px

เรื่อง : ตำนานงูยักษ์เขมือบโลก
ตอนที่ 5 : ศัตรูตามธรรมชาติ


ตอนที่ 5 : ศัตรูตามธรรมชาติ

 

ฟ่างหยุนหลบหนีเข้าไปในรังของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็หันหัวพร้อมกับมองออกไปข้างนอกตรงปากทางเข้ารัง เงาที่เหมือนอุกกาบาตลูกนั้นตกลงมาที่พื้น ทำให้เกิดเสียงกระแทกบนพื้นอย่างรุนแรง

 

เสียงกระแทกพื้นครั้งนี้ดังราวกับค้อนทุบ แต่เสียงค้อนทุบนั้นได้ทุบลงไปกลางหัวใจของฟ่างหยุนอย่างแท้จริง มันทำให้ร่างกายอันอ่อนนุ่มของเขาสั่นสะท้านไปด้วยความกลัวจากสุดขั้วหัวใจ

 

“ นี่มันอะไรกัน ”

 

หัวใจของฟ่างหยุนตอนนี้ต้องบอกได้ว่ามัน “ เต้นรัว ” ราวกับว่าจะออกมาเต้นนอกอก ในขณะเดียวกันดวงตาของเขาเองก็จ้องมองตรงไปที่โพรงหญ้าฝั่งตรงข้าม หญ้าระแวกนั้นดูเหมือนกับว่าถูกดึงออกมาจากหลุมขนาดใหญ่ ทันใดนั้นเองร่างของนกสีดำตัวใหญ่ก็ปรากฏขึ้นมาทำให้ฟ่างหยุนเห็นนกตัวนั้น กำลังลุกขึ้นยืนจากโพรงหญ้าหย่อมนั้น

 

“ นั่นมัน...............นกอินทรีย์! ตอนนี้ฟ่างหยุนแทบจะเสียสติ เพราะสิ่งที่เขากำลังจ้องมองอยู่นั้น มันคือ นกอินทรีย์ มันคือนกสายพันธุ์ใหญ่ตัวนกนั้นกำลังยืนอยู่อย่างสง่า ทำให้มองเห็นถึงขนสีดำปนน้ำตาล ลำตัวของมันนั้นยาวมาก ส่วนสูงของเจ้านกตัวนี้ก็ราวๆ สักหนึ่งเมตรได้ จะงอยปากของมันนั้นก็ดูโค้งน่ากลัวราวกับตะขอเหล็กแหลม และยิ่งไม่ต้องพูดถึงดวงตาอันน่ากลัวคู่นั้นยิ่งทำให้ฟ่างหยุนมั่นใจได้ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยว่ามันคือ นกอินทรีย์!

 

เดิมทีแล้วฟ่างหยุนก็นึกขอบคุณพระเจ้าในใจลึกๆ อยู่แล้วว่าในบริเวณนี้ไม่มีสัตว์กินเนื้อที่แข็งแกร่ง แม้แต่งูสายพันธุ์อื่นๆหรือตัวฟ่างหยุนเองก็ค่อนข้างที่จะหายาก และไม่ค่อยพบเห็นได้ง่ายนัก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ แค่คิดก็ผิดไปแล้ว ผิดพลาดไปอย่างมาก

 

ในระแวกนี้มีเจ้าของ และเจ้าของนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นไกล นั่นก็คือเจ้านกอินทรีย์ตัวนี้ นกอินทรีย์ นักล่าสูงสุดบนห่วงโซ่อาหาร มันเป็นสัตว์กินเนื้อ และเมนูหลักของมันได้จากการออกล่าจับกิน หนู,งู,กระต่าย หรือแม้แต่นกตัวเล็กๆ หากอินทรีย์ที่โตเต็มวัยจะมีขนาดลำตัวที่ใหญ่มาก มันสามารถล่าได้ทั้ง แพะ,แกะ หรือแม้แต่กวางอีกด้วย

 

            แน่นอนว่านกอินทรีย์เจ้าตัวที่อยู่ตรงหน้าของฟ่างหยุนนั้นยังไม่แข็งแรงพอที่จะจับสัตว์ระดับแกะหรือกวางได้แต่ถึงยังงั้นแล้วสำหรับฟ่างหยุน นกอินทรีย์ตัวนี้สุดแสนจะอันตราย เมื่อเห็นยังงั้นแล้วว่ามีนกนักล่าเหยื่ออยู่ระแวกนี้ ฟ่างหยุนก็รู้สึกตัวสั่นขึ้นมาอีกทันที บางทีวันใดวันหนึ่งหากเขาเผลอ เขาอาจจะกลายเป็นเหยื่อของเจ้าอินทรีย์ตัวนี้ เหมือนกับกระต่ายโชคร้ายที่กำลังถูกฉีกกินเนื้ออยู่ก็เป็นได้

 

            โอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูง! วันดีคืนดีหากฟ่างหยุนกำลังนอนอาบแดดอย่างไม่ได้ระวังตัวอยู่ เขาอาจจะกลายเป็นอาหารของมันเลยก็ได้ เพราะปกติแล้ววิสัยทัศน์ในการล่าเหยื่อของนกอินทรีย์นั้นจัดว่าดีเยี่ยมเป็นพิเศษ มันสามารถมองเห็นเหยื่อตัวเล็กๆ ที่วิ่งอยู่บนพื้นในระหว่างที่ตัวมันนั้นลอยอยู่ในอากาศเหนือพื้นดินที่สูงมากกว่าหนึ่งกิโลเมตร

 

            สาเหตุที่วันนี้ฟ่างหยุนไม่ได้กลายเป็นเหยื่อของนกอินทรีย์ก็เพราะว่าตำแหน่งของตัวเขาอยู่ไกล้กับรัง และขนาดของฟ่างหยุนนั้นก็เล็กกว่าเจ้ากระต่ายโชคร้ายนั้นด้วย แต่อย่างไรก็ตามวันนี้ฟ่างหยุนจำเป็นต้องออกไปล่าเหยื่อ ถ้าหากเขาถูกเจ้านกอินทรีย์พบเจอในสถานที่โล่งแจ้งหลังจากนี้แล้วละก็ ฟ่างหยุนคิดว่านกอินทรีย์ตัวนี้คงไม่รังเกียจที่จะจับเขากินเป็นของหวานอย่างแน่นอน

 

            “ วู้ววววว!

 

ตอนนี้เองเจ้านกอินทรีย์ที่ยืนอยู่บนกองหญ้าตรงข้ามกับรังของฟ่างหยุน ก็เริ่มกระพือปีกของมันทำให้พุ่มหญ้าที่อยู่โดยรอบนั้นแกว่งไปมาราวกับมีชีวิต ในขณะเดียวกันนั่นเองเจ้านกอินทรีย์ก็บินขึ้นสู่ท้องฟ้าโดยมีท่าทีที่ลำบากเล็กน้อย ภายใต้กรงเล็บอันแหลมคมของมัน แสดงให้เห็นกระต่ายตัวอ้วนสีเทาห้อยหัวลงมาแบบร่างไร้วิญญาณ พร้อมกับเลือดเม็ดใหญ่ที่หยดเป็นทาง

 

เมื่อเห็นฉากแบบนี้แล้ว ฟ่างหยุนก็รู้สึกหนักใจขึ้นเป็นอย่างมาก เพราะตอนนี้เขาทั้งรู้สึกเศร้าและหดหู่ ในตอนแรกที่เขาต้องกลับชาติมาเกิดเป็นงูแล้ว ฟ่างหยุนก็มักจะพูดกับตัวเองเสมอว่า เกิดเป็นงูแล้วยังไงก็หนีไม่พ้นกับศัตรูที่อยู่ตามธรรมชาติอีกมากมายแน่นอน แม้ว่าจะเตรียมใจมาเป็นอย่างดีแล้ว ความคิดนั้นก็ต้องพังทลายลง เมื่อฟ่างหยุนได้พบกับศัตรูทางธรรมชาติของจริง มีแต่ความกลัวและความสิ้นหวังเท่านั้นที่กำลังท่วมท้นในจิตใจของเขา

 

“ ยังไงแล้วนั่นมันก็ยังดีกว่าการเป็นมนุษย์ ” ฟ่างหยุนอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์ ตอนที่เขาเป็นมนุษย์นั้นเขากลับคิดว่าเขารู้สึกเฉยๆกับมัน แถมยังคิดอีกว่าการที่ต้องไปโรงเรียนทุกวันนั้นมันเป็นเรื่องน่าเบื่อ มันน่าจะดีกว่าถ้าหากเขาแปลงร่างเป็นสัตว์อะไรก็ได้ เช่น นก หรือสัตว์อื่นๆเพราะสามารถมีอิสระได้เต็มที่

 

            แต่ตอนนี้พอได้กลายมาเป็นสัตว์จริงๆ กลับไม่รู้สึกถึงอิสระใดๆเลย แถมไม่พอต้องมาเจอกับแรงกดดันในการที่จะต้องมีชีวิตรอดอีก

 

            “ ยิ่งเติบโตเร็วเท่าไรยิ่งดี ” ฟ่างหยุนคิดว่า ถ้าหากเขาเติบโตเร็ว มีวิวัฒนาการจนสามารถเป็นถึงจุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารได้อย่างจริงจัง แล้วละก็ เขาก็ไม่ต้องมากังวลว่าชีวิตของเขาในแต่ละวันมันจะเป็นยังไง

 

          “ ลองคิดเล่นๆดูสิ ว่าถ้าหากเรามีลำตัวที่ยาวขนาดสิบเมตรหรือหลายสิบเมตรแล้วละก็ จะมีสัตว์หน้าไหนกล้ามาหาเรื่องอีกรึเปล่า ? ”

 

            แต่ถ้าถึงวันนั้นจริงๆ ฟ่างหยุนก็คิดว่าจะทำตัวเป็นคนดีโดยที่จะไม่รังแกสัตว์ตัวอื่นๆ เช่นกัน

 

“ แอ๊กกกก! แอ๊กกกก แอ๊กกกก!

 

            อย่างไรก็ตามในเวลานี้เองก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้น ขัดจังหวะช่วงเวลาที่ฟ่างหยุนกำลังขบคิดอยู่ เขาชะงักไปชั่วครู่ และเริ่มที่จะเลื้อยออกมาตรงปากทางเข้าของรังอย่างเชื่องช้า ในทันทีทันใดนั้นเขาก็พยายามมองออกไปหาต้นตอของเสียงกรีดร้องนี้ว่ามันมาจากที่ใด และแล้วเขาก็อดทึ่งไปไม่ได้! เพราะสิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของเขานั้นคือเจ้ากิ้งก่าตัวเดิมซึ่งลำตัวฝั่งซ้ายของมันนั้นติดอยู่ที่รอยแยกของหิน ทำให้มันไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้ และเจ้ากิ้งก่าตัวนี้ไม่ใช่เหรอ ? ที่มันจะพยายามขโมยอาณาเขตของเขา

            เมื่อเห็นฉากที่มันตลกแบบนี้ ฟ่างหยุนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะดังๆออกมา แม้ว่ายังมีความกลัวและความกังวลในใจของเขาจากนกอินทรีย์ แต่เรื่องนี้มันก็ทำให้เขารู้สึกเบาใจไปได้มากมายจริงๆ

 

            จากการวิเคราะห์แล้วเจ้ากิ้งก่าทึ่มตัวนี้น่าจะกำลังปีนขึ้นไปบนก้อนหินก้อนนั้น ตอนที่กำลังเลื้อยหนีลงไปในรังตอนเจอกับนกอินทรีย์ แต่บังเอิญเจ้ากิ้งก่าดวงซวยดันพลาดตกลงไปในร่องลึกของหิน เมื่อจ้องมองไปยังเจ้ากิ้งก่าทึ่มแล้วมันพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะให้ตัวมันนั้นหลุดพ้นออกมาจากก้อนหิน ฟ่างหยุนก็เริ่มที่จะแลบลิ้นเข้าออกพร้อมกับเลื้อยตรงเข้าไปหามันในทันที

 

            เจ้ากิ้งก่าทึ่มนี่มันกล้าที่จะมาแย่งอาณาเขตของเขา แน่นอนว่าฟ่างหยุนไม่มีวันปล่อยมันไปแน่ เพราะที่สำคัญกว่านั้นเจ้ากิ้งก่าตัวนี้ให้พลังงานทางชีวภาพถึง 10 หน่วย

 

            แท้จริงแล้วฟ่างหยุนวางแผนที่จะใช้เจ้ากิ้งก่าตัวนี้เป็นหนูทดลองทักษะพิษมรณะ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องเปลืองแรงขนาดนั้น เพราะถึงยังไงเจ้ากิ้งก่าก็ไม่มีทางหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน

 

            ต่อหน้าฟ่างหยุนในตอนนี้ เจ้ากิ้งก่ายิ่งพยายามดิ้นรนอย่างสุดความสามารถ เพื่อที่จะปลดตัวเองออกจากรอยแตกของหินแต่ดูเหมือนว่ามันจะถลำลึกลงไปอีกจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะหลุดออกไปจากที่นี่

 

            “ ฟู่วววว! ฟู่วววว!

ในเมื่อทำอะไรไม่ได้เจ้ากิ้งก่าทึ่มก็พยายามที่จะทำเสียงร้องออกมาเพื่อให้ดูน่าเกรงขามมากขึ้น และลำตัวของมันนั้นก็เปลี่ยนสีเป็นสีสดสว่างมากขึ้น ดูเหมือนว่ามันพยายามขู่ฟ่างหยุนนั่นเอง

 

ตัดภาพมาทางฝั่งของฟ่างหยุน ตอนนี้เขาไม่ได้สนใจท่าทีของเจ้ากิ้งก่าทึ่มแล้ว พร้อมกับพุ่งเข้าไปกัดที่ลำคอของมันแทนจากนั้นก็ใช้ลำตัวยาวของเขาบีบรัดลำตัวของเจ้ากิ้งก่า ตอนนี้ร่างกายของฟ่างหยุนนั้นพยายามหดตัวอย่างเต็มที่ เพื่อที่จะได้บดขยี้ให้เจ้ากิ้งก่าและดึงร่างของมันออกจากรอยแยกของหินหลังจากสองสามครั้งที่เขาดึงตัวมันออกมา ไม่นานร่างของกิ้งก่าก็หลุดออกมาได้

 

ลำตัวของเจ้ากิ้งก่านั้นได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจากการดิ้นรนที่จะเอาตัวรอด แถมยังถูกร่างของฟ่างหยุนกอดรัด ไม่น่านมันก็นิ่งไปราวกับว่าสิ้นใจไปแล้ว และสิ่งนี้เองก็ต้องทำให้ฟ่างหยุนนั้นประหลาดใจเป็นอย่างมาก เดิมทีแล้วฟ่างหยุนอยากที่จะทดลองใช้เทคนิคในการขดรัดลำตัว แต่เจ้ากิ้งก่าทึ่มนี่ดันจากไปไวเหมือนโกหก

 

ตอนนี้เจ้ากิ้งก่าก็ตายไปแล้วมันช่วยทุ่นแรงของฟ่างหยุนได้เป็นอย่างมาก เขาจึงเริ่มเขมือบส่วนหัวของมันก่อนจากนั้นก็ค่อย ๆ กลืนไปทั้งลำตัว ตอนนี้ลำตัวของฟ่างหยุนนั้นพองตามรูปลักษณ์ จากสิ่งที่เขาเพิ่งจะกินไป มันทำให้เขานั้นเลื้อยไปต่ออย่างยากลำบาก

 

โดยไม่ลังเล ฟ่างหยุนรีบเลื้อยกลับไปที่รังอันแสนสุขของเขาพร้อมกับมุดลงไปอย่างรวดเร็ว โชคดีที่การล่าเหยื่อของเขาในครั้งนี้นั้นอยู่ไกล้กับรังเป็นอย่างมาก จินตนาการไม่ถูกเลยว่าถ้าหากไปไกลกว่านี้แล้วละก็ เขาอาจจะต้องกลับมาที่รังนี้อย่างยากลำบากแน่ ๆ

เมื่อถึงรังแล้วฟ่างหยุนก็ค่อยๆ เหยียดลำตัวยาวพร้อมกับหลับตาลงทันที เพื่อที่จะรอการย่อยซากกิ้งก่าในท้องของเขา หลังจากที่อิ่มหนำสำราญใจในวันนี้แล้ว ภารกิจการออกล่าเหยื่อของเขาก็จบสิ้นลง

 

 

           

 

 

 

 

รีวิวผู้อ่าน