ตอนที12 เป็นไปได้อย่างไร?
บูมมม!
เพลงหมัดทองคำของหลู่เว่ยซ่งซัดกระหน่ำออกไป ปะทะเข้ากับเพลงหมดสะบั้นบรรพตขอหลู่เชียนสุ่ยอย่างรุนแรง
คลื่นพลังดุเดือดปะทุคลั่งพวยพุ่งออกจากกำปั้นของหลู่เชียนสุ่ยอย่างรวดเร็ว
และทันใดนั้นเอง!
บูมมม!
ธารโลหิตสีแดงสดสาดกระเซ็นออกมาจากหมัดทั้งสองของหลู่เว่ยซ่ง ร่างของเขาถูกพลังหมัดของหลู่เชียนสุ่ยอัดกระเด็นจนลอยละลิ่วออกไป ก่อนจะหล่นลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง
เมื่อได้เห็นภาพอันน่าสยดสยองตรงหน้า ทุกคนในที่นั้นถึงกับดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจ และแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
เพียงแค่ชั่วพริบตา ทั่วทั้งบริเวณนั้นพลันเงียบสงัดลงทันที
คล้อยหลังสักครู่หนึ่ง หลูเว่ยซ่งจึงฟื้นคืนสติกลับมา เขาเหลือบสายตาลงจับจ้องไปยังกำปั้นทั้งสองของตนซึ่งเวลานี้ชโลมชุ่มไปด้วยโลหิตสีแดงฉานและเศษเนื้อที่แตกออก พร้อมกับร้องออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่เจือด้วยความหวาดกลัว
“เป็นไปได้อย่างไรกัน? ข้า...ข้าแพ้ให้กับนังสวะนี่จริงรึ? เพลงหมัดของข้ามิอาจทัดเทียมเพลงหมัดของนางได้จริงรึ?!”
“นี่...”
บ่าวรับใช้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันยืนอ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“สายตาข้ามิได้มีปัญหาใช่หรือไม่?”
“หลู่ชียนสุ่ยเอาชนะหลู่เว่ยซ่งได้ภายในกระบวนหมัดเดียว?”
“บอกข้าทีว่าข้าไม่ได้หลับฝันไป!?”
หลู่เชียนเยว่ที่ฉีกยิ้มกว้างด้วยความรื่นรมย์ก่อนหน้า ยามนี้รอยยิ้มเดิมนั้นกลับค้างแข็ง นางตกใจอย่างที่สุดจนแทบไม่อาจเอ่ยเอื้อนออกมาเป็นภาษา
“ห-หะ...นี่เป็น...นี่เป็นไปได้อย่างไร…”
หลู่เชียนเยว่ทั้งตกใจและประหลาดใจอย่างยิ่งต่อผลลัพธ์ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
แม้นางจะมิเคยชื่นชมฝีมือของหลู่เว่ยซ่งเลยสักครั้ง อีกทั้งยังชอบเรียกขานเขาว่า ‘ตัวปัญหา’ แต่นางก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์บ้าบอเช่นนี้ขึ้นได้จริงๆ นางคิดว่าอย่างมากที่สุดนังหญิงสวะผู้นี้คงจะทานทนได้สักหนึ่งหรือสองกระบวนเท่านั้น แต่ทว่านางกลับกลายเป็นฝ่ายชนะหลู่เว่ยซ่งเสียเอง อีกทั้งยังสามารถทำให้หลู่เว่ยซ่งพ่ายแพ้ได้อย่างหมดท่าเสียด้วย
ดูเหมือนว่าหลู่เว่ยซ่งจะประเมินพลังของฝ่ายตรงข้ามต่ำไปมาก อย่างไรก็ตามแต่ทักษะความแกร่งกร้าวของเขานั้นล้วนเป็นผลมาจากโอสถที่ดื่มกินเข้าไป ดังนั้นรากฐานพลังจึงค่อนข้างกลวงโบ๋ หาใช่พลังและความสามารถที่แท้จริงไม่ หากพินิจดูแต่เพียงสายตาอาจดูน่าประทับใจ แต่ในความเป็นจริงภายในกลับอ่อนปลวกเปียก จนถึงขั้นโดนนังขยะนั่นทุบตีแทน!
ในขณะที่ทางด้านหลู่เชียนสุ่ยนั้น กลับรู้สึกดียิ่งนักที่ได้ซัดกำปั้นออกไปหนึ่งหมัด
หลู่เชียนสุ่ยสูดลมหายใจเข้าออกแช่มช้า มุมปากกระตุกยิ้มแสยะเย็น พลางเหลือบหางตาแลไปยังร่างของหลู่เว่ยซ่งด้วยความรู้สึกสมเพช
“นี่เจ้าล้อข้าเล่นรึอย่างไร? เพลงหมัดทองคำงั้นรึ? อ่อนปลวกเปียกเช่นนี้น่าจะชื่อเพลงหมัดเต้าหู้มากกว่ากระมัง?”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เพลิงโทสะกลับโหมปะทุขึ้นถึงขีดสุด หลู่เว่ยซ่งเคียดแค้นใจจนจุกในอก เขาเร่งตะเกียดตะกายลุกขึ้นจากพื้นทันที พร้อมปราดพุ่งโจมตีเข้าใส่หลู่เชียนสุ่ยอย่างไม่ยั้งมือ
“นังสวะ! ข้าจะฆ่าเจ้า!!”
แต่ในระหว่างนั้นเอง...
“หยุดเดี๋ยวนี้!”
ชายวัยกลางคนผู้มีใบหน้าอ่อนโยนร้องคำรามลั่นด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง เพียงเขาสะบัดแขนเสื้อเล็กน้อย ร่างของหลู่เว่ยซ่งพลันถูกซัดกระเด็นไปไกลอีกระลอก
หลู่เว่ยซ่งที่เพิ่งจะลุกขึ้นยืนทรงตัวได้ แต่กลับถูกซัดจนร่างกระเด็นลอยละลิ่วออกไปอีกครั้งถึงกับโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขากระโจนตัวขึ้นลุกขึ้นและพุ่งออกไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ราวกับชนเข้ากับกำแพงหนา หน้าหงายล้มลงทั้งยืนพร้อมกระอักพ่นเลือดคำโตออกมา ก่อนจะเป็นลมหมดสติลงในทันใด
เมื่อเห็นเช่นนั้น ทุกคนต่างก็พากันตื่นตะลึงอย่างยิ่งยวด แม้แต่หลู่เชียนสุ่ยเองก็พลันตื่นตะลึงเช่นกัน แต่เพียงแค่ชั่วขณะเดียวนางก็ได้สติและรีบเหลียวมองไปยังต้นเสียง ดวงตาทั้งสองหรี่เล็กลงทันที
เป็นเขา!
ผู้อาวุโสที่อายุน้อยสุดแห่งตำหนักเจ้าเมือง เขาคืออาวุโสเก้า
อาวุโสเก้าผู้นี้ปกติไม่เคยสนใจใยดีต่อโลกภายนอกมาก่อนเลยมิใช่รึ? ไฉนวันนี้จึงได้ยื่นมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้?
คนอื่นๆที่เหลือต่างก็งุนงงอย่างยิ่งเช่นกัน ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นจ้องมองอาวุโสเก้าด้วยความเคารพ และไม่มีผู้ใดกล้าแม้แต่จะเปิดปากเอ่ยวาจาใดๆแม้แต่คนเดียว
อาวุโสเก้าจ้องมองหลู่เชียสุ่ยด้วยแววตาสับสน จากนั้นจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงสงบเรียบเฉย
“หากข้าเห็นไม่ผิดไป เมื่อครู่เจ้าสำแดงใช้เพลงหมัดสะบั้นบรรพตใช่หรือไม่?”
หลู่เชียนสุ่ยพยักหน้าและเอ่ยตอบไปตามตรง
“ใช่แล้ว”
ใบหน้าของอาวุโสเก้าเผยให้เห็นท่าทีตกใจเล็กน้อย
“เจ้าสามารถใช้เพลงหมัดสะบั้นบรรพตด้วยพลังอาณาจักรปรับวิญญาณระดับสาม สยบเพลงหมัดทองคำของผู้ฝึกยุทธ์อาณาจักรปรับวิญญาณระดับห้าได้ ดูเหมือนว่าระดับความเชี่ยวชาญของเจ้าคงอยู่ในขอบเขตปฐพีแล้วกระมัง?”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ผู้คนโดยรอบต่างพากันจับกลุ่มสนทนาและถกเถียงกันขึ้นทันที ทุกคนในที่นั้นต่างจ้องมองไปทางหลู่เชียนสุ่ยเป็นตาเดียว
‘อาวุโสเก้าสายตาแหลมคมยิ่งนัก ปราดมองเพียงครั้งเดียวถึงกับเข้าใจทุกอย่างได้แจ่มแจ้ง’
หลู่เชียนสุ่ยเพียงแค่คิดในใจแต่มิได้ปริปากเอ่ยอันใดออกไป
หากคนเหล่านี้ทราบว่า นางเพิ่งเริ่มฝึกปรือเพลงหมัดสะบั้นบรรพตเมื่อคืนวานนี้ พวกเขาจักยิ่งตื่นตะลึงมากกว่านี้เป็นแน่
อาวุโสเก้าผู้นี้มิได้แสดงอารมณ์โกรธต่อท่าทีของหลู่เชียนสุ่ยเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเอ่ยออกมาด้วยความชื่นชม
“ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อยเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นบุตรสาวของนาง หลู่เชียนสุ่ย ในวันข้างหน้าหากเจ้ามีข้อสงสัยหรือติดปัญหาอันใดเกี่ยวกับการฝึก เจ้าสามารถไปพบเพื่อไถ่ถามข้าได้โดยตรงที่ศาลาฉิงเฟิง”
หลังจากที่กล่าวกับหลู่เชียนสุ่ยไปแล้ว อาวุโสเก้าผู้นี้ก็ไม่ได้สนใจท่าทีของนางอีก และไม่สนใจว่านางจะเต็มใจหรือไม่ แต่กลับเหลียวหลังกวาดตามองทุกคนโดยรอบและกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“พวกเจ้าต้องการสิ่งใด? ไฉนจึงพากันมารวมตัวอยู่ที่นี่?”
เห็นได้ชัดว่าอาวุโสเก้าผู้นี้ดูเหมือนจะโปรดปรานหลู่เชียนสุ่ยมากกว่าผู้ใด และแน่นอนว่า คนเหล่านี้ย่อมไม่กล้าปริปากบอกไปว่า พวกตนมาที่นี่เพื่อขับไสไล่หลู่เชียนสุ่ยออกจากตำหนักเจ้าเมือง พวกเขาจึงได้แต่เหลือบมองไปทางหลู่เชียนเย่วอย่างพร้อมเพรียงกัน
ใบหน้าของหลู่เชียนเยว่ในยามนี้บิดเบี้ยวน่าเกลียดด้วยความโกรธ แม้นางจะโมโหมากเพียงใดแต่ก็ยังจดจำคำสั่งของผู้เป็นมารดาได้อย่างแม่นยำ นางกำชับว่าห้ามมิให้ยั่วยุหรือทำสิ่งใดให้อาวุโสเก้าแห่งตำหนักเจ้าเมืองขุ่นเคืองใจโดยเด็ดขาด เวลานี้นางจึงทำได้เพียงแค่เหลือบมองไปทางร่างหมดสติของหลู่เว่ยซ่ง แล้วจึงช้อนสายตาขึ้นมองอาวุโสเก้าด้วยแววตาครั่นคร้าม ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นด้วยความขัดใจแล้วหมุนตัวจากไปในทันที
นางไม่เชื่อว่าผู้อาวุโสเก้าจะสามารถปกป้องหลู่เชียนสุ่ยได้ตลอดเวลา เพียงแค่ต้องรอโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น....