px

เรื่อง : ตำนานงูยักษ์เขมือบโลก
ตอนที่ 3 : วิวัฒนาการ


ตอนที่ 3 วิวัฒนาการ

 

“ ไข่หนึ่งใบสามารถเพิ่มพลังชีวภาพได้ 1 หน่วย ” นั่นหมายความว่า ถ้าหากข้ากลืนไข่พวกนี้ไปทั้งหมด ข้าจะสามารถเข้าสู่ขั้นวิวัฒนาการได้ อย่างนั้นสินะ ?

 

เมื่อได้ยินเสียงของระบบดังขึ้นแล้ว ฟ่างหยุนก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาทันทีทันใดราวกับว่าได้ยกภูเขาออกจากอก เพราะหลายวันมานี้เขาต้องทนอยู่กับความกดดันเกี่ยวกับการหาหนทางเอาชีวิตรอดทำให้อารมณ์และจิตใจของเขานั้นอยู่ในสภาวะหดหู่มาโดยตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างมาก

 

ถ้าหากเขาสามารถเข้าสู่การพัฒนาวิวัฒนาการอีกครั้งแล้วละก็ คุณสมบัติทางกายภาพของเขาจะก้าวกระโดดไปข้างหน้าเป็นอย่างมาก ซึ่งคุณสมบัติพวกนี้นั้น จะเอื้ออำนวยต่อการเอาชีวิตรอดในป่าของเขามากขึ้นอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือขนาดร่างกายของเขา แน่นอนว่ามันจะต้องใหญ่ขึ้น

 

หลังจากการพัฒนาวิวัฒนาการครั้งที่แล้วส่งผลให้ ความยาวที่ลำตัวของฟ่างหยุนนั้นเปลี่ยนไปจากเดิม 10 เซนติเมตร เป็น 20 เซนติเมตร แล้วการวิวัฒนาการครั้งนี้ล่ะ ? ตัวของเขานั้นจะยาวมากขึ้นอีกเท่าไร 30เซนติเมตร หรือมากกว่านั้นนะ ?

 

ไม่ว่าในกรณีใดก็ตาม ขนาดลำตัวที่มีการเติบโตมากขึ้นของฟ่างหยุนนั้น มันจะทำให้เขาดูน่าเกรงขามยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าเขาจะโชคร้ายและต้องตกอยู่ในอันตรายจากการที่ต้องเผชิญหน้ากับศัตรูทางธรรมชาติอื่นๆ แต่ด้วยขนาดลำตัวอันมหึมานั้น ก็สามารถสร้างความลังเลต่อสัตว์เหล่านั้นได้ คุ้มค่าไหมหรือไม่ที่ต้องเสี่ยงเอาชีวิตมาแลก

ในขณะที่กำลังคิดถึงเรื่องนั้นอยู่ ฟ่างหยุนก็ไม่รอช้า เขานั้นเปิดปากตัวเองให้กว้าง กว้างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อที่จะกลืนไข่ทั้งสี่ใบนี้ลงไปในปากของเขาอย่างช้าๆ และในที่สุด ไข่ทั้งสี่ใบนั้นก็ตกลงไปถึงท้องของฟ่างหยุน

 

และแล้วรังของนกกระจอกผู้น่าสงสารก็ว่างเปล่าไปในพริบตาเดียว

 

“ มาคิดๆดูแล้ว เมื่อสักครู่ข้าเพิ่งจะกินลูกกินหลานของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นเข้าไป ถ้าหากว่าพ่อแม่ของพวกมันเหล่านี้กลับมา และมองไม่เห็นลูกๆของตัวเอง พวกสัตว์เหล่านั้นจะมีความรู้สึกเสียใจหรือร้องไห้จนน้ำตาเป็นสายเลือดไหมนะ ? ”

 

เรื่องนี้ฟังดูแล้วอาจจะโหดร้ายป่าเถื่อน แต่ฟ่างหยุนในตอนนั้นเองก็ไม่ได้รู้สึกผิดใดๆขึ้นมา เพราะในท้ายที่สุดแล้วกฎของผืนป่า “ ปลาใหญ่ย่อมกินปลาเล็ก ผู้ที่อ่อนแอกว่านั้นย่อมเป็นเหยื่อของผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ” บางทีเขาอาจจะกลายเป็นแค่ขนมขบเคี้ยวสำหรับนกตัวใหญ่ ๆ ในอนาคตก็ได้ เหมือนกับการที่เขากินไข่ของนกกระจอกในวันนี้

 

จะว่าไปแล้วในหลายวันมานี้เขานั้นได้กลืนกินสิ่งมีชีวิตหลายอย่างเข้าไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้สึกผิดและความรู้สึกรังเกียจ เหมือนที่เขาทำในวันแรก ถึงแม้ว่าเขานั้นจะไม่อยากมีจิตใจที่เย็นชาและไร้ความรู้สึกแต่เขาก็ต้องพยายามเป็นอย่างมากเพื่อที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่นี้ให้ได้

 

“ ทุกอย่างที่ทำไปนั้น ก็เพื่อความอยู่รอด ” ฟ่างหยุนคิดขึ้นมาในใจ

 

หลังจากที่กลืนไข่เหล่านั้นเสร็จ ฟ่างหยุนก็ต้องรีบเลื้อยออกจากรังไป เพราะหากเขายังอยู่ต่ออาจจะได้รับอันตรายจากพ่อนกแม่นกที่บินกลับมายังรัง แม้ว่าพลังต่อสู้ของนกกระจอกนั้นจะไม่มาก แต่เขาก็คิดว่าการป้องกันตัวเองของตัวเขาในตอนนั้นเองก็ไม่ได้ดีอะไรมากมาย

 

หลังจากที่ฟ่างหยุนเลื้อยออกจากรังของนกกระจอกแล้วเขาก็มุ่งหน้าเพื่อกลับไปสู่รังซึ่งเป็นวิมานของเขา ในขณะที่ท้องฟ้านั้นเริ่มจะมืดลง ลมหนาวเย็นยะเยือกมาเยือน ณ ผืนป่าแห่งนี้ มันปัดเป่าใบไม้ให้ร่วงหล่นลงบนพื้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ใบไม้นั้นร่วงลงมากองทับถมบนลำตัวของฟ่างหยุน เขาจึงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

           

จิตใจของฟ่างหยุนในตอนนี้รู้สึกกระวนกระวาย เพราะอะไรหลายๆอย่างในป่านี้สามารถทำให้เขาหัวใจวายได้ทุกเมื่อ ตอนนี้เขาต้องการกลับไปถึงรังของเขาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่หลังจากที่เขากลืนไข่ทั้งสี่ใบลงท้องไปแล้ว ร่างกายของเขาก็พองตามรูปร่างของไข่ แต่เดิมนั้นเขาก็เคลื่อนที่ช้าอยู่แล้ว พอมีสภาพแบบนี้มันทำให้เขานั้นเคลื่อนที่ช้าไปกว่าเดิมเสียอีกหลายเท่า

 

            ระหว่างที่กำลังมุ่งหน้าสู่รัง ฟ่างหยุนก็ได้พบกับแมลงสาบสองสามตัวตามรายทาง ซึ่งแมลงสาบแต่ละตัวนั้นจะสามารถเพิ่มพลังทางชีวภาพให้เขากับได้ตัวละ 0.5 หน่วย แต่ในขณะเดียวกันเขาก็หันกลับไปมองร่างกายที่ป่องบวม ราวกับว่าผิดปกติแล้วนั้น เขาไม่คิดว่ามันจะมีที่ว่างเพียงพอที่จะใส่แมลงสาบทั้งหมดพวกนี้ลงไปได้อีก ที่สำคัญคือความเร็วของเขาตอนนี้เมื่อเทียบกับเต่าแล้วเขาอาจจะช้ากว่ามันอีกก็ได้ ฉะนั้นแล้วการที่จะไปไล่จับแมลงสาบกินอีกนั้นไม่มีความเป็นไปได้เลยแม้เลยแต่น้อย

 

            หลังจากที่คิดได้อย่างนั้นแล้ว เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะจับเจ้าพวกแมลงสาบมากินเป็นอาหาร และหลังจากนั้นไม่นานฟ่างหยุนก็สามารถกลับมาถึงรังที่พักของเขาได้สำเร็จ

 

            ในรังที่เต็มไปด้วยความมืดและแคบสนิท ทำให้ฟ่างหยุนนั้นรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาทันตา ในที่สุดเขาก็ค่อยๆ ขดตัวลงนอนด้วยจิตใจที่ผ่อนคลาย และเหมือนเคยในอดีตที่ผ่านมานั้นเขาได้ขดร่างกายเพื่อหลบซ่อนจากภัยอันตรายต่างๆ ในส่วนที่ลึกที่สุดของรังเพื่อรอการย่อยอาหารในท้องของเขาอย่างเงียบๆ  แต่ในครั้งนี้เขาต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมงกว่า เพื่อย่อยเหยื่อทั้งหมดในท้องของเขา

 

            และแล้ว เสียงสวรรค์ก็ดังขึ้น ตึ๊ง! “ ท่านทำภารกิจสำเร็จ ได้รับพลังทางชีวภาพ 5 หน่วย ”  เสียงของระบบแจ้งเตือนดังขึ้นมาในหัวของฟ่างหยุน เขาปลุกตัวเองจากภวังค์ในช่วงกึ่งหลับกึ่งตื่นหลังจากนั้นดวงตาของเขาก็เบิกกว้างขึ้นอย่างใจจดใจจ่อ เพื่อรอการแจ้งเตือนครั้งต่อไป แน่นอนว่าระบบนั้นไม่ปล่อยให้เขาต้องเสียเวลารอ ระบบจึงแจ้งเตือนต่อให้เขาทราบโดยทันที “ ท่านเจ้าของภารกิจ ขณะนี้ระบบตรวจสอบพบว่าท่านมีพลังชีวภาพเพียงพอตามเงื่อนไขของการวิวัฒนาการแล้ว ”

 

“ การวิวัฒนาการนั้นจะใช้ระยะเวลาประมาณ 10 นาที ขอให้ท่านตรวจสอบว่าอยู่ในพื้นที่มีสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับการวิวัฒนาการในครั้งนี้ด้วย ”

 

“ ท่านเจ้าของภารกิจต้องการที่จะรับการวิวัฒนาการในครั้งนี้เลยหรือไม่ ? ”

 

หลังจากที่ฟ่างหยุนได้ยินการแจ้งเตือนของระบบในประโยคสุดท้ายแล้วนั้น เขาก็ตอบออกมาอย่างไม่ลังเลเลยว่า “ รับสิ ”

            ในระหว่างที่ฟ่างหยุนนั้นกำลังจินตนาการถึงการวิวัฒนาการอยู่นั้นมันก็ทำให้เขาได้รู้สึกถึงความอบอุ่นบนร่างกายของเขา ทำให้ฟ่างหยุนนั้นรู้สึกสบายตัวขึ้นมาเป็นอย่างมาก แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปสักพักจากความอบอุ่นที่รู้สึกสบายเริ่มกลับกลายเป็นความร้อนมากขึ้น มากขึ้น ถึงร้อนมากที่สุด! เรียกได้ว่าตอนนี้ ร้อนแทบจะเดือดเป็นน้ำในกาต้มน้ำเลยก็ว่าได้ ตอนนี้เองมันทำให้เขารู้สึกอึดอัดไม่สบายตัวเป็นอย่างมากแต่เขากลับไม่สามารถทำอะไรได้เลยนอกจากถูไถร่างกายของเขาไปบนพื้นดินอย่างทุรนทุราย ความเจ็บปวดเริ่มทวีคูณขึ้นไปอีกหลายเท่า จนในที่สุดเขาก็ต้องส่งเสียงร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดขั้นรุนแรง และแล้วหลังจากนั้นสิบนาที ความเจ็บปวดนั้นก็หายไป ใช่แล้ว! การวิวัฒนาการของเขานั้นได้สิ้นสุดลง

 

“ ในที่สุดมันก็เสร็จสักที การวิวัฒนาการนี่ ”

 

            ฟ่างหยุนถอนหายใจอย่างโล่งอก ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะรู้สึกว่า เขานั้นได้ยกภูเขาอันหนักอึ้ง ออกจากร่างกายเขาทิ้งไปแล้ว และเมื่อคิดย้อนกลับไปถึงความเจ็บปวดเมื่อสักครู่นั้น เขาก็รู้สึกได้ว่าการเป็นงูนั้นไม่ได้เป็นกันง่ายๆเลย

 

            เมื่อเทียบกับการที่ต้องล่าสัตว์เพื่อสะสมพลังงานทางชีวภาพให้เพียงพอต่อการวิวัฒนาการแล้วนั้น เขาก็ยังต้องมาทนต่อความเจ็บปวดราวกับว่าถูกไฟในนรกแผดเผาบนร่างกายอีกด้วย นี่ถ้าหากไม่มีเจตจำนงที่แข็งกล้าที่จะต้องการพัฒนาตัวเองนั้นแล้ว เขาอาจจะเสียสติจนเป็นบ้าไปกับความเจ็บปวดตอนวิวัฒนาการร่างของเขาเองก็ได้ เขาค่อยๆสงบสติอารมณ์และเลื้อยไปรอบๆรังของเขา

 

            เขารู้สึกว่าตอนนี้ร่างกายของเขานั้นเปลี่ยนไปมาก พลังของเขาเองนั้นก็เพิ่มขึ้นมา เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกอีกครั้ง ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าเขาไปสัมผัสกับบางสิ่งบางอย่างที่อ่อนแอมาก ด้วยหางของเขา

 

            ด้วยประสบการณ์แล้วนั้น ฟ่างหยุนก็รู้ทันทีว่า ว่าสิ่งที่หางของเขาไปสัมผัสได้ในตอนนี้ ก็คือ คราบ ของเขาที่เขาเพิ่งลอกมันออกมา ตอนวิวัฒนาการนั่นเอง

 

“ ข้าเพิ่งจะลืมตามาดูโลกใบใหม่นี้เพียงแค่ 10 วันเพียงเท่านั้น แต่เขาก็สามารถวิวัฒนาการได้ถึง 2 ครั้งแล้ว คิดว่าคงมีแต่ข้าเท่านั้นแหละที่ทำได้แบบนี้ ”

 

ฟ่างหยุนรู้สึกภาคภูมิใจอย่างประหลาดเขาส่ายหัวไปมาเพื่อสลัดความคิดแปลกๆ เหล่านี้ ออกจากหัวของเขาไป ตอนนี้เขาเรียกหาระบบในความคิดของเขา เพื่อที่จะดูความเปลี่ยนแปลงมากน้อยเพียงใด จากการวิวัฒนาการที่ต้องแลกด้วยความเจ็บปวดมาครั้งนี้

 

ตึ๊ง! “ การวิวัฒนาการครั้งที่สองของท่านสำเร็จอย่างสมบูรณ์ ท่านได้อัพเกรดตัวเองเป็นการวิวัฒนาการระดับที่ 3 โดยท่านจะได้รับคะแนนทักษะ 2 คะแนน ”

 

“ ตอนนี้ระบบตรวจสอบพบว่าตัวท่านนั้นมีคะแนนทักษะเพียงพอ ท่านต้องการจะเห็นทักษะที่มีอยู่หรือไม่ ”

 

            ฟ่างหยุนเปิดระบบขึ้นมาเพื่อที่จะดูทักษะที่ว่านั้นโดยปรากฏสองข้อความเด้งขึ้นมาซึ่งมันทำให้เขาประหลาดใจ และหลังจากอ่านข้อความแล้วมันก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

 

            หลังจากที่เขาได้รับการวิวัฒนาการเป็นครั้งแรกเขานั้นมีความสนใจใฝ่หาในทักษะเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าระบบนั้นมีความพิเศษถึงขั้นสามารถเดินทางข้ามจักรวาลได้ มันจึงทำให้เขานั้นคาดหวังอะไรบางอย่าง บางอย่างคล้ายๆกับการปล่อยลูกไฟ หรือปล่อยพายุที่มีใบมีดออกมาได้ทำนองนั้น

 

            อย่างไรก็ตาม คะแนนทักษะของเขาไม่เพียงพอเขาจึงไม่สามารถมองเห็นได้ว่าทักษะอะไรที่เขาจะสามารถเรียนรู้ได้บ้าง เขาจึงทำได้แต่มองมันอย่างเหม่อลอยและโหยหา

 

            แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หลังจากการวิวัฒนาการของเขาเสร็จสิ้น ในที่สุดเขาก็มีคะแนนทักษะของเขาเพียงพอตามข้อกำหนดของระบบ ทำให้ดังนั้นฟ่างหยุนจึงไม่ลังเลที่จะเรียกหาระบบในใจของเขาพร้อมกับพูดว่า “ ตรวจสอบทักษะที่มีอยู่ในปัจจุบัน ”

 

หลังจากนั้นด้านหน้าของฟ่างหยุน มีลำแสงเป็นม่านสดใส ปรากฏขึ้นมาพร้อมกับข้อความว่า “ คะแนนทักษะของท่านในปัจจุบันสามารถเปิดใช้งานได้สองทักษะดังต่อไปนี้ ”

 

“ การเปลี่ยนสีพรางตัว: ประเภททักษะเลือกใช้งาน: โดยทักษะนี้ทำให้ตัวท่านสามารถเปลี่ยนสีของตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบและจะทำให้เข้าสู่โหมดพรางตัว ”

 

“ การอัพเกรดในแต่ละครั้งนั้นจะต้องใช้คะแนนทักษะ 3 คะแนน ระดับปัจจุบัน 0/5 ”

ต่อมาคือทักษะที่สอง

 

“ พิษมรณะ: ประเภททักษะเลือกใช้งาน: เมื่อฝึกทักษะนี้จนชำนาญแล้วท่านจะสามารถใช้ทักษะอื่นๆอย่างเช่นพิษใบมีด ซึ่งการใช้ทักษะพิษมรณะนั้นนอกจากจะเพิ่มพลังโจมตีแล้วยังสามารถทำให้สังหารเหยื่อโดยง่ายดาย ”

 

“ และเช่นเคยการอัพเกรดในแต่ละครั้งนั้น จะต้องใช้คะแนนทักษะ 3 คะแนน ระดับปัจจุบัน 0/5 ” เมื่อเห็นความสามารถของทักษะทั้งสองแล้ว ฟ่างหยุนก็ต้องตกตะลึงไปเล็กน้อย เพราะทักษะทั้งสองนี้นั้น แตกต่างจากที่เขาคาดฝันเอาไว้มากมีเพียงทักษะทางกายภาพเท่านั้นที่ยังคงทำให้เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็ทำได้แค่ถอนหายใจ ในสายตาตัวเองนั้นตอนนี้เขารู้สึกว่าเขานั้น โลภเกินไป ถึงแม้ว่าทักษะเหล่านี้จะเป็นทักษะทางกายภาพแต่โดยรวมแล้วมันก็ส่งผลดีให้กับเขาเป็นอย่างมากในตอนนี้

 

            หลังจากที่ความรู้สึกดีๆกลับมา ฟ่างหยุนก็เริ่มอ่านคำอธิบายของทักษะทั้งสองอย่างนี้โดยละเอียด โดยพิจารณาว่าจะเลือกทักษะใด หากพูดกันตามตรงนั้นทักษะทั้งสองนี้เป็นสิ่งที่เขาต้องการ เพราะการพรางตัวนั้นก็จะสามารถช่วยให้ฟ่างหยุนหลีกเลี่ยงจากศัตรูตามธรรมชาติและเพิ่มโอกาศในการล่าเหยื่อเป็นอย่างสูง

 

            พิษนั้นสามารถเพิ่มพลังโจมตีของเขาได้ ถึงอย่างไรก็ตามคะแนนทักษะของเขาในตอนนี้ไม่เพียงพอสำหรับทักษะทั้งสอง เขาต้องเลือกทักษะใดทักษะหนึ่ง หลังจากใช้เวลาคิดไปสักพัก ฟ่างหยุนก็ตัดสินใจ.......

 

            “ ข้าขอเลือก! ทักษะพิษมรณะ ”  นี่ไม่ใช่การตัดสินใจที่เร่งรีบ แต่ฟ่างหยุนรู้สึกว่าในสถานการณ์ปัจจุบันนั้น สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด คือทักษะในการโจมตีและสังหารเหยื่อ ท้ายที่สุดนั้นเขาต้องการล่าเหยื่อให้ได้มากที่สุดและหลังจากที่เขาได้เรียนรู้ทักษะ “ พิษมรณะ ”แล้ว หากเจอกับศัตรูทางธรรมชาติโดยบังเอิญ เขาก็จะสามารถใช้ทักษะนี้ต่อกรกับศัตรูตัวนั้นๆ ได้  และที่สำคัญไปกว่านั้นสีของเกล็ดเขาเองก็สามารถช่วยให้เขาพรางตัวกับสภาพแวดล้อมบางอย่างได้ ดังนั้นแล้วเขาจึงเลือก พิษมรณะ มากกว่าที่จะเลือกทักษะพรางตัว

 

            ทันใดนั้นเอง หลังจากที่เขาเสร็จสิ้นจากการรับทักษะจากระบบแล้ว ฟ่างหยุนก็เริ่มมีความรู้สึกแปลกๆ ที่ปากและลำคอของเขา และหลังจากอาการแปลกๆ ที่ว่านั้นหายไป เขารู้สึกว่าเขี้ยวของเขานั้นมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ราวกับว่ามันกลวงจากข้างใน ฟ่างหยุนจึงอ้าปากของเขาขึ้น ตอนนี้เขามีความรู้สึกว่าเขานั้นสามารถพ่นพิษออกจากเขี้ยวของเขาเมื่อใดก็ได้ตราบที่เขาต้องการ แน่นอนว่าตอนนี้เขารู้ว่าพิษในเขี้ยวของเขานั้นยังมีไม่มาก ความเป็นกลดพิษก็น่าจะยังไม่สูงเช่นกัน และแล้วเขาก็กล่าวขึ้นว่า

 

“ ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้าเชื่อว่าตราบใดที่ทักษะนี้มีความแข็งแกร่งขึ้นในอนาคต ปริมาณและพิษนั้นก็จะต้องรุนแรงขึ้นอย่างแน่นอน ”

 

หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้น ฟ่างหยุนก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้งด้วยความโล่งอก และตั้งตารอการเปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติที่ระบบจะมอบให้ในการวิวัฒนาการครั้งต่อไป ว่ามันจะพิเศษขนาดไหน

 

 

           

รีวิวผู้อ่าน