ตอนที่20 สั่งสอนเป็นบทเรียน
“จริงรึท่านพี่ซู? ข้าชอบนางนัก นางช่างงดงามยิ่ง!”
สหายชั่วร้ายคนหนึ่งของเด็กหนุ่มผู้นั้นเอ่ยปากถามขึ้นด้วยความอิจฉาตาร้อน
เยาวชนหนุ่มผู้นี้แซ่‘ซู’ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยอย่างภาคภูมิใจพร้อมตอบสหายกลับไป
“เจ้าชอบนางงั้นรึน้องฟาง? ถ้าเช่นกันพวกเราก็มาตกลงกัน รอให้ข้าเชยชมนางจนหนำใจแล้ว ข้าจะมอบนางให้กับเจ้าเชยชมต่อก็แล้วกัน!”
ขณะที่เด็กหนุ่มทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่นั้น เยาวชนหนุ่มในวัยกลัดมันอีกคนก็รีบพูดโพล่งออกมาเช่นกัน
“ข้าด้วย! แบ่งให้ข้าด้วยสิ! ว่าแต่...ข้ามีอะไรที่สนุกกว่านั้นมาเสนอ ข้าว่าหากพวกเราสามคนร่วมหลับนอนกับนางพร้อมๆกันคงจะสนุกไม่น้อยทีเดียว! พวกเจ้าคิดเห็นเช่นใด? ไฉนพวกเราไม่ลองดูเสียหน่อยเล่า? ฮ่าๆๆๆ...”
“ร่วมเตียงกับนางพร้อมกันสามคนงั้นรึ? ช่างเป็นความคิดที่ไม่เลวเลย ข้าเองก็ไม่เคยลองทำอะไรแบบนี้มากก่อนเช่นกัน ก็ดี! คงจะตื่นเต้นน่าดูทีเดียว เอาเป็นว่าพวกเราจะเริงรักกับนางพร้อมๆกัน!”
เมื่อหลู่เชียนสุ่ยได้ยินกลุ่มของเด็กหนุ่มกลัดมันกล่าววาจาไร้ยางอายแลต่ำทรามเช่นนั้นออกมา ใบหน้านวลเนียนงดงามของนางก็พลันเปลี่ยนเป็นถมึงทึงขึ้นมาทันที แล้วจึงหันไปมองเด็กหนุ่มทั้งสามด้วยสายตาที่แสนเย็นชา
หลู่เซียวเซียวเองก็ถึงกับขมวดคิ้วทั้งสองเข้าหากันแน่นเช่นกัน นางหันกลับไปมองชายโฉดทั้งสามด้วยสีหน้าแววตาที่ไม่พอใจนัก แต่ถึงกระนั้น นางเองก็พยายามเก็บอาการเดือดดาลนี้ไว้มิได้แสดงท่าทีอันใดออกมา
และในเวลานั้นเอง แถวก็ร่นขึ้นถึงคราวของหลู่เชียนสุ่ยพอดี
หญิงสาวหน้าตางดงามผู้นั้นได้เดินเข้ามาต้อนรับ พร้อมเอ่ยถามหลู่เชียนสุ่ยด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น ก่อนจะเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำที่เสียงไพเราะน่าฟัง
“แม่นาง ไม่ทราบมีอะไรให้ข้าช่วยหรือไม่?”
ป๊าบ!
ยังไม่ทันที่หลู่เชียนสุ่ยจะได้เอ่ยปากกล่าววาจาอันใดออกมา เด็กหนุ่มท่าทางยะโสโอหังผู้นั้นก็ได้แสยะยิ้มกว้าง พร้อมฟาดฝ่ามือของตนลงบนโต๊ะรับแขก ลักษณะท่าทางบ่งบอกชัดเจนว่าต้องการหาเรื่องโดยแท้ มือข้างหนึ่งของเขาคว้าจับฝ่ามือเรียวงามนวลเนียนของพนักงานสาวอย่างถือวิสาสะ และกล่าววาจาที่บ่งบอกถึงความหื่นกระหายภายในว่า
“แม่นางผู้งดงามราวเทพธิดา ข้าเป็นหลานชายของท่านซูเต๋อคัง นักหลอมโอสถของสโมสรแห่งนี้ คืนนี้ข้าอยากจะชวนเจ้าไปเล่นอะไรสนุกๆกัน เจ้าว่าดีหรือไม่?”
“คะ – คุณชาย… คุณชายได้โปรดปล่อยมือข้าเถิด…”
หญิงสาวหน้าตางดงามผู้นั้นร้องบอกเด็กหนุ่มด้วยสีหน้าท่าทางที่ตื่นตกใจอย่างมาก และเวลานี้นางก็หวาดกลัวจนใบหน้าซีดเผือด นางพยายามดิ้นรนดึงมือของตนกลับอย่างสุดกำลัง สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา
แต่แล้วในขณะนั้นเอง!
“เจ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
สุ้มเสียงแข็งกร้าวของหลูเชียนสุ่ยตะวาดดังขึ้น “ถึงคราวข้าซื้อโอสถแล้ว!”
เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนสั่งของหลู่เชียนสุ่ย เด็กหนุ่มผู้นั้นถึงกับหยุดชะงักทันที จากนั้นจึงหันไปจ้องมองหลู่เชียนเสี่ยวด้วยแววตาโกรธเกรี้ยว
“เจ้าเป็นใครกัน? กล้าขึ้นเสียงกับข้าถึงเพียงนี้เชียวรึ!”
แต่เมื่อได้เห็นรูปร่างหน้าตาของหลู่เชียนสุ่ยอย่างชัดเจน สายตาของเด็กหนุ่มพลันเปลี่ยนจากโกรธเกรี้ยวเป็นประหลาดใจในทันที
แต่ในเวลาเพียงแค่ชั่วอึดใจ เด็กหนุ่มก็พลันคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ สีหน้าท่าทางของเขาที่แสดงออกจึงเปลี่ยนไปทันที แววตาประหลาดใจกลับกลายเป็นรังเกียจพร้อมเอ่ยปากเยาะเย้ยถากถาง
“ข้าเองก็นึกสงสัยอยู่ว่าเจ้าคือผู้ใด? ที่แท้ก็นางสวะผู้หนึ่งนั่นเอง! หลู่เชียนสุ่ย ผู้อื่นอาจไม่รู้ว่าเจ้าเป็นใครมาจากที่ใด แต่ข้าย่อมตระหนักทราบดี! ข้าได้ยินมาว่า พิธีหมั้นหมายระหว่างพี่ชายของข้ากับตำหนักเจ้าเมืองนั้น ถูกเปลี่ยนจากใครบางคนมาเป็นหลู่ซิงเฉินแทนไม่ใช่รึ?
“แต่เจ้าอย่าได้เศร้าโศกไปนักเลย แม้พี่ชายของข้าจะไม่ต้องการเจ้า แต่ด้วยรูปร่างหน้าตาของเจ้าที่งดงามประดุจเทพธิดา ข้าจะยอมเปิดใจกว้างรับเจ้าเป็นสะใภ้ตระกูลซูอีกคนก็แล้วกัน... เจ้าเห็นเป็นเช่นใด? โอกาสทองเช่นนี้มิได้เกิดขึ้นบ่อยนัก อาจมีให้เจ้าได้ตัดสินใจเพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น!”
ขณะที่กล่าววาจาน่าเกลียดเหล่านั้นออกมา เด็กหนุ่มผู้นั้นพลันแสยะยิ้มอย่างมีเลศนัย คล้ายกำลังหวังสิ่งใดบางอย่างบนเรือนร่างของอีกฝ่าย
ดวงตาทั้งสองข้างของหลี่เชียนสุ่ยหรี่เข้าหากันทันที แววตาของนางฉายแววสังหารออกมาอย่างชัดเจน!
หลู่เชียนสุ่ยเอื้อมมือข้างหนึ่งของตนไปแตะที่ฝักกระบี่
แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเอง
แกร๊ก!
กลับเป็นหลู่เซียวเซียวที่กระโจนพุ่งออกไป และตรงเข้าหักแขนของเด็กหนุ่มวาจาสามหาวผู้นั้นหักในพริบตา
“ซูหยางห่าว ไม่ว่าหลู่เชียนสุ่ยจะเป็นเช่นใดก็ตาม แต่นางก็เป็นคนของตำหนักเจ้าเมือง หากเจ้ายังกล้าพล่ามวาจาสามหาวมากกว่านี้ ข้าจะจัดการฉีกปากของเจ้าทันที!”
“อ๊ากกก! หลู่เซียวเซียว! เจ้ามันสาวหาวยิ่งนัก! ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! อ๊ากก! ข้าเจ็บ! บอกให้ปล่อยยังไงเล่า!! ปล่อยข้าเร็วเข้า!! มิเช่นนั้นข้าจะไปฟ้องท่านลุงสองกับท่านพ่อของข้า! หากให้พวกเขาทั้งสองรู้เรื่องนี้เข้า พวกเขาไม่มีทางยกโทษให้เจ้าแน่!”
เด็กหนุ่มผู้นั้นกรีดร้องคร่ำครวญออกมาอย่างน่าสังเวชยิ่งนัก เสียงร้องคร่ำครวญของเขาประดุจสุกรที่กำลังถูกเชือด แต่ถึงกระนั้น เหล่าสหายของเด็กหนุ่มผู้นี้กลับไม่มีผู้ใดกล้าเข้าไปช่วยเขาเลยสักคน
ขั้วอำนาจใหญ่แห่งเมืองชิงหยุนนั้นมีทั้งหมดสามขั้วอันได้แก่ ตำหนักเจ้าเมือง ตระกูลซู และตระกูลโม่
ซูหยางห่าวมาจากตระกูลซู ส่วนหลู่เซียวเซียวมาจากตำหนักเจ้าเมือง ด้วยเหตุนี้ข้อขัดแย้งกันระหว่างชายหญิงทั้งสอง จึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้ามาแทรกแซง
มือเรียวงามของหลู่เชียนสุ่ยยังคงค้างอยู่ที่ฝักดาบ นางเหลือบสายตามองหลู่เซียวเซียวอย่างนึกประหลาดใจ นางไม่คิดไม่ฝันสักนิดว่า หลู่เซียวเซียวจะออกหน้าทวงความชอบธรรมแทนนางเช่นนี้
มุมปากของหลู่เชียนสุ่ยกระตุกขึ้นเล็กน้อยก่อนจะคลี่ยิ้มกว้าง ยามนี้นางดูอารมณ์ดีและเบิกบานขึ้นมาก จากนั้นนางจึงค่อยๆสาวเท้าตรงเข้าไปใกล้อีกฝ่ายที่กำลังถูกหลู่เซียวเซียวบิดข้อมือไว้เช่นนั้น
เพี๊ยะ!!
หลู่เชียนสุ่ยยกฝ่ามือขึ้นตบหน้าซูหยางห่าวอย่างแรงหนึ่งครั้ง
ทั่วทั้งบริเวณพลันเงียบสงัดลงทันใด ทุกคนต่างเบิกตากว้างด้วยความตื่นตะลึง ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าหลู่เชียนสุ่ยจะกล้าเดินเข้าไปตบหน้าซูหยางห่าวเช่นนี้
“นังสวะ!! นี่เจ้ากล้าตบหน้าข้ารึ!”
ซูหยางห่าวพยายามดิ้นหลุดอย่างแรง แต่หลู่เซียวเซียวยังคงจับแขนของเขาไว้แน่น และยิ่งดิ้นรนขัดขืนมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น
เพี๊ยะ!!
“โอ๊ย! ข้าเจ็บ! หยุด! หยุดมือเดี๋ยวนี้!!”
เพี๊ยะ!!
“อ๊ากกก... ท่านพ่อ... ท่านแม่...ช่วยข้าด้วย!! ข้าต้องฆ่านังสวะนี่ทิ้งแน่!”
เพี๊ยะ!!... เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!! เพี๊ยะ!!
ยิ่งซูหยางห่าวกรีดร้องคร่ำครวญมากเพียงใด หลู่เชียนสุ่ยก็ยิ่งกระหน่ำตบไม่ยั้งมือ ในที่สุดใบหน้าของซูหยางห่าวก็เริ่มบวมปล่งไม่ต่างจากหัวหมู...