปในถ้ำและเด็กๆคล้ายถูกแช่แข็งเพราะความหนาวเย็น ฉาวซวนที่ยืนทางด้านขวาใต้ช่องระบายอากาศ สายลมหนาวปะทะเข้ามาอย่างรุนแรง และใบหน้าของเขารู้สึกชาเหมือนไม่อาจรู้สึกได้ถึงใบหน้าของเขา ดังนั้นเขาจึงรีบผลักน้ำแข็งเข้าช่องระบายอากาศ ด้วยความช่วยเหลือของบา

ในขณะที่ ฉาวซวนได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ น้ำแข็งเกือบจะมีขนาดเท่ากับช่องระบายอากาศ มีขนาดเล็กเท่านั้น และความแตกต่างนั้นทำให้เขาสามารถดันน้ำแข็งเข้าช่องระบายอากาศได้

ในอดีตที่ผ่านมา ฉาวซวนไม่เข้าใจว่าทำไมมีรอยบุ๋มอยู่ที่ขอบของช่องระบายอากาศ ตอนนี้เขาเข้าใจว่ามันถูกใช้เพื่อป้องกันน้ำแข็ง สำหรับรอยแยกขนาดเล็กอื่น ๆ พวกมันอาจถูกอุดรอยแยกด้วยฟางโดยตรง

ตอนที่น้ำแข็งติดอยู่ ไม่มีลมหนาวสามารถพัดผ่านเข้ามา แต่แสงตกกระทบผ่านน้ำแข็ง ในช่วงฤดูหนาวไม่มีแสงแดดส่อง แต่เวลากลางวันก็ยังไม่หายไป

ในมุมมองของฉาวซวน เขาไม่พอใจกับแสงที่มีน้อย และการออกแบบที่ไม่เหมาะสม แต่สำหรับเด็กเหล่านั้นที่อยู่ในถ้ำ พวกเขาพึงพอใจอย่างมาก

พวกเขาทั้งหมดอ้าปากค้าง ขณะที่พวกเขาจ้องสายตาเป็นประกายไปที่ช่องระบายอากาศเหมือนคนโง่เขลา

มันกลับกลายเป็นว่าในช่วงฤดูหนาวก็สว่างสดใสเช่นกัน

ฉาวซวนเพิ่งเสร็จการปรับปรุงอีกหนึ่งช่องระบาย และเด็กคนอื่นๆ อาสาที่จะช่วยช่องอื่น ๆเวลานี้มีอาสาสมัครเต็มใจทำจำนวนมาก บรรดาผู้ที่ไม่ใส่ใจจะลุกขึ้นก่อนหน้านี้ ตอนนี้รวมตัวกันพร้อมกับผ้าห่มหนังสัตว์

ฉาวซวนแนะนำให้ทำแผ่นน้ำแข็งและติดตั้งไว้ในช่องระบายอากาศแต่ละช่อง เช่นนั้นแล้วเขาจึงปล่อยให้พวกเขาทำงานกันเอง เด็กทุกคนอยากจะลองด้วยมือของตัวเอง แต่ฉาวซวนตัดสินใจว่าควรจะทำหน้าที่เป็นกลุ่มสมาชิกห้าคน พวกเขาต่อตัวเป็นปิรามิดมนุษย์เพื่อไปยังที่ที่สูงจริงๆ

ฉาวซวนบอกพวกเขาให้ระมัดระวัง เมื่อพวกเขาใช้แผ่นหิน เพราะไม่มีใครรู้ว่ามันถูกเก็บไว้ที่นี่นานแค่ไหน อย่างน้อยในปีที่ผ่านมา มันก็ไม่เคยถูกนำมาใช้

เห็นว่าควรจะไม่มีปัญหาใดๆ ฉาวซวนถือคบไฟของเขาและเดินกลับไปที่ห้องหินที่เต็มไปด้วยของกระจุกกระจิก เขาขุดออกมาอีกสี่แผ่นหิน แต่สามแผ่นแตกและมีเพียงหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ได้

เขาเอาแผ่นหินที่สองออกมา และทำน้ำแข็งที่ปิดกั้นช่องระบายอากาศในห้องหินเก็บของกระจุกกระจิกนี้ ' คบไฟของเขาอาจดับลงตอนนี้ แต่เขายังคงมองเห็นสภาพภายใน

ในขณะที่เด็กๆกำลังยุ่งอยู่กับการทำแผ่นน้ำแข็ง ฉาวซวนอยู่ที่นี้เพื่อขุดหาสิ่งของอื่น ๆ ที่พวกเขาสามารถใช้ได้

ขณะที่เขากำลังขุด แขนฉาวซวนเหวี่ยงกระแทกไปที่ผนังหิน และเขาก็สังเกตเห็นว่าผงหินหล่นลงมา

ฉาวซวนอยากรู้อยากเห็นอย่างมาก สำหรับผนังหินในถ้ำอื่น ๆไม่เป็นเช่นนี้ เขาก้มและสังเกตอย่างใกล้ชิด และเช่นนั้นก็พบว่ามันดูเหมือนว่าบนผนังหินในห้องหิน มีชั้นบางๆเคลือบเอาไว้ มันดูเหมือนว่าจะทาด้วยผงหินพิเศษ

เขาได้เห็นคนในเผ่าใช้วิธีการคล้ายกับสีไม้เพื่อป้องกันไม้จากการติดเชื้อจากแมลง แต่มันอยู่ในถ้ำ ทำไมทุกคนจะใช้วิธีนี้ในการทาสีกำแพงหิน? และตัดสินจากสถานการณ์ มันถูกทาสีเป็นเวลาหลายปีที่ผ่านมาในสมัยโบราณ

ถ้าทาสีใหม่, ผงควรจะครอบคลุมทั่วผนังและติดแน่น แต่ว่าตอนนี้เพราะว่ามันอยู่ที่นี่เป็นเวลานานตั้งแต่ทุกคนในเผ่าอาศัยอยู่ที่นี่ ชั้นของผงหินก็หลุดออกมาและในบางสถานที่ชั้นสีที่เคลือบจะหลุดล่อนอย่างหนักหากลูบมันด้วยมือของเขา

ฉาวซวนเอามีดหินของเขาออกมาและแซะผนังหินเพื่อเอาผงชั้นหินออกมา ด้วยแสงที่ผ่านมาทางช่องระบายอากาศ, ฉาวซวนเห็นว่ามีบางภาพที่สลักอยู่บนผนังไม่มีชั้นสีเคลือบไว้

ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังแบกหม้อ หม้อมีปากกว้างและก้นแคบ บนหม้อยังมีรูปแบบการตกแต่งบางอย่าง ฉาวซวนไม่เคยเห็นคนในเผ่าใช้หม้อหินชนิดนี้ สำหรับทุกคนในเผ่ามูลค่าการใช้งานได้จริงแทนความสวยงามเมื่อมันมาเป็นเครื่องมือ

"บางทีคนที่อาศัยอยู่บนภูเขาอาจจะมีหม้อเหล่านี้อยู่ในบ้านของพวกเขา" ฉาวซวนคิด

เมื่อเขาเช็ดออกอีกส่วนหนึ่งบนผนังหิน,มีนักรบสิบคนวิ่งไล่เกมพร้อมกับคันธนูและลูกธนู

ฉาวซวนจำได้ว่าแลงกาได้บอกเขาว่ามีนักรบไม่กี่คนในเผ่าที่สามารถใช้ธนูได้ เนื่องจากไม่มีวัสดุใดที่ดีพอที่จะทำเป็นคันธนูที่สามารถทนต่อความแข็งแกร่งของนักรบ คันธนูและลูกศรตอนนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อติดตั้งกับดัก หรือช่วยล่าสัตว์โดยการพุ่งออกไปที่เกมแทนการใช้นักรบ ' อย่างไรก็ตาม ภาพบนผนัง นักรบทุกคนถือคันธนูยักษ์!

ฉาวซวนตั้งใจที่จะใช้มีด และแซะผงหินออกมามากขึ้น เพื่อที่จะเห็นภาพวาดอื่น ๆ ที่อยู่บนผนัง แต่หลังจากความคิดบางอย่าง,เขาทิ้งมีด ตักน้ำบางส่วนและใช้เศษหนังสัตว์เช็ดผนังอย่างระมัดระวัง เขาเชื่อว่าภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังบนกำแพงหินภายในห้องหินนี้ อาจจะบอกเขาหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจ ที่เขาไม่ระแคะระคายมาก่อน

รีวิวผู้อ่าน