ตอนที่15 ข้าไม่ค่อยชอบนักที่มีคนชี้ดาบใส่หน้าข้าเช่นนี้
หลังจากที่ศึกษาทบทวนชิ้นส่วนความทรงจำทั้งหมดของ‘จอมเทพโอสถ’ท่านนั้นแล้ว หลู่เชียนสุ่ยจึงได้ออกจากห้วงมิติดินแดนธารบรรพต นางลุกขึ้นยืนพร้อมบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสายเล็กน้อย มุมปากกระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง เผยให้เห็นความงดงามปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“ที่จริงแล้ว ห้วงมิติดินแดนธารบรรพตช่างเป็นสถานที่ที่วิเศษยิ่งนัก ข้าฝึกปรืออยู่ภายในนั้นเป็นเวลาถึงสิบวันเต็ม แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงภายนอกนี้กลับเพิ่งผ่านไปเพียงแค่หนึ่งวันเท่านั้น
ภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งวันตัวข้ากลับเปลี่ยนไปชนิดที่ผืนพิภพต้องสั่นสะเทือน! ช่างเป็นสิ่งวิเศษโดยแท้!”
หลังจากเชยชมไม่ขาดปาก หลู่เชียนสุ่ยก็ตั้งมั่นอย่างแน่วแน่
“ในเมื่อมีของวิเศษขนาดนี้คอยช่วยเหลือ เช่นนั้นข้าจักยิ่งต้องพยายามฝึกปรือให้หนักกว่านี้ เหนือสิ่งใดอื่น ข้าจักไม่ยอมให้มรดกชิ้นนี้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นโดยเด็ดขาด!”
ผลจากการฝึกฝนติดต่อกันนานเป็นเวลาสิบวัน ทั้งร่างกายและจิตใจของหลู่เชียนสุ่ยจึงตกสู่สภาวะอ่อนล้าอย่างที่สุด แต่เวลานี้นางดูผ่อนคลายลงมากขึ้นแล้ว เพียงว่ายังหลงเหลือความอ่อนเพลียอยู่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น นางจึงตัดสินใจที่จะนอนหลับพักผ่อนหนึ่งคืนเต็มอย่างไม่ลังเล
เพียงหลับตาตื่นขึ้นเช้าวันใหม่ก็มาถึง ยามนี้หลู่เชียนสุ่ยที่เพิ่งตื่นนอน ได้ลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงไปหน้าประตูพร้อมผลักประตูบานกว้างนั้นให้เปิดออก ประตูห้องของนางตั้งตรงกับทิศทางที่แสงอรุณยามเช้าสดใสสาดส่องเข้ามาพอดี
หลู่เชียนสุ่ยยืดบิดขี้เกียจจนเสียงกระดูกดังลั่นพร้อมกล่าวว่า
“ช่างเป็นเช้าวันใหม่ที่ดียิ่งนัก!”
วันนี้นางตัดสินใจที่จะนำตำราเพลงหมัดสะบั้นบรรพตกลับไปคืนยังหอตำรายุทธ์ จากนั้นตั้งใจว่าจะเดินทางไปยังสมาคมนักหลอมโอสถเพื่อหาความรู้สักเที่ยวหนึ่ง
นางเคยได้ยินมาว่าประธานสมาคมนักหลอมโอสถเองก็กำลังต้องการรับศิษย์คนใหม่ ซึ่งในตอนนั้นนางไม่ได้รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย
แต่เวลานี้นางครอบครองความทรงจำทั้งหมดของ‘จอมเทพโอสถ’ หากไม่ฝึกฝนตนเองให้กลายไปเป็นนักหลอมโอสถก็คงจะสูญเปล่ามิใช่น้อย ด้วยเหตุนี้นางจึงตัดสินใจที่จะไปลองดู
เมื่อนางเดินออกจากลานกว้างภายในเรือนพัก ระหว่างทางหลู่เชียนสุ่ยได้พบปะผู้คนประปลายตามรายทาง โดยส่วนใหญ่จะเป็นบ่าวในตำหนักเจ้าเมืองทั้งสิ้น
แต่สิ่งที่น่าแปลกคือ พวกเขาเหล่านั้นกลับมิได้มีท่าทีเพิกเฉยต่อนางอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต ยามเห็นนางก้าวเดินผ่านมา พวกเขาต่างจับจ้องด้วยสายตาแปลกประหลาดพลางจับกลุ่มสนทนากระซิบกระซาบกัน
หลู่เชียนสุ่ยเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจะแสร้งเดินเฉียดเข้าไปใกล้
“...ข้าไม่เคยรู้เลยว่านางไปแอบฝึกฝนมาตั้งแต่เมื่อใด และตอนนี้พลังของนางก็จัดอยู่ในอาณาจักรปรับวิญญาณระดับสามแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางยังสามารถเอาชนะหลู่เว่ยซ่งที่อยู่ในอาณาจักรปรับวิญญาณระดับห้าได้ด้วยภายในหมัดเดียว!”
“ใช่แล้ว! ผู้อาวุโสเก้าถึงขั้นกล่าวเองกับปากว่า เพลงหมัดสะบั้นบรรพตของนางอยู่ในขอบเขตปฐพีแล้ว! ไม่น่าเชื่อโดยแท้!
ในบรรดาเยาวชนทั้งหมดมีเพียงคุณหนูซิงเฉินเท่านั้นที่ฝึกปรือเพลงหมัดสะบั้นบรรพตสำเร็จถึงขอบเขตปฐพี! แต่แม่นางเชียนสุ่ยเด็กกว่านางถึงสองปี หากอายุเท่ากันคุณหนูซิงเฉินคงมิอาจเทียบนางได้เป็นแน่...”
ความประหลาดใจเจือวาจาคำชมไม่ขาดสายดังออกจากปากคนพวกนั้นไม่หยุดหย่อน แต่คล้อยหลังหลู่เชียนสุ่ยหาได้ใส่ใจอันใดไม่ และเดินตรงไปยังหอตำรายุทธ์ทันที
ไม่นานนักนางก็มาถึงด้านหน้าของหอตำรายุทธ์
ทว่าในขณะที่นางกำลังจะเข้าไปนั้น...
“หลู่เชียนสุ่ย เจ้าหยุดอยูตรงนั้น!”
เสียงร้องตะโกนคำรามลั่นสุดเดือดดาลดังขึ้นจากด้านหลัง เป็นน้ำเสียงที่นางค่อนข้างคุ้นเคยอยู่บ้าง
ขณะที่หลู่เชียนสุ่ยพลันครุ่นพินิจ นางก็เหลียวมองไปยังต้นเสียง
ยังไม่ทันที่นางจะได้หันหลังกลับไปมองด้วยซ้ำ พลันได้ยินเสียง‘ชวิ้ง’พร้อมประกายดาบวิบวับก็ปรากฏขึ้น ก่อนจะปราดพุ่งใส่ร่างของนางอย่างรวดเร็ว ปลายคมดาบจวนเจียนจะจ่อถึงคอหอย
หลู่เชียนสุ่ยย่นคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ปลายเท้ากระตุกวูบ เลี่ยงหลบคมดาบให้ห่างกาย นางปราดตามองบุคคลนั้นที่เข้าจู่โจม ปรากฏเป็นหญิงสาวในชุดแพรพรรณสีน้ำเงินคราม ผมยาวของนางถูกมัดรวบตึงยกขึ้นสูงเป็นทรงหางม้า นางผู้นี้มิได้งดงามเลอเลิศอันใดนัก แต่กลับมากด้วยความสามารถและมีท่าทีห้าวดุดันอยู่บ้างเล็กน้อย
หลู่เชียนสุ่ยนึกออกในทันใด
“หลู่เซียวเซียว!”
หญิงนางนี้เป็นพี่สาวของหลู่เว่ยซ่ง และยังมีพลังอยู่ที่อาณาจักรปรับวิญญาณระดับเจ็ด ซึ่งต่างจากน้องชายผู้ด้อยพรสวรรค์ของนางอย่างมาก ที่ผิวเผินดูเก่งกาจแต่ความจริงกลับอ่อนปวกเปียก
หลู่เซียวเซียวเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับแต่เรื่องการต่อสู้ จนไม่สนใจเรื่องแต่งงานออกเรือนเลยสักนิด นางจึงถูกมองว่าเป็นหญิงประหลาดแห่งเมืองชิงหยุน
“หลู่เชียนสุ่ย!”
นางหันคมดาบชี้ใส่หน้าหลู่เชียนสุ่ยพร้อมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่เป็นมิตรนัก
“เจ้ากล้าฉีกเส้นเอ็นของน้องชายข้า! วันนี้ข้าจะทวงคืนความเป็นธรรมให้แก่เขา!”
“ข้าไม่ค่อยชอบนักที่มีคนชี้ดาบใส่หน้าข้าเช่นนี้”
หลู่เชียนสุ่ยที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัวเอื้อมมือออกไปด้านหน้า ก่อนจะปัดคมดาบยาวในมือของหลู่เซียวเซียวออกจากเส้นสายตาด้วยท่าทีเฉยเมย
คู่คิ้วของนางกระตุกวูบ พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยปากกล่าวออกไปด้วยความสับสนงุนงง
“เจ้ากำลังกล่าวอันใด? ฉีกเส้นเอ็น? เจ้าคงตามหาผิดคนแล้วกระมัง? มันเป็นความจริงที่ข้าประมือกับหลู่เว่ยซ่ง แต่ข้ามิได้ฉีกเส้นเอ็นของเขา”
“หากมิใช่เจ้าแล้วยังเป็นใครได้อีกเล่า? ข้าได้สืบมาแล้ว! เป็นเจ้ากับผู้อาวุโสเก้าที่รุมทำร้ายซ่งน้อยของข้า เจ้าทำร้ายเขาจนบาดเจ็บถึงเพียงนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ฉีกเส้นเอ็นของเขาออก! ไม่แน่ว่าอาจเป็นผลจากเพลงหมัดสะบั้นบรรพตของเจ้าก็เป็นได้!”
อย่างไรก็แล้วแต่ หลู่เซียวเซียวก็พยายามระงับโทสะอันแรงกล้าของตนลง และได้พยายามเจรจากับหลู่เชียนสุ่ยด้วยเหตุและผล