ตอนที่26 นี่ท่านพูดจริงรึ?
“แม่นางหลู่ ข้ามีข้อสงสัยเล็กน้อย มิทราบว่าแม่นางจะสามารถถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่คนของสมาคมนักหลอมโอสถได้หรือไม่?”
คล้อยหลังที่ตื่นตกใจจนสติหลุดออกไปชั่วครู่นั้น จางเห่อจึงรีบเอ่ยปากไถ่ถามด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือทันที
“ท่านอาจารย์ได้เคยกำชับกับข้าว่า ห้ามมิให้ข้าถ่ายทอดวิชานี้ให้ผู้ใดง่ายๆ”
ท่านอาจารย์ของหลู่เชียนสุ่ยจักต้องเก่งกาจน่าประทับใจมากเพียงใดกัน? อย่างไรก็ตามแต่ ภายใต้คำชี้แนะของสาวน้อยนางนี้ทั้งๆที่นางเองยังไม่สามารถหลอมโอสถได้ มันแสดงให้เห็นแล้วว่าความรอบรู้ในด้านโอสถของนางนั้นสูงส่งล้ำเลิศมากเพียงใด และอย่างน้อยที่สุด ท่านอาจารย์ของนางก็ควรต้องเป็นนักหลอมโอสถระดับห้าขึ้นไป!
เมื่อทุกคนต่างก็คิดเห็นเช่นนั้น เวลานี้ทัศนคติและท่าทีของแต่ละคนที่มีต่อหลู่เชียนสุ่ยนั้นได้เปลี่ยนไปมาก ต่างก็ดูเคารพเลื่อมใสนางมากยิ่งขึ้น
นอกจากความคิดต่างๆที่โลดแล่นอยู่ในหัวของเหล่านักหลอมแล้ว ยังเจือด้วยความรู้สึกอิจฉาอยู่ด้วย
“แน่นอนว่า เราไม่ให้แม่นางถ่ายทอดวิชานี้โดยไม่มีผลประโยชน์ตอบแทนกลับคืนไปเป็นแน่ สมาคมของเรายินดีที่จะตอบแทนแม่นางกลับไปอย่างสมน้ำสมเนื้อ ข้าจะให้นักหลอมแต่ละคนจ่ายค่าถ่ายทอดวิชาให้กับเจ้าเป็นเงินห้าล้านตำลึง”
จางเห่อครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยปากเสนอออกไป
“ฮู่วว…”
เมื่อเหล่านักหลอมโอสถได้ยินดังนั้น พลันสูดลมหายใจเย็นเข้าไปด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบในใจ แต่ถึงกระนั้นก็ยังจ้องมองหลู่เชียนสุ่ยและรอฟังคำตอบของนางอย่างตั้งอกตั้งใจ
ทุกคนในที่นั้นต่างก็รู้สึกว่าเพื่อแลกกับเคล็ดวิชาที่ล้ำเลิศนี้แล้ว ราคานี้นับว่าคุ้มค่ายิ่งนัก!
จุดประสงค์ที่แท้จริงของหลู่เชียนสุ่ยก็คือ ต้องการแลกเปลี่ยนมันกับทรัพยากรบางอย่าง!
แต่นางก็ยังคงแสดงท่าทีที่ไม่เต็มใจนักในขณะที่กล่าวตอบไปว่า
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนต่างก็แสดงออกว่าอยากจะเรียนกับข้าอย่างจริงใจเช่นนี้ ข้าก็จะถ่ายทอดวิชานี้ให้พวกท่านสักครั้ง”
“ต้องขอบคุณอย่างยิ่งแม่นางหลู่!”
เมื่อได้ฟังคำตอบ ทุกคนต่างก็โน้มศีรษะลงเล็กน้อย สีหน้าบ่งบอกถึงความดีอกดีใจ
หลู่เชียนสุ่ยนึกสงสัยยิ่งว่า นักหลอมโอสถเหล่านี้จะมีสีหน้าอย่างไร หากรู้ว่าแท้ที่จริงแล้วตัวนางเองมิได้มีอาจารย์แต่อย่างใด และภายในความทรงจำของนางเวลานี้ก็ยังมีสุดยอดวิชาหลอมกลั่นอีกมากมายที่ดีกว่า‘เคล็ดวิชาหลอมกลั่นพื้นฐาน’นี้อีก!
อย่างไรก็ตามแต่ เคล็ดวิชาหลอมกลั่นพื้นฐานนี้ก็เป็นเคล็ดวิชาที่สูญหายไปเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ดังนั้นสิ่งนี้จึงนับว่าเป็นประโยชน์ต่อพวกเขามากทีเดียว ค่าถ่ายทอดวิชาห้าล้านตำลึงจึงหาได้เป็นราคาที่แพงไม่ หลู่เชียนสุ่ยจึงยอมรับยอมข้อเสนอนี้
หลังจากนั้นนางก็ได้กล่าวต่อว่า
“ข้าต้องการซื้อโอสถระดมวิญญาณจำนวนร้อยเม็ด ทุกคนสามารถหักจากค่าถ่ายทอดวิชาได้โดยตรงเลย หลังจากหักทอนเหลือเท่าไหร่จึงค่อยนำเงินมาให้ข้า”
โอสถระดมวิญญาณเป็นโอสถระดับสองชั้นต้น ราคาต่อหนึ่งเม็ดเท่ากับสามแสนตำลึง ดังนั้นราคาหนึ่งร้อยเม็ดจึงมีมูลค่ามากถึงสามสิบล้านตำลึง!
ต่อให้เป็นลูกหลานมาจากตระกูลมั่งคั่งในเมืองชิงหยุน ก็ไม่มีทางใจกล้าสั่งซื้อโอสถปริมาณมากมายถึงเพียงนี้เป็นแน่ อีกทั้งยังไม่เคยมีผู้ใดกล้าซื้อโอสถจำนวนมากขนาดนี้ในคราวเดียวด้วย!
อย่างไรก็ตามแต่ ครั้งนี้หลู่เชียนสุ่ยนับว่าได้ของดีมาโดยไม่ต้องเสียอะไรไปเลย เวลานี้นางกลับจะมีโอสถเป็นกอบเป็นกำ มิหนำซ้ำยังได้เงินกว่ายี่สิบล้านตำลึงกลับไปด้วย ซึ่งราคาเช่นนี้ก็เล่นเอาเหล่านักหลอมโอสถของสมาคมปาดเหงื่อไปตามๆกัน แต่พวกเขาก็เต็มใจที่จะจ่าย
พวกเขาหวังว่าหลู่เชียนสุ่ยจะแวะเวียนมาที่นี่บ่อยขึ้น เพื่อที่คราวหน้าพวกเขาจักได้มีโอกาสทักทายขอคำชี้แนะในเรื่องโอสถบ้าง
ในช่วงเวลาเพียงแค่สั้นๆ หลู่เชียนสุ่ยได้รับโอสถมามากถึงร้อยเม็ด นอกจากนี้ยังได้โอสถถอนพิษจุติที่ปรมาจารย์เซี่ยะหลอมได้อีกสามเม็ด และเงินอีกยี่สิบล้านตำลึงที่อยู่ในมือนางเวลานี้
หลู่เชียนสุ่ยพอใจเป็นอย่างยิ่ง
“ข้ายังมีเรื่องอื่นจำต้องไปสะสาง ไม่รบกวนพวกท่านแล้ว ขอลา!”
“ถนอมตัว!”
หลู่เชียนสุ่ยหมุนตัวกลับและกำลังจะเดินจากไป
แต่ทันใดนั้น!
“เจ้าหยุดก่อน!” เสียงทุ้มต่ำพลันดังขึ้น
เป็นเขาอีกแล้ว!
ตันไถ่หยวนที่เอาแต่นิ่งเงียบและมิได้ปริปากกล่าววาจาอันใดออกมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ก็ปริปากเอ่ยออกมาในที่สุด!
สีหน้าและแววตาประหลาดใจฉายสะท้อนผ่านนัยน์ตาของหลู่เชียนสุ่ย นางเหลียวมองไปที่ร่างของบุรุษผู้มีใบหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติ และมีรอยเลือดอยู่บนหน้าผากเป็นเอกลักษณ์
นางเคยชินแล้วกับความเย็นชาหน้านิ่งของอีกฝ่าย จึงหาได้ประหม่าและหวาดกลัวเหมือนเมื่อครั้งแรก
“ไม่ทราบคุณชายตันไถ่หยวน มีสิ่งใดต้องการชี้แนะ?”
เมื่อจางเห่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเขาพลันเผยความสนใจขึ้นทันใด เขาได้แต่พึมพำกับตัวเองในใจว่า ดูท่าสองคนนี้จะต้องรู้จักกันมาก่อนเป็นแน่
ตันไถ่หยวนเอ่ยถามด้วยสีหน้าเรียบนิ่งว่า
“เจ้ามีความรู้เรื่องโอสถทลายผนึกหรือไม่?”
“โอสถทลายผนึกงั้นรึ?”
หลู่เชียนสุ่ยยืนตัวแข็งทื่อ คล้อยหลังนางจึงหรี่ตาลงเล็กน้อย
บุรษผู้นี้กำลังตามหาโอสถทลายผนึกอยู่สินะ…
นางคลี่ยิ้มที่แฝงเร้นไปด้วยความลึกลับ ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากันและเอ่ยตอบกลับไป
“โอสถทลายผนึกเป็นโอสถที่ลึกลับทีสุดในผืนพิภพแห่งนี้ ใช้ในการทำลายตราผนึก เป็นโอสถระดับเก้า ไฉนคุณชานตันไถ่หยวนจึงได้เอ่ยถามถึงโอสถทลายผนึกได้?”
สีหน้าท่าทางของตันไถ่หยวนที่แสดงออกมานั้น ยังคงสงบนิ่งไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึกไม่เปลี่ยน ดั่งบ่อน้ำบรรพกาลที่ไร้ระลอกคลื่น
“ระดับเก้างั้นรึ…”
“ถูกต้อง.. ระดับเก้า”
หลู่เชียนสุ่ยมิได้อธิบายอะไรมากไปกว่านั้น แต่ถามสวนกลับไปว่า
“ท่านอยากรู้เรื่องโอสถทลายผนึกไปทำไมกัน?”
ดวงตาทั้งสองของตันไถ่หยวนพลันหรี่ลงเล็กน้อย แววตาด้านในยังคงสะท้อนให้เห็นถึงความเย็นชาเป็นนิจ สายตาที่จ้องมองหลู่เชียนสุ่ยยังคงปราศจากระลอกคลื่นอารมณ์เช่นเคย
“ข้าย่อมสามารถตอบคำถามของท่านได้”
หลู่เชียนสุ่ยตอบโต้โดยมิได้มีท่าทีหวาดกลัวชายหนุ่มเลยแม้แต่น้อย นางคลี่ยิ้มเย็นชาและกล่าวต่อว่า
“แต่ท่านจักต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าหนึ่งข้อก่อน”
“เจ้าพูดมา!”
ตันไถ่หยวนได้ตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขอันใด เขาก็ยินยอมที่จะทำตามแต่โดยดี
ดูเหมือนว่าขอเพียงได้ทราบข้อมูลของโอสถทลายผนึกนี้ ไม่ว่าต้องแลกกับสิ่งใดเขาก็ยินยอมโดยไม่สนใจอันใดทั้งสิ้น
เมื่อหลู่เชียนสุ่ยเห็นเช่นนั้น พลันเกิดระลอกคลื่นสั่นไหวอยู่ภายในใจ
“นี่ท่านพูดจริงงั้นรึ?”
ตอนที่27 ยั่วผู้ชาย?
ดวงเนตรแสนลึกล้ำและเยือกเย็นของตันไถ่หยวนช้อนประกบสายตาเข้าหาหลู่เชียนสุ่ย แม้แต่คนอื่นๆเองก็ยังจับจ้องนางไม่วางสายตา
เขาหาได้ปริปากกล่าวอันใดอีกต่อไป แต่หลู่เชียนสุ่ยตระหนักทราบดีว่า บุรุษพูดน้อยเช่นตันไถ่หยวนนั้นได้ตกลงใจเห็นชอบกับคำพูดของนางแล้ว
หากจะพูดไป ตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้เขาเองก็พูดไม่ถึงสิบคำด้วยซ้ำ
หลู่เชียนสุ่ยเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยพร้อมกล่าววาจาออกไป
“ในเมื่อท่านยอมรับข้อเสนอของข้าแล้ว เช่นนั้นภายในสิบอึดใจนับจากนี้ ท่านห้ามแม้แต่จะเคลื่อนไหวไปไหนเด็ดขาด ไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใดท่านก็ห้ามแม้แต่ขยับเขยื้อนตัว!”
ตันไถ่หยวนยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งเรียบไร้ความรู้สึกเช่นเคย ประดุจว่าเขาหาได้ใส่ใจเรื่องคำพูดของนางเลยแม้แต่น้อย
ตรงข้ามกับหลู่เชียนสุ่ยที่ในเวลานี้กลับอดนึกถึงภาพเหตุการณ์ในวันนั้นมิได้
จู่ๆบุรุษผู้นี้ก็ปรากฏตัวขึ้นและมาจากที่ใดก็มิอาจรู้ได้ จากนั้นก็ตรงเข้าฉีกเสื้อผ้าแพรพรรณของนาง อีกทั้งยังกัดลำคอของนางดูดเดือดไเข้าปอีกด้วย…
ในครั้งนั้นนางมิอาจทำอะไรบุรุษผู้นี้ได้แม้แต่น้อย และต้องทนนิ่งเฉยอยู่เช่นนั้นด้วยความรู้สึกสิ้นหวัง แม้กระทั่งตอนนี้ความอับอายและความอัปยศในครั้งนั้นยังคงแจ่มชัดอยู่ในใจของนางมิคลาย
ในครานั้นนางปฏิญาณอยู่ในใจว่า หากนางได้พบเห็นบุรุษผู้นั้นอีกครั้ง นางจะไม่มีทางอภัยให้กับเขาอย่างแน่นอน!
แต่หลู่เชียนสุ่ยกลับคาดไม่ถึงเลยสักนิดว่า จะได้พานพบกับบุรุษผู้นี้อีกครั้งในเวลาที่เร็วถึงเพียงนี้!
และในเมื่อวันนี้นางได้พบกับเขาโดยบังเอิญ นางจึงต้องขอทวงคืนศักดิ์ศรีและแก้แค้นให้กับความอัปยศที่เกิดขึ้นในวันนั้น
ขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ในวันก่อนอยู่นั้น หลู่เชียนสุ่ยพลันสัมผัสได้ถึงใจที่เต้นแรงกว่าเดิมเล็กน้อย พวงแก้มของนางเห่อร้อนแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ยิ่งเสริมให้นางดูงามขึ้นกว่าก่อนหน้านัก
ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่กำลังจับจ้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลู่เชียนสุ่ยก้าวย่างตรงเข้าไปหาตันไถ่หยวน
ส่วนตันไถ่หยวนยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่งเป็นปกติ นัยน์ตาเย็นชาคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่เรือนร่างร่างนางเขม็ง ก่อนจะเคลื่อนสำรวจไปทั่วร่างตามใจชอบ
และในทันใดนั้นเอง!
ทันทีที่หลู่เชียนสุ่ยตรงไปยืนอยู่หน้าตันไถ่หยวน
แคว้ก!
ท่ามกลางสายตาของเหล่านักหลอมโอสถที่จับจ้องอยู่นั้น หลู่เชียนสุ่ยได้ทำสิ่งที่น่าเหลือเชื่อและเหนือความคาดหมายของพวกเขามาก นางเอื้อมมือไปจับที่คอเสื้อของตันไถ่หยวน จากนั้นจึงออกแรงกระชากชุดคลุมสีขาวของเขาชายหนุ่มอย่างรุนแรง
เสียงเสื้อคลุมฉีกขาดดังขึ้นไปทั่วทั้งห้อง ตามมาด้วยเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจ
แม้แต่ประธานสมาคมจางยังถึงกับอ้าปากค้างจนแทบสำลักน้ำลาย ดวงตาเบิกกว้างทั้งสองจ้องมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าแทบจะถลนออกมาจากเบ้า
เขาเห็นหลู่เชียนสุ่ยเป็นเพียงหญิงสาวนางหนึ่งเท่านั้น แต่กลับไม่คิดไม่ฝันว่านางจักเด็ดเดี่ยวและกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้
เบื้องหน้าของหลู่เชียนสุ่ยในยามนี้ หลังจากที่ฉีกเสื้อคลุมของบุรุษหนุ่มแสนหล่อเหลาแต่เย็นชาผู้นี้ออกแล้ว พลันเผยให้เห็นไหล่สีขาวที่เปิดกว้างและหน้าอกที่อุดมไปด้วยมัดกล้านเนื้อที่แข็งแกร่ง
มัดกล้ามเนื้อที่ปรากฏให้เห็นนั้น ทั้งแน่นหนาและงดงามยิ่งนัก กล้ามเนื้อที่อัดแน่นในร่างกายของบุรุษผู้นี้ราวกับว่าจะสามารถระเบิดพลังที่ซ่อนเร้นออกมาได้ทุกเมื่อ
ความคิดหนึ่งพลันผุดลอยขึ้นมาในหัว หลู่เชียนสุ่ยเอื้อมมือออกไปสัมผัสลูบไล่ลำคอของเขา มือของนางค่อยๆเลื่อนไปจับที่ไหล่ของตันไถ่หยวน ก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้นและโน้มใบหน้าเข้าไปใกล้
เมื่อเห็นภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า เหล่านักหลอมโอสถที่อยู่ภายในห้องพลางเบียงสายตาหลบเลี่ยงทันที ทุกคนต่างก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจมิใช่น้อย
กระนั้นทุกคนต่างก็อดคิดมิได้ว่า
หญิงสาวสมัยนี้ช่างดีช่างใจกล้าเสียจริงๆ!
แต่จะว่าไป…บุรุษหนุ่มผู้นี้ก็มีใบหน้าหล่อเหลามากเสียจนแม้แต่ชายชาตรีด้วยกันยังต้องเอ่ยปากชื่นชม
แต่ในระหว่างที่หลู่เชียนสุ่ยโน้มศีรษะของตนเข้าไปใกล้ลำคอของชายหนุ่ม นางก็เริ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
ชายหนุ่มผู้นี้เย็นชาไร้ความรู้สึกราวกับหุบเขาน้ำแข็งอันแสนเยือกเย็น เรือนร่างของเขาปลดปล่อยไอร้อนออกมาทำให้หลู่เชียนสุ่ยประหม่าจนแทบเป็นลมหมดสติ แต่ท่ามกลางห้วงความคิดที่ว่างเปล่าไปหมดในเวลานั้น ความคิดเดียวที่ผุดแล่นเข้ามาก็คือ ความอัปยศอดสูที่นางได้รับจากเขาในวันนั้น นางจะคิดบัญชีและแก้แค้นคืนทั้งหมดพร้อมกันในวันนี้
เมื่อคิดได้เช่นนั้นแล้ว
หลู่เชียนสุ่ยพลันโน้มใบหน้าของตนเข้าที่ซอกคอของชายผู้นั้น ก่อนจะค่อยๆอ้าปากแล้วกัดลงที่คอของเขาทันที
ความแข็งแกร่งของหลู่เชียนสุ่ยในตอนนี้หาใช่ว่าเล็กน้อย แม้นางจะได้ลิ้มรสโลหิตของเขาไปแล้วหนึ่งครั้ง แต่ความแค้นเคืองของนางก็ยังคงอยู่ หาได้สลายไปไม่!
นางจึงกัดลำคอของเขาอีกครั้ง!
และอีกครั้ง!
นักหลอมโอสถที่เห็นเหตุการณ์โดยรอบ ต่างก็พากันยืนตัวแข็งทื่อและรีบเบือนหน้าหนีทันที ใบหน้าอันเหี่ยวย่นของพวกเขาพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นทันใดภายใต้สถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจเช่นนี้
พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะรีบเดินหนีไปจากห้องนี้โดยเร็ว หรือยังสามารถอยู่ในห้องนี้ต่อไปได้ เวลานี้ทุกคนต่างก็ทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน!
หญิงสาวผู้มีใบหน้างดงามน่ารักนางนี้กำลังขืนใจผู้ชายโดยไม่สนสายตาผู้คนรอบข้าง นางเป็นอิสตรีแท้ๆ ไฉนจึงกล้าทำเรื่องเช่นนี้ในเวลากลางวันแสกๆได้
ดูเหมือนนี่จะเป็นการกระทำที่มีผลต่อเหล่านักหลอมวัยชรารุนแรงเกินไป!
การกระทำของหญิงสาวผู้นี้ไม่อาจเรียกว่าใจกล้าได้ แต่ควรเรียกว่าทำให้ศีลธรรมเสื่อมทรามเสียมากกว่า!
นางกำลังทำเรื่องเสื่อมเสียให้เกิดขึ้นในสังคมโดยแท้!